[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก - ตอนที่ 156 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (5) / ตอนที่ 157 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (6)
- Home
- [นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก
- ตอนที่ 156 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (5) / ตอนที่ 157 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (6)
ตอนที่ 156 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (5)
สำนักจู๋กวงมิได้สร้างตำหนักใหญ่โตโออ่าบนหุบเขาเซียนเพื่อบำเพ็ญเพียรเฉกเช่นสำนักอื่นๆ ที่นี่มีแต่ห้องเก็บฟืนกับเรือนขนาดเล็กเสียเป็นส่วนใหญ่ เฟิงหลิวหลีนอนกลางดินกินกลางทรายมาเนิ่นนาน ไม่คุ้นชินกับการพำนักในเรือน จึงบุกเบิกถ้ำแห่งหนึ่งบนยอดเขาไท่อินซานตามลำพัง ทั้งเพื่อใช้สำหรับอยู่อาศัยและฝึกบำเพ็ญตน
เฟิงสือหลี่เดินลงไหล่เขามาจนถึงครึ่งทาง บรรดาสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่มีสติปัญญาทั้งหลายรอบด้านมองเห็นเขาก็พากันเฝ้าดูอยู่ห่างๆ ด้วยกลัวว่าจะถูกปีศาจตนนี้จับไปทรมานทรกรรม
สมัยที่ยังอยู่ไท่อินซานเฟิงสือหลี่มักจะจับสัตว์เล็กสัตว์น้อยมาเล่นกับตนเป็นประจำ การละเล่นรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงกระโดดร่มดิ่งพสุธา ชักว่าวสัตว์จิ๋วเหินเวหา และอีกสารพัดวิธีเล่นสนุกที่ท้าทายความตื่นเต้นของพวกมัน
เฟิงสือหลี่รับรู้ถึงความคิดของสัตว์ที่มีสติปัญญาเหล่านี้ ทว่ากลับไม่ได้สนใจ เขาไม่มีกะจิตกะใจแม้แต่จะแยแสพวกมันด้วยซ้ำ
“เอ๊ะ เมื่อครู่นี้เห็นมีคนลงมาจากยอดเขา สวมชุดสีเทาทั้งตัว ดูแล้วช่างคลับคล้ายกับชิงจุน”
“นั่นน่ะสิ ข้าก็เห็นเหมือนกัน ชิงจุนตื่นจากนิทราแล้วหรือนี่?”
เสียงกระซิบกระซาบของเหล่าสัตว์ตัวจ้อยทำให้เฟิงสือหลี่แข็งทื่อไปชั่วขณะ เขาพลันคว้าจับพวกมันออกมาจากพงหญ้า ขู่คำรามอย่างดุร้ายว่า “เมื่อกี้พวกเจ้าคุยอะไรกัน? ใครตื่นแล้ว?”
“ชิง…ชิงจุน…” นกกระจอกกลัวจนแทบขาดใจ เกือบจะสิ้นสติคากำมือของเฟิงหลิวหลี
ชิงจุน[1]คือสมญานามของเฟิงหลิวหลีที่เรียกกันในยุทธภพ ต่อมาภายหลังได้แพร่หลายมาถึงไท่อินซาน สรรพชีวิตบนภูเขาจึงต่างพร้อมใจกันเรียกว่าชิงจุน
เฟิงสือหลี่ตาแทบถลนออกจากเบ้า แววตาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ พอเขาคลายมือออก นกกระจอกในกำมือก็กระพือปีกบินหนีไปทันใด
“ซือฝูฟื้นแล้ว…” ความปลาบปลื้มยินดีฉายประกายในดวงตาของเฟิงสือหลี่ ก่อนจะวิ่งหน้าตาตื่นขึ้นไปบนเขาราวกับคนเสียสติ
เขาลืมไปเสียสนิทว่าตนเองมีวิชาอาคม เพียงแค่ตวัดมือเบาๆ ก็สามารถขึ้นมาถึงยอดเขาได้แล้ว
เฟิงสือหลี่เดินโซซัดโซเซ พุ่มไม้ริมทางเกาะเกี่ยวเสื้อผ้าของเขาจนขาดวิ่น บาดแข้งขาของเขาจนถลอกปอกเปิก แต่เขายังคงทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร
