[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก - ตอนที่ 60 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (29) / ตอนที่ 61 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (30)
- Home
- [นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก
- ตอนที่ 60 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (29) / ตอนที่ 61 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (30)
ตอนที่ 60 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (29)
ระยะทางจากสนามบินถึงบ้านตันหวายไม่ไกลนัก เพียงแต่ว่าต้องตัดผ่านถนนคนเดินเส้นหนึ่ง ถนคนเดินคึกคักมาก ขับผ่านทีไรก็แสนจะลำบาก
เมือง B ในยามกลางดึกยังคงมีผู้คนพลุกพล่าน แต่ละคนต่างก็เดินมุ่งหน้าไปอย่างรีบร้อน แขกผ่านทางที่มีชีวิตจิตใจที่สุดคงจะเป็นเสาไฟที่ถูกตกแต่งจนส่องแสงกะพริบวิบวับเหล่านั้น
ตันหวายหลับตาลง ย่นจมูกเล็กน้อย ทนรับกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงที่ฟุ้งกระจายไปทั่วอย่างเหลือทน
“เมารถ?” เริ่นตงหลิวจับพวงมาลัยอยู่ ละสายตามาเหลือบมองเขา
ตันหวายส่ายศีรษะ ลืมตาขึ้นถาม “เริ่นตงหลิว คุณยังโสดอยู่หรือเปล่า?”
เริ่นตงหลิวตกตะลึง เม้มปากพลางหันมองไปข้างหน้า ตั้งใจขับรถสายตาไม่วอกแวก แต่กลับขมวดคิ้วมุ่นเผยให้เห็นอารมณ์หงุดหงิดรำคาญของเขา
ตันหวายยิ้มกล่าวอย่างช้าๆ “เริ่นตงหลิว ถ้าคุณไม่ได้โสด ผมจะเลิกเกาะแกะคุณแล้ว”
เริ่นตงหลิวมือสั่นสะท้าน รีบหาบริเวณจอดรถแล้วหยุดรถลง เบี่ยงกายมาขมวดคิ้วมองตันหวาย
เริ่นตงหลิวรู้ว่าตนทำตัวย้อนแย้ง เขาไม่รู้เหมือนกันว่านี่ตนเป็นอะไรไป เห็นชัดๆ อยู่ว่าตนไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่าม แต่พอได้ยินคำพูดของตันหวาย หัวใจกลับพลันโหวงเหวงว่างเปล่า
“เริ่นตงหลิว ใช่หรือเปล่า?” ตันหวายถาม
เริ่นตงหลิวเม้มริมฝีปาก แววตาร้อนระอุ “ผมเป็นโสดมาตลอด เกิดมายี่สิบแปดปี ไม่เคยมีคู่มาก่อนเลย”
ชะงักไปสักครู่ เริ่นตงหลิวกล่าวอธิบายว่า “คุณพ่อผมให้ผมไปดูตัว ก่อนจะมารับคุณ ผมก็แค่ส่งเธอกลับบ้านตามมารยาทเท่านั้น”
เริ่นตงหลิวกำลังอธิบายเรื่องกลิ่นน้ำหอม
ตันหวายกะพริบตาปริบๆ มองเขาแล้วยิ้ม “ผู้กำกับเริ่น คุณเอาตัวรอดเก่งนักเหรอ หยิบน้ำอบมาเดี๋ยวนี้”
ตันหวายเชิดปลายคางขึ้น ดวงตาจ้องมองน้ำอบบนคอนโซลรถ
เริ่นตงหลิวหยิบน้ำอบมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ก่อนจะยัดใส่ในมือของตันหวาย
พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ตันหวายแค่นเสียงหึไปพลางกล่าวไปพลางว่า “คราวหน้าช่วยจัดการกลิ่นให้หมดจดทันทีด้วย แล้วก็…คราวหน้าไม่อนุญาตให้ไปดูตัว!”
