[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก - ตอนที่ 166 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (15) / ตอนที่ 167 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (16)
- Home
- [นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก
- ตอนที่ 166 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (15) / ตอนที่ 167 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (16)
ตอนที่ 166 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (15)
(ติ๊ดๆๆ ประกาศเตือนภัย ลี่ซูตกอยู่ในอันตราย ท่านเจ้าของร่างโปรดติดตามไปโดยเร็วที่สุด)
ตันหวายผุดลุกขึ้นจากกองหญ้าพลางนิ่งอึ้งไปสักครู่ ไม่รู้ควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีจริงๆ
ไม่ใช่ว่าต้องตื่นมาเจอแบบนี้ทุกเช้าหรอกนะ นี่นายเล่นเกมไขปริศนาอยู่หรือไง?
ตันหวายกวาดตามองสำรวจรอบๆ ก่อนจะขมวดคิ้ว คิดในใจว่าทำไมคราวนี้เฟิงสือหลี่ถึงไม่อยู่อีกแล้ว?
(ติ๊ดๆๆๆ ประกาศเตือนภัย ระดับความเป็นอันตรายของลี่ซูเพิ่มสูงขึ้น)
ตันหวาย “…”
เหตุการณ์ทุกอย่างซ้ำรอยเดิมเหมือนเช่นเมื่อวานนี้ จนกระทั่งตันหวายนั่งอยู่ในห้องหนังสือของลี่ซูอีกครั้ง จึงค่อยรู้สึกตัวว่าภารกิจเสร็จสิ้นลงแล้ว
ตันหวายคลี่ยิ้มแหยอย่างเก้อเขิน พอตั้งใจจะอธิบายว่าเพราะอะไรตนถึงมาโผล่อยู่ที่นี่ ลี่ซูก็พูดขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน
ลี่ซู “ท่านเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงรู้ว่าข้ามีอันตราย คนที่มาสังหารข้าไฉนต้องหนีไปทันทีที่เห็นท่าน?”
คำถามสามข้อในรวดเดียวทำเอาตันหวายถึงกับตอบไม่ถูก ไม่ง่ายเลยกว่าจะรวบรวมสติกลับมาได้ คราวนี้ลี่ซูถูกลอบสังหารเข้าแล้วจริงๆ
ลี่ซูยืนอยู่ตรงหน้าอย่างหมดสภาพ เอนร่างพิงกับโต๊ะหนังสือด้วยใบหน้าซีดเผือด หากไม่ใช่เพราะเขาพูดจาเฉียบขาดหนักแน่น ตันหวายก็คงนึกว่าเขาใกล้จะขาดใจเต็มที
ตันหวายไม่อาจทนนิ่งดูดายปล่อยให้คนตายต่อหน้าต่อตา รีบวิ่งปราดเข้าไปหาทันทีทันใด “พี่ชาย ท่านยังไหวหรือไม่ ทำไมทำท่าเหมือนใกล้ตายเช่นนั้นเล่า”
ลี่ซูฟังคำพูดของเขาแล้วสีหน้าไม่ใคร่สู้ดีนัก ก่อนจะเอ่ยวาจาที่ขัดแย้งกับบุคลิกตนเองเป็นครั้งแรก
“ไม่เช่นนั้นก็ให้ข้าซัดท่านสักฝ่ามือ ข้าจะได้รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นบ้าง?”