บนยอดเขาอวี้ติ่งเฟิงของไท่อินซาน เฟิงสือหลี่ยืนนิ่งงันห่างจากถ้ำไปไม่ไกล เหม่อมองศพที่ยังอยู่ที่เดิมด้วยแววตาสิ้นหวัง
เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ เฟิงสือหลี่หัวเราะเยาะกับตนเอง ซือฝูยังไม่ทันให้อภัยเจ้า แล้วจะฟื้นขึ้นมาพบหน้าเจ้าได้อย่างไร
เขาไม่มีความกล้าที่จะเดินเข้าไปมองดูคนที่ล้มนอนอยู่บนพื้นให้เต็มตาอีกแล้ว เพราะหากมองอีกเพียงครั้งเดียว เขาจะต้องคลุ้มคลั่งเป็นแน่แท้
“พี่ชาย ท่านดูอะไรอยู่น่ะ”
เฟิงสือหลี่พลันสะดุ้งตื่น นัยน์ตาเย็นเยียบหรี่ลงทันใด เอื้อมมือไปคว้าลำคอของคนข้างหลังไว้โดยไม่ลังเล
“โอ๊ยๆๆ ทำไมพี่ชายอารมณ์ร้อนเช่นนี้เล่า” ตันหวายพยายามง้างนิ้วมือบนลำคอของตน มองหน้าเฟิงหลิวหลีพลางยิ้มระรื่นกล่าว “ทุกคนล้วนแต่เป็นผู้บำเพ็ญเพียร เหตุไฉนจึงรีบเร่งเข่นฆ่ากัน”
เฟิงสือหลีตื่นตะลึงจนหลุดปากเอ่ยเรียก “ซือจุน?”
ตันหวายแย้มยิ้ม พลางเอื้อมมือไปนวดคลึงลำคอของตน ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้เอ่ยขึ้นว่า “พี่ชายจำคนผิดแล้วกระมัง ข้าไม่เคยรับศิษย์ที่ไหนสักหน่อย”
เฟิงสือหลี่ตะลึงงัน พินิจดูใบหน้าของตันหวายอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย สีหน้าพลันเยือกเย็นลง “เจ้าเป็นใครกันแน่ เข้ามาในไท่อินซานได้อย่างไร?”
ตันหวายสังเกตเห็นท่าทีของเขาก็หรี่ตาอย่างพึงพอใจ เขาใช้วิชาเปลี่ยนแปลงหน้าตาของตนเองนิดหน่อย คิดไม่ถึงว่าเฟิงสือหลี่จะจำไม่ได้จริงๆ
เห็นตันหวายไม่พูดไม่จา เฟิงสือหลี่ก็สีหน้าเย็นเยียบยิ่งกว่าเดิม “ไม่ตอบรึ?”
เขาคิดว่าค่ายกลของตนก็นับว่าไม่เป็นสองรองใครในยุทธภพ หากมิใช่ปรมาจารย์เซียนแห่งยุค ย่อมไม่มีทางย่างกรายเข้าสู่ไท่อินซานได้เลย
“ข้า…” ตันหวายชะงักไปชั่วครู่ แสร้งทำหน้าซื่อตาใสไม่รู้ความ “เมื่อกี้พอข้าตื่นมาก็อยู่ที่นี่แล้ว ท่านเรียกว่าอะไรนะ ไท่อินซาน? ที่นี่เรียกว่าไท่อินซานหรอกหรือ…”
เฟิงสือหลี่นัยน์ตาทอประกายวาบ น้ำเสียงเจือแววชั่งอกชั่งใจ “เจ้าไม่รู้ว่าที่นี่คือไท่อินซาน?”
ตันหวายกะพริบตาปริบๆ “ต้องไม่รู้อยู่แล้วสิ ข้าความจำเสื่อมนี่นา จำได้แค่ว่าข้าชื่อ…อ้อ ข้าชื่อตันหวาย”
“ตันหวาย…” เฟิงสือหลี่พึมพำกับตนเองเบาๆ หัวใจกระตุกวาบด้วยความรู้สึกคุ้นเคย
กระรอกน้อยที่หลบอยู่หลังต้นไม้เฝ้าดูคนทั้งสองยืนเฉยไม่พูดคุยกัน มันลอบถอนใจอยู่เงียบๆ แล้วจึงเริ่มกัดแทะลูกสนเม็ดใหญ่ในอ้อมแขนของตน
เงยหน้าขึ้นมองตันหวายที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับเฟิงหลิวหลี เฟิงสือหลี่สับสนไปชั่วขณะ เขาหันไปมอง ‘เฟิงหลิวหลี’ ที่ยังนอนฟุบกับพื้นแล้วนิ่งเงียบไป
เมื่อสังเกตเห็นสายตาของเฟิงสือหลี่ ตันหวายก็ก้าวเดินไปยังทิศทางของ ‘ศพ’ ร่างนั้น
“หยุดบัดเดี๋ยวนี้!” เฟิงสือหลี่สุ้มเสียงขึงขัง กล่าวลอดไรฟันว่า “เจ้าจะทำอะไร?”