เห็นตันหวายกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว เริ่นตงหลิวก็ผ่อนลมหายใจ
“นั่งเหม่อทำไมเล่า?” ตันหวายเอาน้ำอบกลับไปวางกับที่ แล้วคว้ามือบีบแก้มของเริ่นตงหลิว “ผมยังไม่ได้กินข้าว ไปกัน ไปถนนคนเดิน พี่จะพาน้องกินหมาล่าทั่งเอง”
เริ่นตงหลิวชำเลืองมองเขา กล่าวอย่างไม่คาดคิดว่าตนจะถูกบีบแก้ม “ตอนดึกกินหมาล่าทั่งไม่ได้ ผมเตรียมซุปมาให้คุณแล้ว”
“เตรียมซุปมา?” ตันหวายพูดไม่ออก เอามือถูจมูกอย่างเขินอาย อืม ถึงจะไม่ได้กินหมาล่าทั่ง แต่ก็รู้สึกมีความสุขลึกๆ อยู่ในใจ
อาคารเก่าทรุดโทรมตั้งตระหง่านอยู่แถบชานเมือง B สีสันดั้งเดิมของตัวอาคารมองไม่ออกแล้ว พื้นผนังหลุดร่อนออกเป็นแผ่นๆ บ้างประปราย แสดงให้เห็นว่าแถวย่านนี้มีอายุยาวนานไม่น้อยทีเดียว
แสงสว่างในทางเดินอาคารมืดสลัว โคมไฟสั่งการด้วยเสียงส่องแสงสีเหลืองตุ่นเพราะเสียงฝีเท้าจากบันได ตามซอกมุมเพดานห้องมีรังนกนางแอ่นกกไข่กระจัดกระจายอยู่หลายจุด เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ถ่ายทำหนังผีชั้นยอด
ตันหวายยืนอยู่หน้าประตูพลางทำเสียงบอกให้เงียบ ก่อนล้วงหยิบกุญแจมาเปิดประตูอย่างระมัดระวัง ถือโอกาสอธิบายให้เริ่นตงหลิวฟังว่า “เพื่อนร่วมห้องผมเป็นสาวน้อยใสซื่อ คิดว่าคงหลับไปแล้ว พวกเราต้องระวังหน่อย”
เริ่นตงหลิวขมวดคิ้ว “ผู้หญิง?”
ตันหวายตอบอืมคำหนึ่งแล้วโก้งโค้งเข้าไปในห้อง แม้แต่ไฟก็ไม่กล้าเปิด ก่อนเอื้อมมือไปสะกิดเรียกเริ่นตงหลิวให้ตามเขาเข้ามา
ตันหวายเพิ่งจะโผล่เข้าไปแค่ครึ่งตัว ยังไม่ทันย่างเหยียบเข้าไปเต็มเท้า ก็ถูกเริ่นตงหลิวข้างหลังฉุดกลับมารวบไว้ในอ้อมแขน
เพล้ง!
เสียงแก้วตกกระทบพื้นดังแหวกม่านราตรี ตันหวายได้ยินเสียงโอดครวญของเริ่นตงหลิวอย่างชัดเจน
ตันหวายสมองว่างเปล่า ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง สองมือกอดเอวเริ่นตงหลิวไว้อย่างสั่นระริก
ห้องเช่าสองห้องนอนขนาดแปดสิบกว่าตารางเมตร หลอดไฟสีขาวส่งเสียงกะพริบเบาๆ พร้อมทั้งเก็บซากศพยุงได้ตัวหนึ่ง
หวังเสี่ยวเสวี่ยยืนกระอักกระอ่วนอยู่ข้างโซฟา มองดูคนทั้งสองที่นั่งนวดไข่ไก่อยู่บนโซฟาด้วยสีหน้าเปี่ยมความละอายใจ
ไข่ไก่เพิ่งต้มสุกได้ที่ ทั้งขาวทั้งกลม เข้ากับมัดกล้ามเนื้อที่โผล่ให้เห็นเพียงวับๆ แวมๆ ของเริ่นตงหลิว นึกไม่ถึงว่าจะ…น่ากินเป็นพิเศษ
กระเพาะของตันหวายร้องคำรามโดยไม่รู้จักเวล่ำเวลาอย่างที่สุด
เงียบกริบ…
หวังเสี่ยวเสวี่ยกับเริ่นตงหลิวพากันมองมาทางตันหวาย แต่กลับเห็นคนคนนี้ตีหน้านิ่งเฉย นวดไข่ไก่ให้เริ่นตงหลิวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
นี่ นายไม่รู้ตัวหรือไงว่ากระเพาะนายเปิดโปงนายหมดแล้ว?
