[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 13 เอาตัวรอดจากท่านฮัชชาคุ
“อย่านะ! โซราโอะ!”
เสียงตะโกนที่ดังมาจากข้างหลัง กระชากสติของฉันกลับมา
“ทำอะไรของเธอน่ะ!? จะเข้าไปใกล้มันไม่ได้นะ!”
เสียงที่ตะโกนอยู่หลังฉันคือเสียงของโทริโกะแน่ แต่ทำไมมันถึงดังมาจากข้างหลังล่ะ? ก็เธออยู่ข้างหน้าฉันนี่ไม่ใช่เหรอ…
ฉันกระพริบตาปริบๆ อย่างอึ้งๆ แล้วอยู่ๆ ฉันรู้สึกได้ว่าแขนที่ฉันจับอยู่นี่ ไม่ใช่แขนของโทริโกะ
นั่น ท่านฮัชชาคุ
ฉัน กำลังจับแขนเป็นๆ ของท่านฮัชชาคุอยู่
“ฮะ…”
แล้ว ความเป็นจริงก็กระแทกเข้าเต็มๆ ตาซ้ายของฉันเลย
สัมผัสจากฝ่ามือของฉันมันเย็นเฉียบ ชื้นและนุ่ม ในหัวฉันมันคิดอะไรไม่ออกเลย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา ผิวเนียนนั่นเห็นทะลุไปถึงเส้นเลือดดำได้เลย ไล่ไปตามส่วนโค้งของแขนข้างนั้น ขึ้นไปจนถึงส่วนลำตัวที่มีกระโปรงคลุมอยู่ ขึ้นไปหาเส้นผมเปียกสีดำมันวาวที่ไหลปรกไหล่เปล่าๆ ทั้ง 2 ข้าง ส่วนโค้งของริมฝีปากยื่นออกมา และเหนือสีรุ้งเข้มจัดนั่น ขัดขืนไม่ได้เลย ตาของฉันมันถูกดึงเข้าไปหา―
*ปั้ง!*
จู่ๆ เสียงปืนก็ลั่นดังขึ้น กระแทกเอาหัวของท่านฮัชชาคุสะบัดไปข้างหลังเลย
ฉันย่อตัวมุดหัวลง หันกลับไปก็เห็นโทริโกะที่กำลังกำมาคารอฟอยู่ด้วยมือทั้ง 2 ข้าง
“หมอบลง!”
ฉันไม่ทันได้หมอบลงไปเพราะได้ยินและเข้าใจคำสั่งนั้นถึงขั้นรู้สึกถูกความรุนแรงของมันขู่เอาเลย ระหว่างนั้น โทริโกะก็ยิงมาคารอฟออกไปอีก 3 นัด ก่อนจะวิ่งเข้ามาหาฉัน
“เร็วเข้า! ลุกเร็ว! คิดจะเดินไปไหนน่ะ โซราโอะ!?”
“เฮะ? เอ๊ะ?”
ตอนที่ฉันยังงงไปหมด ตามสิ่งที่เกิดขึ้นนี่ไม่ทัน โทริโกะก็คว้าแขนฉัน ดึงตัวออกมาให้ห่างจากท่านฮัชชาคุ
“ฉ- ฉันทำอะไรไปน่ะ?”