ตันหวายหยุดยืนกับที่ เลิกคิ้วสูงพลางหันกลับมากล่าว “เขาตายไปแล้ว พวกเราควรจะช่วยฝังศพส่งดวงวิญญาณมิใช่หรือ?”
เฟิงสือหลี่ราวกับถูกจี้ใจดำ พลันหลับตาลงแล้วสูดลมหายใจลึกๆ จากนั้นดวงตาอันคมกริบจึงเปิดขึ้น พร้อมกับกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เขายังไม่ตาย!”
ตันหวายตกตะลึง กล่าวด้วยสายตาลึกล้ำ “เห็นชัดอยู่ว่า—-”
“หุบปาก!” เฟิงสือหลี่ตัดบทเขาอย่างหยาบคาย “ซือจุนของข้าเพียงแค่หลับอยู่เท่านั้น เจ้าคิดจะสังหารซือจุนของข้าหรืออย่างไร?”
เฟิงสือหลี่พยายามข่มอารมณ์ตนเอง เขาคิดว่าเขาต้องเสียสติไปแล้วเป็นแน่ ถึงได้ยอมให้คนแปลกหน้าบังอาจมาล่วงเกินซือจุนของเขา
เฟิงสือหลี่คว้าข้อมือของตันหวายเอาไว้ ไม่สนใจตันหวายที่ดิ้นรนขัดขืน ก่อนจะพาเขาขึ้นขี่กระบี่ของตน มุ่งหน้าตรงออกไปจากไท่อินซาน และถือโอกาสสร้างค่ายกลเพิ่มเติมจากด้านบนอีกชั้นหนึ่ง
——
[1] ชิงจุน (清尊) หมายถึง ท่านผู้บริสุทธิ์
ตอนที่ 157 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (6)
เป็นครั้งแรกที่ได้ขี่กระบี่ท่องเวหา ตันหวายทั้งตื่นเต้นทั้งหวาดกลัว ยกแขนกอดรัดเฟิงสือหลี่เอาไว้แน่น ซุกหน้ากับแผ่นหลังของเขาพลางเอ่ยขึ้น “ท่านเป็นเซียนกระบี่หรอกหรือ?”
พอถูกตันหวายโอบกอด แผ่นหลังของเฟิงสือหลี่ก็ประหนึ่งชนเข้ากับลูกไฟอันร้อนระอุ แผดเผาจนสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย ทว่ามิได้ผลักไสออกห่าง
ผู้ที่มิใช่เซียนกระบี่ยามขี่กระบี่เป็นครั้งแรกย่อมยืนไม่มั่นคง บัดนี้เขายังมองไม่ออกว่าคนผู้นี้ฝึกวิชาแขนงใด หากผลีผลามหลบหลีกเขาอาจจะเสียหลักร่วงตกลงไปได้ ถึงเวลานั้นเขาก็ต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลืออยู่ดี
เมื่อเห็นเฟิงสือหลี่ไม่หลบหลีก ตันหวายก็แอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว
“คนผู้นั้นที่นอนหลับอยู่เป็นอาจารย์ของท่าน?” ตันหวายถาม
เฟิงสือหลี่นิ่งงันไป กระบี่พลันเคลื่อนที่เชื่องช้าลง การลดความเร็วอย่างกะทันหันทำให้ตันหวายตั้งตัวไม่ทัน จึงกระแทกกับแผ่นหลังของเฟิงสือหลี่เข้าเต็มเปา กระแทกจนเขาปวดจมูกไปหมด
ตันหวาย ‘…หมอนี่ชอบทำร้ายตัวเองนักหรือไง?’