ตอนที่ 61 แก้แค้นโลกมายา เจ้าของร่างคนนี้เซ็งนิดหน่อย (30)
ในห้องรับแขกมีซุปปลากลิ่นหอมฉุยวางไว้บนโต๊ะ ซุปปลายังมีไข่ขาวนวลเนียนสองฟองนอนอยู่ข้างใต้
ตันหวายเคี้ยวไข่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ตักน้ำซุปร้อนฉ่าขึ้นมาดื่มบ้างเป็นครั้งคราว
หวังเสี่ยวเสวี่ยตกใจจนแทบจะร้องไห้ เธอไม่ได้ตั้งใจทำจริงๆ ตอนแรกกำลังแปะแผ่นมาส์กหน้าอยู่ จู่ๆ ได้ยินเสียงคนเปิดประตูใครจะไม่ตกใจกลัวบ้างล่ะฮือออออ
เก็บกวาดเศษแจกันที่หน้าประตูจนเสร็จเรียบร้อย หวังเสี่ยวเสวี่ยกล่าวขอโทษเริ่นตงหลิวเป็นครั้งที่ N
เริ่นตงหลิวโบกมือปัด กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “กลับห้องไปนอนเถอะ ดึกมากแล้ว”
เหลียวกลับไปมองตันหวายที่กำลังดื่มซุปปลา หวังเสี่ยวเสวี่ยรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
เริ่นตงหลิว “กลับไปเถอะ นั่นเขาหิวจนอารมณ์ไม่ดีเฉยๆ”
ตันหวายชะงักตะเกียบ ไม่พูดไม่จา ยิ่งออกแรงเคี้ยวไข่หนักหน่วงกว่าเดิม
ตันหวายโกรธมาก ถ้าหากแจกันฟาดโดนตัวเขาเอง เขาก็คงจะไม่โกรธถึงขนาดนี้ แต่ว่าดันฟาดไปโดนเริ่นตงหลิว นั่นทำให้เขาเคืองนิดหน่อยจริงๆ
หวังเสี่ยวเสวี่ยมองสลับไปมาระหว่างพวกเขาทั้งสองคน ก่อนกลับเข้าห้องของตนด้วยความอึดอัดใจ
เริ่นตงหลิวนั่งลงด้านข้างตันหวาย มองไข่ขาวที่เหลือทิ้งไว้เพียงครึ่งฟองในซุปปลา กล่าวอย่างเข้าใจว่า “ที่แท้นี่ก็คือเหตุผลที่คุณต้มไข่ไว้ซะเยอะสินะ”
ตันหวายแค่นเสียงหึๆ ก่อนดื่มซุปปลาในชามจนหมดเกลี้ยง
ตันหวายเช็ดปากแล้วเอ่ยถาม “ได้ยินว่าสตูดิโอของพวกคุณจะจัดหาบ้านให้นักแสดงหลังเซ็นสัญญาหรือ?”
เริ่นตงหลิวคลี่ยิ้ม “คิดดีแล้ว?”