“เธอวิ่งตามคุณลุงคนนั้นไป เอาแต่พึมพำอะไรไม่รู้อยู่คนเดียวน่ะสิ”
โทริโกะขมวดคิ้วพลางส่ายหัวไปมา
“‘อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียวสิ’ เหรอ? นั่นมันคำพูดของฉันต่างหาก…”
พอย่อยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี่จนเข้าใจได้ซักที ฉันก็สั่นเป็นทั้งตัวเลย
ประมาทไป ฉันเองก็โดนมันหลอกเหมือนกัน
สิ่งนั้นใช้ภาพของภรรยาของคุณอาบาระโตะมาหลอกเขาว่าเธออยู่ตรงนั้น เหมือนกับของฉันเลย มันใช้ประโยชน์จากความรู้สึกต่อโทริโกะ… ของ ฉัน
อะไรเนี่ย? น่าอายชะมัดเลย…! อารมณ์ผสมปนเปกันจนไม่เข้าใจเลยระหว่างความกลัวกับความอายนี่มันโถมใส่ฉันจนตัวบิดไปหมดแล้วเนี่ย
ภาพซ้อนกันของเจ้าตัวประหลาดระหว่างเสาโทริอิปลอมกับร่างผู้หญิงแบบนี้นั่น ดูเหมือนกระสุนที่โทริโกะยิงไปจะไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรเลย มันยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น แรงดึงดูดของมันก็ยังรุนแรงอยู่ ไม่ใช่แค่ฉันจะวิ่งออกมาไม่ได้ด้วย ทั้งหมดที่ฉันทำได้อยู่นิ่งกับที่แบบนี้เท่านั้นเอง
“โซราโอะ ถ้าจะจัดการมัน ต้องทำไงดี?”
โทริโกะหันมาถามฉันยังกับว่าเป็นเรื่องปกติที่ต้องทำ นี่หมายความเธอเชื่อใจฉันเหรอ? ไม่ใช่ว่าเธอแค่ผลักความรับผิดชอบมาหาฉันหรือไงเนี่ย…?
ถึงจะคิดแบบนั้น แต่ยังไง ฉันก็ดึงสมาธิกลับมาได้อยู่ แล้วก็ตอบเธอกลับไป
“ตอนนี้กำลังคิดอยู่”
ความรู้สึกชวนคิดถึง ภาพของภรรยาที่ดึงให้คุณอาบาระโตะเดินเข้าไปหา รูปร่างของผู้หญิงสูง 8 ฟุต ทั้งหมดนี่คือภาพลวงตา พวกเรากำลังเจอกับภาพหลอนอยู่ อะไรกันแน่นะที่อยู่ตรงนี้จริงๆ ในตอนนี้?
ภาพลวงตา… ครั้งก่อน คุเนะคุเนะพยายามจะแทรกเข้าสู่ร่างของพวกเราผ่านประสาทการมองเห็น ตอนที่มันทำแบบนั้น มันจะสร้างภาพลวงตากับประสาทการรับรู้ของฉันไม่ว่าคุเนะคุเนะจะอยู่ตรงไหนก็ตาม เรื่องนี้ ท่านฮัชชาคุจะเป็นแบบเดียวกันหรือเปล่านะ? เมื่อสิ่งมีชีวิตในโลกเบื้องหลังทำการติดต่อกับมนุษย์ จะสร้างภาพลวงตาซักแบบนึงขึ้นมาตลอด? หรือต้องกลับกัน พวกมันพยายามจะติดต่อกับมนุษย์ผ่านทางภาพลวงตาพวกนี้งั้นเหรอ? อาจจะเพราะตาขวาของฉันที่ติดต่อกับพวกมันก็ได้ มันเลยทำให้ฉันมองเห็นร่างจริงของพวกมันได้ในตอนนี้น่ะ
ถ้าเป็นยังงั้น ก็คุ้มค่าที่จะลองนะ วิธีเดียวกับก่อนหน้านี้น่ะ
ฉันใช้ตาขวาของตัวเองเพ่งมองเข้าไป ภาพของท่านฮัชชาคุก็เลือนหายไปแล้ว ทั้งหมดที่ฉันเห็นตอนนี้ก็มีแต่เสาโทริอิปลอม
“โทริโกะ ลองยิงเธอเข้าที่หัวดูหน่อยสิ”
พอฉันบอก โทริโกะก็พยักหน้าตอบ แล้วก็ลั่นไกมาคารอฟใส่ กระสุนพุ่งกระแทกเสาต้นนึงของเสาโทริอิปลอมนั่น แล้วก็เด้งออกมา
ว่าแล้วเชียว! ถ้ารับรู้ถึงมันได้ ก็ยิงโดนได้
เธอยิงออกไปเป็นนัดที่ 2 นัดที่ 3 แต่ละนัดก็กระแทกสร้างเป็นประกายไฟเล็กๆ ออกมา แล้วก็มีเศษชิ้นส่วนเหมือนหินก้อนเล็กๆ ร่วงกระจายออกมานะ แต่…
“ได้ผลหรือเปล่า?”