เฟิงสือหลี่ได้สติกลับมา เร่งรีบควบคุมกระบี่ให้พุ่งทะยานต่อไปข้างหน้า และส่งเสียงตอบรับอย่างแผ่วเบา
กระแสลมโดยรอบพัดพาเสียงตอบรับของเฟิงสือหลี่มาถึงหูตันหวาย เขาเลิกคิ้วขึ้นสูง แต่ไม่ได้ซักถามอะไรอีก เพียงกอดเอวของเฟิงสือหลี่เอาไว้อย่างมั่นคง
_________
โลกมนุษย์อยู่ในยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ กษัตริย์ปกครองบ้านเมืองโดยธรรม ประชาชนอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ร้านรวงน้อยใหญ่ตั้งเรียงรายเบียดเสียดกันในเมืองหลวง กิจการเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่มีใครยอมน้อยหน้าใคร
โรงเตี๊ยมบางแห่งแขวนโคมแดงขนาดใหญ่ไว้หน้าประตูทั้งสองฝั่ง เสมือนดั่งดวงตากลมโตสีแดงฉานสองข้าง ได้ยินมาว่าหน้าโรงเตี๊ยมต้องแขวนโคมแดงไว้สองดวงเพื่อความเป็นสิริมงคล
ตันหวายเกิดใหม่มาหลายภพชาติ แต่ยังไม่เคยได้ยินความเชื่อแบบนี้มาก่อน ตอนนี้พอได้ยินจึงรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
กวาดตามองโรงเตี๊ยมที่แขวนโคมแดงอีกหลายแห่ง ตันหวายกะพริบตาปริบๆ ก่อนชี้ไปยังโคมแดงขนาดใหญ่ฝั่งตรงข้าม “ข้าว่าฝั่งโน้นดูดีมีระดับมากทีเดียว พวกเราข้ามไปกินที่นั่นกันเถอะ”
เฟิงสือหลี่ขมวดคิ้ว ถามว่า “ฝั่งนั้นเป็นโรงเตี๊ยม ไม่มีของประดับขาย อีกอย่าง บุรุษตัวโตเช่นเจ้าจะซื้อของประดับไปทำไม?”
สายตาที่เฟิงสือหลี่มองตันหวายราวกับกำลังมองตัวประหลาด อืม ตัวประหลาดที่รักสวยรักงาม
ตันหวาย “…”
ตันหวายแค่นหัวเราะในลำคอ เอานิ้วแตะลงในจอกชาแล้วเขียนคำว่า ‘มีระดับ’ ลงบนโต๊ะ
เฟิงสือหลี่เห็นก็พลันขมวดคิ้ว กล่าวอย่างเถรตรงว่า “เจ้าทำอย่างนี้มันสกปรก ประเดี๋ยวเจ้าจะดื่มต่ออย่างไร?”
“จริงๆ พวกเราเทน้ำชาทิ้งแล้วรินใหม่อีกจอกก็ได้” ตันหวายเสนอแนะ
เฟิงสือหลี่ไม่เอ่ยคำใด หัวคิ้วยังคงขมวดมุ่น
ตันหวายแลบลิ้นปลิ้นตา พยักเพยิดไปทางตัวหนังสือบนโต๊ะก่อนเชิดคางกล่าว “มี-ระ-ดับหมายความว่าหน้าตาสวยงามอย่างไรเล่า ไม่ใช่ของประดับอะไรสักหน่อย เข้าใจหรือยัง?”
