[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก - ตอนที่ 36 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (5) / ตอนที่ 37 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (6)
- Home
- [นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก
- ตอนที่ 36 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (5) / ตอนที่ 37 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (6)
ตอนที่ 36 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (5)
วันเข้ากองถ่ายหนังตาขวากระตุกตลอดเวลา ตันหวายคิดว่าวันนี้ตนอาจจะต้องเจอโจทก์เก่าก็เป็นได้
สัมผัสที่หกของคนเราบางครั้งก็แม่นยำจนน่าทึ่ง ยังไม่ทันเข้ากอง ตันหวายก็มองเห็นคนที่เจ้าของร่างเดิมไม่อยากเจอแม้กระทั่งตอนตายที่หน้าทางเข้ากองถ่าย
ตันหวายหรี่ตาลง มองแฟนเก่าของเจ้าของร่างเดิมที่อยู่ห่างจากตนไปไม่ถึงสิบเมตร อดตัดพ้อว่าเจอศัตรูบนทางแคบเสียแล้วไม่ได้
สุยยางเห็นตันหวายเข้าก็ตระหนกตกใจ เขาถูกพักงานอยู่ไม่ใช่หรือ แล้วมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ตันหวายคลี่ยิ้มพลางเดินเข้าไปตบบ่าสุยยาง จู่ๆ ก็กล่าวขึ้นว่า “พี่ชาย เคยมีคนบอกไหมว่าชื่อนายตั้งได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่?”
ไม่ใช่ไม่ดีหรอกหรือ สุยยางสุยยาง ฟังแล้วเหมือนกับสุยหยางตี้[1] ตัวยางยังมาจากคำว่าประชาชนผู้เคราะห์ร้ายอีกด้วย นายบอกมาซิ นี่ต้องเกลียดลูกตัวเองขนาดไหนกันถึงได้ตั้งชื่อแบบนี้มาให้น่ะ
สุยยางตัวแข็งทื่อ เม้มปากถามว่า “นายมาที่นี่ทำไมกัน?”
ตันหวายเลิกคิ้ว ไม่กล่าวตอบ
สุยยางเห็นตันหวายไม่พูดไม่จา ก็นึกว่าเขาทุกข์ทรมานใจเลยมาเยี่ยมดูที่นี่ จึงพูดให้กำลังใจว่า “ไม่เป็นไร ฉันรู้ว่าหนังของผู้กำกับเริ่นได้เล่นยาก คราวนี้ฉันก็โชคช่วยเหมือนกัน นายอย่าเพิ่งท้อใจไปเลย ถ้าหากว่านายเต็มใจ พวกเรามาเริ่มต้นใหม่กันได้นะ”
“พรืด~” ตันหวายไม่ได้ทนกลั้นหัวเราะไว้ เขาเมินสีหน้าแปลกประหลาดของสุยยาง หัวเราะจนเกือบจะยืนตัวตรงไม่ไหว
หัวเราะจนพอใจแล้ว ตันหวายก็โคลงศีรษะกล่าว “มั่นหน้าจริงๆ”
คนประเภทนี้ โคตรจะมั่นหน้าตัวเองเลยจริงๆ ตันหวายถือว่าแพ้ราบคาบ
อย่าว่าแต่ตันหวายเองเลย แม้กระทั่งเจ้าของร่างเดิมก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับเขาแล้ว พี่ชายคนนี้สมกับเป็นเด็กที่เจ้านายหญิงเลี้ยงดู มั่นใจตัวเองเหลือเกิน
สุยยางเห็นตันหวายสบประมาทก็สีหน้าเปลี่ยนไม่รู้กี่รอบ สุดท้ายบนใบหน้าก็หลงเหลือเพียงความสับสน เขายอมรับ เขายังคงรักเยี่ยชิว แต่ความรักจะมีประโยชน์อะไร ความรักแลกข้าวกินได้หรือ? ในวงการนี้ ความรักเป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้ที่สุดแล้ว