โทริโกะถาม ฉันก็ส่ายหน้า ส่วนการเคลื่อนไหวของศัตรูก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
“โอเค งั้น มาลองอันนี้กันดีกว่า”
โทริโกะเก็บมาคารอฟกลับเข้าซองปืน ก่อนจะไปเก็บ AK ที่คุณอาบาระโตะทำตกไว้ขึ้นมา เธอถอดแม็กกาซีนออกมาตรวจดู ก่อนจะประกอบมันกลับเข้าไป ดึงคานเข้ามา ก่อนจะตั้งท่าเล็ง
เธอทำมันได้ดีจนน่าตกใจเลยนะเนี่ย
ระหว่างที่ฉันมองเธออย่างชื่นชม โทริโกะก็เริ่มยิง แต่ละนัดเนี่ยดังกว่ามาคารอฟเยอะ จนฉันต้องรีบเอามือขึ้นมาอุดหูเลย กระสุนที่กราดเข้าไปเป็นชุดต่อเนื่องนั่นกระเทาะหินออกมาจากเสาโทริอิปลอม เจาะเป็นรูใหญ่พอจนเห็นผิวเนื้อหินเลย
แต่ว่า ขนาดยิงไปจนหมดแม็กแล้ว เสาโทริอิปลอมที่เสียหายนั่นก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ แล้วก็ยังหันมา แสงสีฟ้านั่นไม่ได้จางลงเลยซักนิด แถมความรู้สึกชวนคิดถึงที่เต้นตุบๆ อยู่ในอกนี่ก็ไม่ได้เบาบางลงเลยด้วย
ถึงฉันจะยังไม่ได้พูดอะไรเลย แต่เธอก็คงจะรู้ได้อยู่นะ เพราะโทริโกะกัดริมฝีปากเลย
“ไม่ไหว สินะ…”
ฉันหันมองไปรอบๆ พยายามมองหาอะไรซักอย่างที่พวกเราพอจะใช้ได้แบบเอาเป็นเอาตาย
ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเราก็ทำได้แค่รอจนกว่าจะไม่เหลือกำลังใจ แล้วก็ปล่อยให้ตัวเองถูกดึงดูดเข้าไปอย่างเดียวเลย แต่กระสุนก็ใช้ไม่ได้ผล ตาขวาของฉันก็ทำได้แค่ดูอย่างเดียว ส่วนโทริโกะก็-…
อ๊ะ!
มีความคิดนึงแวบเข้ามาในหัวพอดีเลย
“โทริโกะ! มือนั่นไง!”
พอฉันเริ่มตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น โทริโกะก็มองฉันแบบงงๆ สงสัยจะไม่เข้าใจเลยว่าฉันกำลังหมายถึงอะไรอยู่กันแน่สินะ
“มือซ้ายเธอไง! ถอดถุงมือออกมาเร็ว!”
“นี่เหรอ? จะให้ฉันทำอะไรล่ะ?”
โทริโกะถอดถุงมือยุทธวิธีของเธอออก เผยให้เห็นปลายนิ้วที่โปร่งแสงของเธอ แล้วฉันก็คว้าข้อมือของเธอ แล้วก็พาเดินตรงไปที่เสาโทริอิปลอมตามที่ฉันมองเห็นเลย
“เดี๋ยว!? เดี๋ยว!? เดี๋ยว!? โซราโอะ!? อะไรน่ะ!?”
ฉันรีบพูดเร็วๆ พยายามอธิบายออกไป
“ดูเหมือนว่าตาขวาของฉันจะสามารถรับรู้ร่างจริงของสิ่งมีชีวิตในโลกเบื้องหลังนี่ได้ พอคิดแบบนั้นแล้ว ก็ไม่แปลกนี่ที่มือซ้ายของเธอจะเป็นเหมือนกันน่ะ จริงมั้ย?”
“ร- ร่างจริง? หา? หมายความว่าไงน่ะ?”