ตันหวายไม่ออกความเห็น เพียงพยุงร่างเขาเดินไปพักผ่อนบนเตียงอย่างไม่ค่อยเต็มอกเต็มใจ
อันที่จริงเขาก็อยากรู้ว่าเพราะเหตุใดพอมาหาลี่ซูแล้วจึงไม่เกิดอันตราย มันช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
แต่การมีตัวตนอยู่ของระบบไม่สมเหตุสมผลมาตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็เข้าใจกระจ่าง ระบบคงต้องรักเขามากเสียจนพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อแจกคะแนนให้เขาแน่ๆ
หากระบบรับรู้ว่าตอนนี้ตันหวายคิดอะไรอยู่ ย่อมจะเดือดดาลจนแทบกระอักเลือดเป็นแน่แท้
บรรดาศิษย์บนเขาชางอวี้ต่างวิ่งกรูตามเข้ามา เมื่อเห็นคนแปลกหน้าอยู่ในห้องของศิษย์พี่ใหญ่ก็พากันเตรียมพร้อมตั้งรับ
“ช้าก่อน” ศิษย์คนหนึ่งที่เคยพบเห็นหน้ากล่าวขึ้น “คนผู้นี้ช่างคุ้นตานัก”
ตันหวายคลี่ยิ้มแห้งๆ “คงเพราะหน้าตาดาษดื่นกระมัง”
“อ้อ ข้านึกออกแล้ว!” ศิษย์ผู้นั้นร้องอุทาน
ทุกคนรวมทั้งลี่ซูพากันจดจ้องไปยังศิษย์ผู้นั้น สถานการณ์ไม่แตกต่างจากยามอาจารย์เทศนาหลักธรรมคำสอน
ศิษย์ผู้นั้นจู่ๆ กลายเป็นจุดสนใจอย่างกะทันหันก็รู้สึกไม่คุ้นชิน ใบหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันควัน พลางก้มหน้างุดด้วยความประหม่าเขินอาย
ทุกคนต่างปวดเศียรเวียนเกล้า คิดในใจว่าเจ้ามิใช่หญิงสาวที่มาเสี่ยงทายเลือกคู่ครอง แล้วจะทำกระมิดกระเมี้ยนไปเพื่ออะไรกัน!
ทว่าศิษย์ผู้นี้ไม่ได้เอียงอายอยู่นานนัก เพราะลมปราณที่แผ่ซ่านมาจากศิษย์พี่ใหญ่ช่างเย็นยะเยือกเสียจนเขาหน้าหมองซีดลงไปทันใด
ยามนี้ลี่ซูเป็นกังวลแทนเหล่าอาจารย์เหลือเกิน บรรดาศิษย์รุ่นนี้ล้วนยากจะรับมือจริงๆ
“ตกลงว่าเจ้านึกอะไรออกกัน รีบบอกมาสิ” ตันหวายเฝ้ารอจนชักร้อนใจ จึงเอ่ยปากเร่งเขาอย่างอดรนทนไม่ไหว
ศิษย์ผู้นั้นพลันฉุกนึกขึ้นได้ก่อนเอ่ยว่า “อ้อ ข้าเกือบลืมไป เจ้าไม่ใช่มือสังหารเจียงจิ่นหวายที่สำนักเซียนลงประกาศจับอยู่ตอนนี้หรอกหรือ?”
ตันหวาย “…”
ทุกคน “…”
ตันหวายสติแตกไปแล้ว มีประกาศจับสำนักเซียนอะไรพรรค์นี้ด้วย?
ทุกคนต่างก็สติแตกไปตามๆ กัน บุคคลอันตรายที่ถูกหมายหัวเอาชีวิตเช่นนี้ เจ้ายังกล้าลืมได้ลงคอเชียวหรือ
ศิษย์ผู้นั้นอาจจะเพิ่งรู้สึกตัว จึงค่อยๆ ล้วงมือเข้าไปหยิบหนังสือ ‘เรื่องเล่าหลังสำนักเซียนรายวัน’ ในอกเสื้อของตน แล้วพลิกเปิดหน้าที่สำนักเซียนลงประกาศจับยื่นส่งให้ลี่ซูอ่านอย่างเชื่องช้า
ลี่ซู “…”
เจ้ามองออกได้อย่างไรว่าตัวประหลาดพรรค์นี้คือคนที่ยืนอยู่ข้างกายข้า? ลี่ซูพลันนึกสงสัยว่าศิษย์น้องของตนอ่านข่าวซุบซิบนินทาจนสมองทึบไปแล้วหรือไม่
ตันหวายถึงกับช็อกไปเช่นกัน เขามองดูกลุ่มก้อนขะยึกขะยือบนภาพนั้น ถามอย่างหมดอาลัยตายอยากว่า “ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามันคือข้า?”
ศิษย์ผู้นั้นงุนงงเล็กน้อย กล่าวต่อไปอย่างเนิบนาบว่า “ออกจะเหมือนกันมิใช่หรือ?”
สู้ไม่ไหว ขอบายดีกว่า!
