[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก - ตอนที่ 4 สิงร่างลูกผู้ดี แล้วปรี่เข้าประจบท่านอ๋อง (4)
- Home
- [นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก
- ตอนที่ 4 สิงร่างลูกผู้ดี แล้วปรี่เข้าประจบท่านอ๋อง (4)
แสงจันทร์เย็นยะเยือก ตันหวายยืนอยู่หน้าประตูตำหนักฮวาเจียว[1]รับลมหนาวที่พัดโชยปะทะใบหน้า เสื้อผ้าที่เดิมทีไม่หนาบัดนี้ยิ่งแลดูเบาบาง
จิตกษัตริย์ยากคาดเดา โบราณเล่ามิหลอกลวง ตันหวายยืนอยู่หน้าประตูตำหนักขบคิดอยู่นานสองนาน รู้สึกว่าเหอจินหมิงท่าเป็นโรคจิตเข้าจริงๆ เข้าเรือนหอยังต้องสั่งให้ตนรออยู่ข้างนอก ไม่อายเรื่องพรรค์นั้นบ้างเลยหรือไง! คิดในใจว่าเขาเกิดมายี่สิบกว่าปี หนังปลุกใจที่สุดที่เคยดูก็มีแต่สารคดีสัตว์โลกแล้ว
พอมองไปรอบด้าน ตันหวายก็พบว่าข้าราชบริพารล้วนยืนห่างจากตนไปไกล จากนั้นก็เอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “ขอถามเรื่องหนึ่งสิ”
(ท่านเจ้าของร่างเชิญกล่าว)
คำพูดจากระบบพลันปรากฏขึ้นในหัวของเขา
ตันหวายเม้มริมฝีปาก ลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนหยั่งเชิงถามว่า “ในโลกนี้เคยมีช่วงเวลาที่เจ้าของร่างสองคนปรากฏตัวพร้อมกันหรือเปล่า?”
(เป็นไปไม่ได้ โลกทุกใบล้วนมีกฎระเบียบของตนเอง การดำรงอยู่ของท่านถือเป็นตัวแปรหนึ่งของโลก ศูนย์บัญชาการไม่อาจจัดวางตัวแปรที่สองไว้ที่นี่)
ตันหวายผิดหวังเล็กน้อยพลางส่งเสียงอืมเบาๆ จวินเฉิงหน้าตาเหมือนไป๋เยว่ฉางไม่มีผิด หรือว่านี่จะเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ
ตันหวายรู้สึกว่าเขากับเจ้าของร่างเดิมตันฝูเซิงไม่เพียงหน้าตาเหมือนกัน แม้กระทั่งเส้นทางความรักก็มีบางจุดใกล้เคียงกัน อย่างเช่น พวกเขาต่างก็มีชายในดวงใจ ถึงแม้ชายในดวงใจของเขาจะดีกว่าชายในดวงใจของตันฝูเซิงเป็นร้อยเท่า แต่ในท้ายที่สุด พวกเขาต่างก็เป็นคนที่หาจากไหนไม่ได้อีกแล้ว
ชายในดวงใจของตันหวายเป็นแสงจันทร์กระจ่างอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่เพราะเขามีชื่อว่าไป๋เยว่ (จันทร์กระจ่าง) แต่เป็นเพราะคนคนนั้นอยู่ไกลเกินเอื้อมเหมือนกับแสงจันทร์ ตันหวายรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างเขากับไป๋เยว่เกือบจะเท่ากับระยะทางจากโลกไปถึงดวงจันทร์อยู่แล้ว ห่างไกลเสียจนบรรจุดวงดาวทุกดวงในระบบสุริยะไว้ได้เลยทีเดียว
อันที่จริงเขาเชื่อมต่อกับระบบนี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับไป๋เยว่ วันที่เกิดเหตุเขาเพิ่งออกมาจากห้องจิตรกรรมพอดี สายตาเหลือบไปเห็นหน้าประตูมหาวิทยาลัยมีรถหน้าตาคุ้นๆ จอดอยู่คันหนึ่ง สาเหตุที่เขาคุ้นเคยกับรถคันนี้ไม่ใช่เพราะตัวรถดูหรูหราโอ่อ่าแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเขารู้จักรถคันนั้นดี มันคือรถของไป๋เยว่
ไป๋เยว่จบจากมหาวิทยาลัยไปสองปีแล้ว จู่ๆ ก็มาปรากฏตัวที่นี่ ทำให้ตันหวายตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาเห็นไป๋เยว่ยืนพิงอยู่ข้างประตูรถ ขมวดคิ้วดูนาฬิกาบนข้อมือ เห็นชัดว่ากำลังรอใครบางคนอยู่ ที่จริงแล้วเขาจะรอใครก็ไม่เกี่ยวอะไรกับตันหวาย แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาไปหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง อยากจะมองหน้าคนคนนี้ให้ถนัดตาเสียหน่อย