____________
หลังจากไปรายงานตัวในกองถ่ายแล้ว ตันหวายก็พาผู้จัดการและขนย้ายสัมภาระไปยังโรงแรมที่ทีมงานจองไว้ให้พวกเขาพร้อมกัน โรงแรมไม่นับว่าดีมาก แต่ความสะอาดสะอ้านชนะเลิศ อย่างน้อยก็ดีกว่าห้องพักเล็กโทรมที่เจ้าของร่างเดิมเช่าอยู่เป็นไหนๆ
หลิวหลิวจัดข้าวของให้ตันหวายเสร็จแล้วก็กลับไป ถึงอย่างไรผู้จัดการก็ไม่มีธุระปะปังในกองถ่าย อย่างไรเสียจนกระทั่งตอนนี้ งานที่ผู้จัดการควรจะทำเขาก็ทำไม่สำเร็จสักอย่าง กลับทำงานเป็นผู้ช่วยอยู่ไม่กี่เรื่อง
เนื่องจากยังไม่เริ่มต้นถ่ายทำจริงจัง กองถ่ายจึงไม่ได้เลี้ยงอาหาร ตันหวายจัดการเก็บกวาดอย่างลวกๆ เตรียมจะออกไปหาของกินสักหน่อย
โรงแรมนี้คนไม่เยอะมากนัก ผู้มาพักที่นี่ล้วนเป็นคนจากกองถ่ายละครละแวกใกล้เคียงกัน จึงเก็บความลับได้เป็นอย่างดี ลิฟต์ขึ้นขาเดียวลงขาเดียว แถมยังต้องรูดบัตรถึงจะใช้งานได้ ตันหวายพอใจอย่างยิ่ง
ในใจกำลังครุ่นคิดว่าจะกินอะไรดี ขณะที่ตันหวายเดินออกจากลิฟต์หางตาพลันประกายวาบ ร่างทั้งร่างนิ่งตะลึงอยู่กับที่ รูม่านตาหดตัวแน่น
จนกระทั่งเมื่อได้สติกลับมา ประตูลิฟต์ด้านข้างก็ปิดลงแล้ว ตันหวายเบิกตาโพลงอย่างไม่อยากจะเชื่อ พยายามพิสูจน์ให้กระจ่างสุดชีวิตว่าตนไม่ได้เห็นภาพลวงตา
เมื่อกี้คนคนนั้น…เมื่อกี้คนคนนั้นทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยเหลือเกิน ทำให้เขาคุ้นเคยเสียจนสับสนว้าวุ่น
ฟันเริ่มสั่นกระทบกันอย่างห้ามไม่อยู่ ตันหวายแทบจะกัดฟันตัวเองจนแตกละเอียด
“ระบบ คุณรู้หรือเปล่าว่าคนที่เดินเฉียดไหล่ผมไปเมื่อกี้คือใคร?” ตันหวายเอ่ยพูดน้ำเสียงก็ยังเจือแววสั่นเครือ
(ขออภัยท่านเจ้าของร่าง ขณะนี้ระบบยังไม่มีฟังก์ชั่นดังกล่าว)
ตันหวายเอามือยันกำแพง หลับตาลงแน่นสนิท
“ระบบ ความรู้สึกแบบนั้นมันช่างคุ้นเคยเหลือเกิน ผม…ผมพอจะเดาออกอย่างหนึ่ง”
ระบบนิ่งเงียบ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับคำพูดของเจ้าของร่างอย่างไร เขาไม่เข้าใจความรู้สึกดังกล่าวของเจ้าของร่างจริงๆ บางทีนี่อาจจะเป็นแรงดึงดูดระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ก็เป็นได้
ตันหวายลุกขึ้นยืน ไม่มีอารมณ์จะกินข้าวแล้ว
กลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง ตันหวายทิ้งตัวเองลงบนเตียง ความคิดถึงยิ่งรุมเร้าแรงกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ
หากไม่เคยพบเจอแสงตะวัน เขายังคงสามารถทนรับความมืดมิดอันเดียวดาย ทว่าเมื่อพบเจอแสงตะวันแล้ว ความเจ็บปวดที่เขาได้รับจากความเดียวดายเช่นนี้ ช่างทรมานกว่าแต่ก่อนเป็นร้อยเท่าพันทวี
จวินเฉิง ข้าคิดถึงท่าน ตันหวายพึมพำ