ลี่ซูหลุบตาพลางปิดหนังสือ ‘เรื่องเล่าหลังสำนักเซียนรายวัน’ ในมือ กล่าวเสียงเรียบนิ่ง “ในห้องข้าไม่มีผู้ใดทั้งนั้น พวกเจ้ามองเห็นคนอื่นหรือไม่?”
บรรดาศิษย์ทุกคนต่างตะลึงงัน รีบขานรับเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่ขอรับ!”
พอสิ้นเสียงกล่าว สุ้มเสียงเนิบนาบก็ดังไล่ตามกันมา “ไม่ขอรับ”
ลี่ซูตอบรับเบาๆ คำหนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างแช่มช้า “แยกย้ายได้”
ประตูห้องหนังสือปิดลงอีกครั้ง ตันหวายยังคงอึ้งตะลึง อะไรกันเนี่ย กุเรื่องขึ้นมาซึ่งๆ หน้าอย่างนี้ก็ได้เหรอ?
“สุดยอดไปเลยพี่ชาย” ตันหวายอดชูนิ้วโป้งให้ไม่ได้ “สมกับเป็นพี่ใหญ่ของสำนักฉี่หมิง!”
ลี่ซูพินิจมองใบหน้าของตันหวายอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดก็กล่าวบ่ายเบี่ยงอย่างเฉยชา “ท่านสังหารเจียงจิ่นหวายรึ?”
“เปล่านะ!” ตันหวายปฏิเสธทันควัน “ข้าไม่ได้สังหารเขาแน่นอน ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมจู่ๆ เขา…”
ตันหวายไม่ได้กล่าวต่อไปอีก
ลี่ซูผลิยิ้มพลางเอ่ยเสียงแผ่ว “เขาตายไปเสียก็ดี ใช่ เขาตายไปเสียได้ก็ดี”
ลี่ซูเงยขึ้นมาประจันหน้ากับตันหวาย น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความอาวรณ์ “ท่านคล้ายกับศัตรูของข้านัก อืม นอกจากดวงตา ส่วนอื่นก็ล้วนคล้ายคลึงกัน นัยน์ตาของเขามิได้เปล่งประกายเช่นท่าน ยามปกติมักไร้ชีวิตชีวา ชวนให้รู้สึกเหมือนว่าเขาอาจจากท่านไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว”
ตอนที่ 167 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (16)
ตันหวายไม่รู้จะพูดอย่างไรดี คนคนนั้นที่ลี่ซูกล่าวถึงคงจะเป็นเฟิงหลิวหลี แต่ยามเขาพูดประโยคนี้มันช่างฟังดูทะแม่งๆ อย่างไรชอบกล
“เลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า” ตันหวายเบี่ยงประเด็นสนทนาอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ท่านบอกมาเถอะว่าใครลอบจู่โจมท่าน?”
ตันหวายไม่อยากฟัง ลี่ซูก็ไม่ดึงดันเล่าต่อ แต่กลับตอบคำถามของเขาว่า “คนผู้นั้นข้าเห็นหน้าตาไม่ถนัด แต่ข้าพอจะเดาออกว่าเป็นใคร”
ตันหวายตะลึงงัน คิดในใจว่าถึงขั้นเดาออกว่าเป็นใครเชียวหรือ ถ้าอย่างนั้นก็เก่งกาจเกินไปแล้ว
“ใครกัน?” ตันหวายถาม
ลี่ซูหรี่ตาลงพลางเอ่ยขึ้นช้าๆ “อดีตศิษย์สำนักจู๋กวง เฟิงสือหลี่”
กาลเวลาราวกับหยุดหมุนชั่วขณะ ตันหวายมองลี่ซูที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมพลางแย้มยิ้ม คิดในใจว่าเจ้าหมอนี่อายุยังน้อย ทำไมถึงชอบพูดจาเหลวไหลเสียจริง
ตันหวายนั่งหัวเราะลั่นอยู่ตรงหน้าลี่ซู หัวเราะเสียจนน้ำหูน้ำตาไหล
ตันหวาย “ท่านคิดเพ้อเจ้ออะไรกัน เฟิงสือหลี่สู้ฝีมือท่านได้ที่ไหน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทำร้ายท่านบาดเจ็บ”
เมื่อหัวเราะจนพอใจแล้ว ตันหวายจึงค่อยเช็ดน้ำตาที่เล็ดออกจากหางตาของตน “เขาเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง ท่านอย่าไปใส่ใจเขามากนักเลย”
“เด็กน้อย?” ลี่ซูหัวเราะออกมาบ้าง “นี่เป็นเรื่องน่าขันที่สุดที่ข้าเคยฟังมาจริงๆ เฟิงสือหลี่เป็นเด็กน้อย ท่านถามผู้ฝึกวิชาเซียนทั้งหลายที่เขาสังหารดูสิว่าเห็นด้วยหรือไม่?”