เฟิงสือหลี่พยักหน้าอย่างสุขุมเป็นเชิงว่าตนเข้าใจแล้ว แต่กลับเข้าใจผิดไปคนละเรื่องโดยสิ้นเชิง
เมินสายตาอ้อนวอนอย่างน่าสงสารของตันหวาย เฟิงสือหลี่เรียกเสี่ยวเอ้อร์เข้ามาสั่งอาหาร อันที่จริงเขาผ่านขั้นปี้กู่มาตั้งนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องกินอาหารแต่อย่างใด การมากินอาหารที่นี่ล้วนทำไปเพื่อดูแลตันหวายทั้งสิ้น
เมื่อเห็นเฟิงสือหลี่ทำเป็นเมินเขา ตันหวายก็กลอกตาใส่บ้าง ก่อนจะผุดลุกขึ้นพุ่งปราดเข้าไปยังโรงเตี๊ยมฝั่งตรงข้ามทันที
เฟิงสือหลี่ชำเลืองตามองโดยไม่ได้เงยหน้า ปล่อยให้ตันหวายวิ่งหนีออกไป พลางเปิดดูรายการอาหารในมือแล้วสั่งอาหารมาสองสามอย่าง
_________
ตันหวายเดินส่ายอาดๆ เข้ามาในโรงเตี๊ยมอันหรูหรามีระดับ สั่งสุราขึ้นชื่อที่สุดในร้านของพวกเขามาสองสามไหด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น
“ท่านลูกค้า ค่าสุราคิดเป็นเงินทั้งหมดยี่สิบตำลึงขอรับ”
ตันหวายอึ้งงันไป ขมวดคิ้วถาม “ทำไมแพงเช่นนี้เล่า”
“ไอหยา ท่านลูกค้า ท่านสั่งแต่สุราราคาแพงที่สุดในร้านเราทั้งนั้นนะขอรับ” เตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์กล่าว “สุราสองไหเต็มๆ นี้ พวกเราปัดเศษเป็นจำนวนเต็มให้ท่านแล้ว”
ตันหวายรู้สึกว่าแพงเกินไปอยู่ดี แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็จำใจต้องก้มหน้าก้มตาควักเงินจ่าย เขาเองไม่มีเงินทองติดตัว แถมเงินยี่สิบตำลึงนี้ก็เพิ่งจะฉกชิงมาจากเฟิงสือหลี่อีกต่างหาก
ตอนนี้เขาสงสัยว่าเตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์มีตาวิเศษหรือเปล่า ถึงมองเห็นเว่าเขามียี่สิบตำลึงและคาดคั้นให้เขาจ่ายเงิน ตันหวายหยิบเงินติดตัวที่เหลือยื่นให้เตี้ยนเสี่ยวเอ้อร์ด้วยท่าทางอิดออด ก่อนจะถือสุราสองไหเดินไหล่ตกกลับไปฝั่งตรงข้าม
ราวกับคาดเดาออกแต่แรกว่าตันหวายจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกลับมา เฟิงสือหลี่ผุดรอยยิ้ม ยกจานอาหารตรงหน้าวางลงใกล้กับเขา
“เอ้า กินสิ”
ตันหวายกะพริบตาปริบๆ เขย่าสุราในมือแล้วยื่นให้เฟิงสือหลีไหหนึ่ง
“ดื่มกันเถอะ ไหละตั้งสิบตำลึงเชียวนะ”
เฟิงสือหลี่เหลือบมองเขาครู่หนึ่ง ส่ายศีรษะ “ข้าไม่ดื่ม”
“ท่านไม่ดื่ม?” ตันหวายหัวเราะแกมหงุดหงิด “ท่านไม่ดื่มก็บอกให้มันเร็วกว่านี้หน่อย ข้าถลุงเงินทิ้งไปเปล่าๆ เชียวหรือเนี่ย?”
เฟิงสือหลี่เม้มริมฝีปาก กล่าวอธิบายว่า “ซือจุนเคยสั่งสอนไว้ ยามออกจากเขาห้ามแตะต้องสุรา เพื่อไม่ให้เสียการเสียงาน”
ตันหวายชะงักมือ ค่อยๆ คืบเนื้อซี่โครงตรงหน้าตนมาใส่ชามอย่างแช่มช้า
“ซือจุนของท่าน จากโลกนี้ไปอย่างไร?” ตันหวายรีบร้อนกล่าว “ท่านอย่าถือโทษโกรธกันเลย ความจริงก็เป็นเช่นนี้ เขาเสียชีวิตหรือยังท่านย่อมรู้ดีที่สุดมิใช่หรือ?”
เฟิงสือหลี่ไม่เอ่ยตอบ
ตันหวายไม่ถือสาอะไร พูดคะยั้นคะยอต่อไปว่า “ท่านบอกมาสิ ท่านไม่อยากแก้แค้นให้อาจารย์ของท่านเลยหรือ?”
เฟิงสือหลี่มือสั่นวูบ ตะเกียบเกือบจะร่วงหล่น จนตันหวายต้องประคองมือของเขาเอาไว้ให้มั่น
ตันหวายชำเลืองมองเฟิงสือหลี่ที่สีหน้าซีดเผือด แค่นเสียงหัวเราะ “กังวลอะไรเล่า ท่านไม่ใช่คนสังหารอาจารย์สักหน่อย”
เฟิงสือหลี่ราวกับถูกตันหวายจี้ใจดำ ทั่วทั้งสรรพางค์พลันสั่นเทิ้ม เงยหน้าขึ้นกล่าวทันควัน “ถูกแล้ว ข้าเป็นคนสังหารเอง”