——
[1] สุยหยางตี้ คือจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์สุยผู้ได้ชื่อว่าเป็นทรราช
ตอนที่ 37 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (6)
สภาพจิตใจของตันหวายไม่ดีเอาเสียเลย ไม่สิ น่าจะเรียกว่าย่ำแย่มาก รอยหมองคล้ำเหมือนจะติดอยู่บริเวณขอบตาของเขา สะบัดอย่างไรก็สะบัดไม่ออก
เมื่อคืนนี้เขาสะดุ้งตื่นตั้งหลายครั้ง ย้อนไปย้อนมาระหว่างความฝันต่างๆ ถึงกับแยกไม่ออกว่าอันไหนคือความฝันอันไหนคือความจริง
ตอนที่มาถึงกองถ่ายผู้กำกับที่เล่าลือกันยังไม่มา ตันหวายตรงไปยังห้องแต่งตัวทันที
ช่างแต่งหน้าของกองถ่ายมีเยอะมาก คนที่จัดมาให้ตันหวายเป็นผู้ชายวัยหนุ่มคนหนึ่ง
เมื่อชายหนุ่มเห็นขอบตาดำของตันหวายก็หน้าดำคร่ำเครียดเดี๋ยวนั้น กรีดนิ้วเป็นดอกกล้วยไม้พลางร้องอุทานว่าทำเสียของหมด “เธอไม่มีมาส์กเหรอ? ใต้ตาดำสาหัสขนาดนี้ไม่ใช่จะทำกันได้ในวันเดียวด้วย พระเจ้า เธอเป็นนักแสดงนะ ไม่ใช่โปรแกรมเมอร์!”
ตันหวายกะพริบตาปริบๆ ยิ้มถามว่า “คุณกำลังแซวโปรแกรมเมอร์เหรอครับ?”
“Shut up!” ช่างแต่งหน้าทำเสียงฮึดฮัดอย่างโกรธเคือง แล้วหยิบคอนซีลเลอร์ขวดหนึ่งออกมาละเลงลงบนใบหน้าของเขา
ตันหวายคิดไม่ถึงว่าการแต่งหน้าครั้งแรกของตนกลับเกิดขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้ ว่าแต่ช่างแต่งหน้าคนนี้มือหนักเกินไปจริงๆ หน้าของเขาโดนถูขยี้จนเจ็บระบม
ไม่ง่ายเลยกว่าจะแต่งหน้าเสร็จ ตันหวายนิ่วหน้า พอเดินออกประตูมาก็เจอเข้ากับตัวซวยอีกคน
“เยี่ยชิว…” เสียงของสุยยางแผ่วเบา แต่ตันหวายยังคงฟังได้ยิน
ตันหวายกลอกตาขึ้นฟ้า ก่อนคลี่รอยยิ้มที่ตนรู้สึกว่าอบอุ่นมาก “รบกวนหลีกทางให้ด้วย ไม่ซื้อประกัน”
สุยหยาง “…”
มองหาทำเลห่างไกลผู้คน ตันหวายพลิกเปิดบทละครพลางเริ่มต้นท่องบทพูด ตันหวายเล่นเป็นนักแสดงชายสมทบ ออกฉากไม่เยอะ แต่กลับเป็นตัวละครที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง ถ้าหากแสดงได้ดีล่ะก็อาจจะมีโอกาสแจ้งเกิด คาดว่าน่าจะโกยแฟนคลับได้ไม่น้อย
ตันหวายมั่นใจว่าตนแสดงละครไม่เป็น ขอบตาดำของเขาเกิดจากการดูละครโทรทัศน์ตลอดทั้งคืนเพื่อเรียนรู้ทักษะการแสดงก่อนมากองถ่าย เดิมทียังไม่ชัดเจน หลังจากผ่านเมื่อคืนมาแล้วก็ระเบิดออกมาอย่างหมดเปลือก
ตันหวายครั้งหนึ่งเคยคิดว่าระบบกำลังลงโทษตน นายให้เด็กจิตรกรรมที่ไม่มีทักษะการแสดงเลยไปคว้าฝันเป็นราชาวงการภาพยนตร์ ทำไมนายไม่ไปขึ้นสวรรค์ซะเลยล่ะ
“ผู้กำกับ” ผู้เขียนบทเห็นเริ่นตงหลิวเดินสูบบุหรี่เข้ามา ก็รีบเข้าไปทักทายอย่างรวดเร็ว
เริ่นตงหลิวพยักหน้ารับ ขยี้ดับบุหรี่ในมือพลางกวาดมองไปรอบๆ ขมวดคิ้วถามว่า “เตรียมพร้อมกันหรือยัง?”