ตันหวายแววตานิ่งงันไปชั่วครู่ สีหน้าพลันเยือกเย็นลงเช่นกัน “ท่านอย่ากล่าวร้ายผู้อื่น”
“ชางเจ๋อจวินผู้เลื่องชื่อลือนาม คงมีแต่เจ้านั่นแหละที่ไม่รู้จัก” ลี่ซูสีหน้าบิดเบี้ยวขึ้นมาทันใด “ประมุขมารอันดับหนึ่งแห่งพรรคมาร ท่านกลับบอกว่าเขาเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง ช่างน่าขันเสียนี่กระไร”
ตันหวายลุกขึ้นยืน เม้มปากกล่าวว่า “คราวนี้ข้ารบกวนเสียแล้ว ในเมื่อท่านไม่ต้อนรับพวกเรา เช่นนั้นข้าขอลา”
กล่าวจบตันหวายก็เดินออกไปโดยไม่เหลียวหลัง
ลี่ซูไม่ได้ขัดขวาง ก่อนเอ่ยขึ้นช้าๆ “หากท่านไม่เชื่อ จะถามเขาดูเอาเองก็ได้ ประมุขมารผู้ยิ่งใหญ่ ข้าว่าคงไม่พูดปดหรอก”
“หุบ—ปาก—!” ตันหวายกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ลี่ซูหลุบตาลงห้ามเลือดที่ยังคงไหลซึมจากท่อนแขนของตน กล่าวเสียงเรียบเฉยว่า “ท่านประมุขมาร เขาไม่เชื่อน่ะ”
ตันหวายแข็งทื่อไปทันที จู่ๆ ก็ก้าวขาไม่ออกกะทันหัน
เงาร่างสูงตระหง่านพลันปรากฏขึ้นในห้องหนังสือ เฟิงสือหลี่เหลือบมองลี่ซูอย่างระแวดระวัง เดินมาอยู่ตรงหน้าตันหวายโดยไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
ตันหวายเข้าใจกระจ่างขึ้นมาเดี๋ยวนั้น เขานึกถึงภารกิจที่เฟิงหลิวหลีมอบหมายให้แก่เขา นึกถึงคำว่า ‘ชาง’ ที่เจียงจิ่นหวายทิ้งปริศนาไว้ นึกถึงเฟิงสือหลี่ที่หายตัวไปทุกเช้า และนึกถึงเงื่อนงำอื่นอีกมากมาย
ตันหวายหันหลังกลับมาช้าๆ พ่นลมหายใจก่อนเอ่ยถามขึ้นเบาๆ ว่า “เป็นเจ้าหรือ?”