“อ่าฮะ”
สมควรเปลี่ยนบ้านแล้วจริงๆ วันหลังภรรยาตนมาหาก็คงจะลำบากเกินไป แจกันใบเดียวยังทุบเสียจนแขนช้ำไปหมด เขาเจ็บปวดแทบจะขาดใจตายอยู่แล้ว
ตันหวายร่ำเรียนครั้งนี้ใช้เวลาเกือบหนึ่งปี วันสุดท้ายที่เรียนจบตันหวายก็ตัดสินใจย้ายบ้านในที่สุด
วันที่ย้ายบ้าน หวังเสี่ยวเสวี่ยกัดปากถามเขาเสียงอ่อยว่าเป็นเพราะเรื่องในคืนนั้นหรือเปล่า ทั้งยังกล่าวคำขอโทษอีกหลายครั้ง
ตันหวายยิ้มพลางส่ายหน้า “เธอไม่ต้องคิดมากหรอกน่า ฉันจะยังเช่าที่นี่ไว้อยู่ เธอไม่ต้องห่วงเรื่องจ่ายเงินค่าเช่าเพิ่มด้วย”
ตันหวายยังคงตั้งใจจะเช่าต่อไป เช่าต่อไปเรื่อยๆ เก็บไว้เป็นที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ ให้แก่เจ้าของร่างเดิม
(ท่านเจ้าของร่าง ขอแสดงความยินดี) ระบบกล่าว
“ยินดีเรื่องอะไร?” ตันหวายดันแว่นตากันแดดบนดั้งจมูก ถามอย่างรู้สึกประหลาดใจ
(ขอแสดงความยินดีกับการย้ายบ้าน ขอให้ท่านเจ้าของร่างได้ครองใจสาวงามในเร็ววัน)
“ถุยๆๆ สาวงามอะไรกัน” ตันหวายแค่นเสียงหึ “สามีต่างหาก”
หยิบมือถือออกมาด้วยอารมณ์เบิกบาน ตันหวายถ่ายเซลฟี่แบบย้อนแสงรูปหนึ่ง จากนั้นก็เปิดเวยป๋อโพสต์ลงไป
นี่คือเยี่ยเสี่ยวชิวเอง v : โลกช่างสวยงาม ผมกลับมาแล้วครับ [รูปภาพ]
ตลอดหนึ่งปีนี้ นอกจาก <ห้องลับดับสยอง> ตันหวายก็แทบไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะชนเลย แม้ว่าจำนวนแฟนคลับจะน้อยลงไปมาก แต่ก็มีแฟนพันธุ์แท้อยู่เยอะเหมือนกัน
เยี่ยเสี่ยวชิว : กรี๊ดดดดดด คุณพระ แม่ถามฉันว่าทำไมต้องเลียจอ
ลืมไม่ลง : ไม่เจอกันนาน เยี่ยชิวหล่อกว่าเดิมอีก
หลังจากตันหวายเช็คดูคอมเมนต์คร่าวๆ และสุ่มตอบกลับไปบ้างแล้ว ก็เดินทางออกจากสถานที่ที่เขาอาศัยอยู่มาเกือบหนึ่งปีด้วยอารมณ์แจ่มใสเบิกบาน
__________
หลิวหลิวผลักประตูสตูดิโอเข้ามาอย่างตาลีตาเหลือก เอื้อมมือไปเขย่าตัวปลุกตันหวายที่ฟุบหน้านอนกลางวันอยู่บนโต๊ะ
“พ่อเจ้าประคุณทูนหัว นายบอกว่าใครยังมีความรู้สึกกัน นายนอนต่ออีกนิดคงได้ตายสนิทพอดีแล้ว!”
ตันหวายเหยียดตัวบิดขี้เกียจ อ้าปากหาวไปพลางเลิกคิ้วไปพลาง ยกมือพาดบ่าของหลิวหลิวแล้วถาม “คุณรู้จักสุภาษิตบทหนึ่งหรือเปล่า?”
“สุภาษิตอะไร?” หลิวหลิวงงงวย นี่ต้องอ้างสุภาษิตอะไรด้วยหรือ?
ตันหวายพลันฉีกยิ้มแฉ่ง โพล่งออกมาประโยคหนึ่ง “ฮ่องเต้ไม่รีบขันทีรีบ!”
“หลิวกงกง[1]มีเรื่องก็รายงานมา ไม่มีก็เลิกประชุมซะ!”
หลิวกงกงสูดลมหายใจลึก ฝืนข่มใจตัวเองไม่ให้ซัดไอ้เด็กเวรนี่ตาย หยิบเอาจดหมายเชิญในมือโยนไปให้พลางตะคอกว่า “มีงานเข้าแล้ว! เตรียมตัวให้เรียบร้อยด้วย!”
ตันหวายโดนตะคอกจนสะดุ้งตื่น ฉวยคว้าจดหมายเชิญมาอ่านดูคร่าวๆ รอบหนึ่งแล้วหรี่ตา เงยหน้าถามว่า “นี่มันเรื่องอะไร?”
——
[1] กงกง เป็นคำที่ใช้เรียกขันทีชั้นผู้ใหญ่ที่มีตำแหน่งสูง