อันที่จริงเขารู้รสนิยมทางเพศของตนเองมานานแล้ว และก็ยอมรับมานานแล้วเช่นกัน เพราะเหตุนี้เมื่อเขาตกหลุมรักไป๋เยว่ เขาจึงไม่ตื่นตระหนกเลยสักนิด ทั้งร่างกายโอบล้อมไปด้วยความปีติยินดีอันท่วมท้นเต็มเปี่ยม ที่จริงแล้วการชอบใครสักคนช่างมีความสุขเหลือเกิน แม้เขาจะรู้ดีว่าเรื่องระหว่างพวกเขาทั้งสองไม่มีวันเป็นจริงก็ตาม
ไป๋เยว่เป็นชายแท้ประเภทลูกผู้ชายตัวจริง เขาเคยได้ยินนักเรียนคนอื่นเล่าว่า เวลาไป๋เยว่โดนล้อเรื่องรักร่วมเพศทีไร ก็มักจะแสดงท่าทีรังเกียจออกมาตรงๆ ตันหวายคิดว่าการชอบใครสักคนเป็นเรื่องของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องไปหาเรื่องให้คนรังเกียจ ดังนั้นเขาจึงกลบฝังความรู้สึกนี้ไว้ที่ก้นบึ้งหัวใจอย่างมิดชิด
เขามองคนคนนั้นพลางแอบดีอกดีใจโดยไม่ให้ใครเห็น มองเขาขมวดคิ้ว มองเขาก้มหน้า มองการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของเขาที่ตนไม่เคยได้เห็นมาก่อน
ตอนที่รถบรรทุกพุ่งเข้ามา ตันหวายสมองว่างเปล่าชั่วขณะ ไม่รู้ไปเอาความกล้ามาจากไหนพุ่งตัวเข้าไปผลักเขา จากนั้นเขาก็สิ้นสติโดยไม่รู้ว่าไป๋เยว่เป็นอะไรหรือไม่ สุดท้ายแล้วได้ผลักเขาออกไปหรือเปล่า
ระบบตรวจพบว่าตันหวายเริ่มจิตตก จึงรีบปลอบโยนเขาในทันที ทำเอาสมองของตันหวายมีแต่คำปลอบโยนอย่างไม่มีที่มาที่ไปจากระบบผุดขึ้นเต็มไปหมด กระทั่งความคิดอันหดหู่ก็ไม่อาจเค้นออกมาได้แล้ว
ขณะที่คิดจะสั่งให้ระบบปิดปากนั่นเอง ประตูตำหนักฮวาเจียวก็เปิดออก
“คุณชายตัน” ขันทีอาวุโสประจำตัวของเหอจินหมิงเดินหน้าตายเข้ามาคำนับตันหวาย กล่าวด้วยเสียงแหบแหลมของตนว่า “กลางคืนอากาศเย็น ฝ่าบาททรงคำนึงถึงร่างกายของคุณชาย รับสั่งให้คุณชายกลับไปก่อนขอรับ”
ตันหวายกะพริบตาปริบๆ เอาหัวแม่เท้าคิดก็ยังรู้เลยว่าเหอจินหมิงหมายความว่าอะไร พูดออกมาได้ว่าเป็นห่วงร่างกาย ที่จริงหมายถึงแกไม่มีธุระอะไรที่นี่แล้วรีบไสหัวไปซะต่างหาก ตันหวายก่นด่าในใจ เหอจินหมิงนายมันไม่ใช่คน นี่มันเข้าทำนองฆ่าลาเมื่องานเสร็จชัดๆ! ไม่สิ เขาไม่ใช่ลา[2]สักหน่อย นั่นมันเอาไว้…ช่างเถอะ
“กลางคืนมืด ข้าน้อยให้คนส่งคุณชายกลับตำหนักดีหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่ล่ะ ข้ากลับเองก็ได้” ตันหวายยิ้มพลางปฏิเสธ เห็นพูดจาน่าฟัง เกรงว่าเขาคงอยากให้กลับไปเองใจจะขาด ทั้งยังช่วยตัดเรื่องยุ่งยากให้เขา กลับตำหนักหรือ ก็แค่กลับห้องเก็บฟืนโทรมๆ นั่นไม่ใช่รึไง
จริงดังคาด พอเห็นเขาปฏิเสธ บนใบหน้าของขันทีอาวุโสก็มีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง “คุณชายเดินระวังขอรับ ข้าน้อยเห็นว่าด้วยสติปัญญาเลิศล้ำของคุณชาย ย่อมต้องหาทางกลับตำหนักเจอเป็นแน่”
ตันหวายพยักหน้ารับเนือยๆ อย่างหมดอารมณ์ กลับห้องเก็บฟืนที่ตื่นมาเจอเมื่อตอนกลางวันตามลำพัง ในหัวของเขามีความทรงจำเจ้าของร่างเดิม ไม่กลัวว่าจะกลับไม่ถูกอยู่แล้ว
ภายในพระราชวังแขวนโคมไว้รอบทิศ หากไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะรู้สึกอบอุ่นขึ้นบ้าง ห้องเก็บฟืนในวังมีมากมาย ตันหวายอาศัยอยู่ในส่วนเปลี่ยวที่สุด เพราะนั่นคือห้องเก็บฟืนในตำหนักเย็น แม้กระทั่งตำหนักเย็นก็ไม่ยอมให้เจ้าของร่างเดิมอยู่อาศัย แค่คิดดูก็รู้แล้วว่าเหอจินหมิงเกลียดชังเจ้าของร่างเดิมมากเพียงใด
ในขณะที่คิดอยู่นั้น ตันหวายก็ถูกใครบางคนตบบ่าเบาๆ ทีหนึ่ง
——
[1] ตำหนักฮวาเจียว คือ ตำหนักที่นำพริกฮวาเจียวมาบดผสมกับดินแล้วโบกผนังสร้างความอบอุ่น ส่วนมากเป็นที่ประทับของฮองเฮา
[2] คำแสลงหมายถึงทวารหนัก