เฟิงสือหลี่พลันตัวแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด สุดท้ายก็พยักหน้ายอมรับโดยดุษณี
ตันหวายผงกศีรษะอย่างเข้าใจ คว้ามือเฟิงสือหลี่มาจับไว้แล้วกล่าว “ไปกับข้า”
“ช้าก่อน” เฟิงสือหลี่ดวงตาเป็นประกาย พลางหยุดยั้งการกระทำของตันหวายไว้ เขาหยิบขวดหยกใบเล็กจากในแขนเสื้อโยนไปทางลี่ซู
“เห็นแก่หน้าเจ้าที่ปกป้องเขาในวันนี้ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าชั่วคราว นี่คือสัตว์พาหนะอับโชคของเจ้า ยังมีดวงวิญญาณ หากต้องการให้มันคืนชีพก็ไม่ยากเย็นอะไร”
สีหน้าของลี่ซูดำดุจก้นหม้อทันทีทันใด พอตั้งท่าจะทะเลาะวิวาทกับเฟิงสือหลี่ คนทั้งสองที่เดิมทียังยืนอยู่ก็อันตรธานหายไปแล้ว
ขณะขี่กระบี่ตันหวายยังรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่เล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าจะกินสัตว์พาหนะของคนอื่นเขา โชคดีที่ยังชุบชีวิตคืนมาได้ นี่มิใช่การก่อกรรมทำเข็ญหรอกหรือ
เฟิงสือหลี่พาตันหวายมุ่งตรงมายังฐานที่มั่นของพรรคมาร ภพมารไม่ได้มืดมิดอย่างที่ตันหวายจินตนาการเอาไว้ ทว่าผู้ฝึกวิชามารที่เดินเพ่นพ่านอยู่ข้างในช่างชวนให้ขนหัวลุกจริงๆ เดี๋ยวก็มีหัววัวผ่านไปที เดี๋ยวก็มีโครงกระดูกผ่านมาที ทยอยตบเท้าเข้ามาท้าทายขีดจำกัดมนุษย์ของเขากันถ้วนหน้า
เมื่อได้เห็นเหล่าอสูรที่เดินผ่านไปมาต่างก้มหัวคำนับเฟิงสือหลี่ ตันหวายจึงตระหนักรู้ว่าเฟิงสือหลี่คือชางเจ๋อจวินผู้เลื่องชื่อลือนามอย่างแท้จริง
ตลอดทางตันหวายนึกอยากถามคำถามมากมาย อย่างเช่นว่าท่านกลายเป็นประมุขมารได้อย่างไร ยินยอมพร้อมใจหรือว่า…
แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่ได้เอ่ยปากถาม เขาไม่รู้ว่าควรจะเริ่มถามจากตรงไหนดี
ตำหนักของเฟิงสือหลี่ในภพมารใหญ่โตมโหฬาร ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ภายใน มีเพียงเทียนไขที่จุดทิ้งไว้กับอาวุธที่แขวนอยู่บนผนัง
ยามเปลวเทียนแดงฉานขับดุนประกายเย็นยะเยียบของสรรพาวุธ กลับให้ความรู้สึกกลมกลืนอย่างน่าประหลาด
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” เฟิงสือหลี่ถาม
ตันหวายตะลึงงัน ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
เฟิงสือหลี่ก็ไม่ได้รีบร้อน ก่อนสาวเท้าเดินไปนั่งบนเก้าอี้ในตำหนักพลางนวดคลึงหว่างคิ้ว อาจเป็นเพราะอยู่ในภพมาร หน้าผากที่เดิมทีเกลี้ยงเกลาของเฟิงสือหลี่จึงปรากฏลวดลายดอกบัวหม่นทึบให้เห็นเลือนราง
“เอามันออกไปได้หรือไม่?” ตันหวายถาม
มือที่นวดคลึงหว่างคิ้วของเฟิงสือหลี่พลันหยุดชะงัก “อะไร?”
ตันหวายเม้มริมฝีปากแล้วเดินไปอยู่ตรงหน้าเฟิงสือหลี่ ไล้นิ้วมือบนหน้าผากของเขาอย่างแผ่วเบา “ข้าบอกว่า ดอกไม้ดอกนี้ เอาออกไปได้หรือไม่? ข้ารู้สึกว่ามันไม่น่ามอง มันไม่น่ามองเท่าไฝน้อยบนเปลือกตาของท่าน”
เฟิงสือหลี่เหม่อลอยไปชั่วขณะ อำพรางตราประทับบนหน้าผากของตนเอาไว้ตามคำขอ พออำพรางเสร็จถึงมารู้สึกตัวว่าตนถูกตันหวายหลอกเอาเสียแล้ว
ตันหวายพึงพอใจยิ่งนัก มือยังไม่ผละออกจากหน้าผากของเฟิงสือหลี่ “อย่างนี้สบายตากว่าเยอะ”
เฟิงสือหลี่คว้ามือตันหวายที่ยุ่มย่ามอยู่บนหน้าผากของเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “อย่าคิดตุกติกเสียให้ยาก เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ตันหวายทำปากยื่น ชักมือของตนกลับมาพลางจ้องมองเฟิงสือหลี่โดยไม่ยอมปริปาก