“มีอีกสองสามคนกำลังแต่งหน้าค่ะ”
เริ่นตงหลิวผงกศีรษะ ก่อนจะเหลือบไปเห็นตันหวายที่ท่องบทอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่มุมหนึ่ง
เดินไปอยู่ข้างหลังตันหวายโดยไร้สุ้มเสียง เริ่นตงหลิวมองคำพูดห้าประโยคในบทละครพลางขมวดคิ้วมุ่น
แค่บทพูดห้าประโยคก็ต้องท่องด้วย?
“ฉันแซ่เจียงชื่อ…ชื่อเจียงหลี”
“เหม่ยซู่ เพราะว่าฉัน…ฉันชอบ”
ถูกต้อง ตอนนี้ตันหวายเคร่งเครียดจนเริ่มจะติดอ่างแล้ว
เริ่นตงหลิวฟังไปสองประโยคก็ทนฟังต่อไม่ไหวจริงๆ เอ่ยปากถามทันที “คุณไม่ได้จบปริญญาตรีด้านนี้หรอกหรือ?”
“???” ตันหวายตกใจเสียงที่ดังขึ้นกะทันหันจนขนลุกชันไปหมด
รู้อยู่แล้วว่าต้องถูกถามคำถามแบบนี้ ตันหวายจิตใจสงบนิ่งจนน่าแปลกใจ ก่อนหมุนตัวกลับอย่างสุขุม ตันหวายพลันเอามือปิดหน้ากล่าวอย่างขมขื่น “พูดตามความจริง ผมความจำเสื่อมแล้ว”
เริ่นตงหลิว “…”
อึดอัด อึดอัดจริงๆ
ท่ามกลางบรรยากาศอันกระอักกระอ่วนเช่นนี้เอง เริ่นตงหลิวก็หัวเราะออกเสียง
ตันหวายที่เอามือปิดหน้าใบหูกระดิก คิดว่าเสียงหัวเราะฟังดูคุ้นเคยนิดหน่อย
(ติ๊ง~ท่านเจ้าของร่าง เป้าหมายยึดครองของท่านปรากฏตัวแล้ว)
อะไรนะ! ตันหวายตั้งสติไม่ทัน เป้าหมายยึดครอง? ทำไมยังมีเป้าหมายยึดครองอยู่อีก!
ทิ้งมือพรวดลงมา วินาทีที่มองเห็นเริ่นตงหลิว ตันหวายก็นิ่งทื่อไป เขาจ้องคนตรงหน้าเขม็งโดยไม่พูดสักคำเดียว จ้องเอาจ้องเอาจนขอบตาเริ่มแดงก่ำแล้ว
เริ่นตงหลิวตกใจกับปฏิกิริยาของตันหวาย เขากะพริบตาปริบ ไฝเล็กบนเปลือกตาปรากฏอยู่เบื้องหน้าตันหวายแล้วผลุบหายไป
“ผมหน้าตาน่ากลัวมากหรือ?” เริ่นตงหลิวถาม น้ำเสียงเจือแววขบขันจางๆ พูดตามตรง เขารู้สึกว่านักแสดงเด็กคนนี้เหมือนกระต่ายมากจริงๆ อืม ถ้าจับคู่กับแครอทสักหัวจะยิ่งดีเลย
ตันหวายสะบัดศีรษะสุดแรง สะบัดจนเริ่นตงหลิวชักกลัวว่าคอเขาจะบิดหักแล้ว
“อือ คุณคิดว่าผมเป็นอย่างไรบ้าง?” ตันหวายหลุดปากพูดออกมา
เริ่นตงหลิว “…”
“คุณเป็นคนดีไหม?”