ฉันลังเลไปแวบนึง พอเห็นสายตาที่สับสนของโทริโกะ จากนั้น ฉันก็บอกเธอไป
“…ขอโทษนะ ฉันจะต้องให้เธอจับอะไรแปลกๆ หน่อย ยกโทษให้ฉันด้วยนะ ตกลงมั้ย?”
“หา? อะไรนะ? เดี๋ยว-…”
ไม่มีเวลารอให้เธอตอบตกลงแล้ว ฉันฝืนจับมือของโทริโกะมา แล้วก็ทิ่มมันเข้าไปในแสงสีฟ้านั่น
“จับมันเลย!”
“‘มัน’ ที่ว่านี่หมายความว่ายังง-…? อี๋!?”
จากที่ตาขวาของฉันเห็น ฉันก็เห็นแค่ว่าโทริโกะกำลังกำแสงสีฟ้าอยู่เท่านั้นเอง
“อ- อ- อ- อ- อะไรน่ะ!? มองไม่เห็นเลย! นี่ฉันกำลังจับอะไรอยู่เนี่ย!?”
“ว่าแล้วเชียว! ทีนี้ก็แค่จับเอาไว้แบบนั้นก่อนนะ!”
ฉันตื่นเต้นจนตะโกนออกมาไม่สมกับเป็นตัวเองเลย นี่แหละสิ่งที่ฉันเล็งเอาไว้ล่ะ ถ้าตาขวาของฉันสามารถ ‘เห็น’ ร่างจริงของพวกตัวตนในโลกเบื้องหลังได้ ถ้างั้น มือซ้ายของโทริโกะก็น่าจะสามารถ ‘สัมผัส’ กับพวกมันได้ก็ได้ ― นั่นเป็นการคาดเดาของฉันน่ะ
นิ้วที่โปร่งแสงของโทริโกะฝังเข้าไปในแสงนั่น เป็นภาพที่ดูแปลกสุดๆ เลย มันจะรู้สึกยังไงนะ? เธอสะดุ้งโหยง พยายามจะเอาทั่วทั้งตัวออกห่างจากมือซ้ายของเธอที่กำลังจับมันอยู่แบบสุดตัวเลย
“อี๋! มันแหยะๆ หยุ่นๆ ไปหมดเลย! นี่ ฉันปล่อยมือได้หรือยัง?”
“ทนไว้ก่อนนะ”
“อีกนานแค่ไหนล่ะ!?”
ฉันชักมาคารอฟออกมาจากซอง การกระทำที่ไม่คุ้นเคยนี่ก็เลยทำให้ฉันต้องใช้เวลาเยอะเลย
“ตอนนี้ จับเอาไว้นิ่งๆ นะ! โทริโกะ!”
ฉันชี้ปากกระบอกปืนไปทางแสงสีฟ้า แล้วก็กดไกปืนให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้
แรงดีดมันแรงมาก เอาซะปืนแทบจะหลุดจากมือเลย ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่มีทางยิงพลาดแน่ ฉันเจาะรูเข้าที่แสงนั่น ข้างๆ ตรงที่โทริโกะจับอยู่ เป็นหลุมสีดำสนิทเลย
จังหวะต่อมา *โปะโปะโปะโปะโปะโปะโปะ* ก็มีเสียงฟองดังลอยมาจากรูนั่น แล้วก็มีทรงกลมสีดำผุดออกมา
โทริโกะก็เงยหน้าขึ้น ร้องอุทานขึ้นมาอย่างตกใจ พอฉันเงยหน้าขึ้นไปมอง ที่ตาซ้ายของฉัน ฉันก็เห็นร่างสูงโปร่งของท่านฮัชชาคุแอ่นไปด้านหลังเป็นเท่าตัวเลย เสียงฟองที่ยังดังยาวออกมาอย่างต่อเนื่องราวกับเสียงกรีดร้อง ร่างของท่านฮัชชาคุบิดอย่างรุนแรง ดูผิดมนุษย์มนาจนเหมือนกับลูกโป่งที่สะบัดไปมาในอากาศในขณะที่มีลมรั่วออกมา แถมแฟบลงไปด้วย
ส่วนในตาขวาของฉัน ทรงกลมสีดำก็ผุดออกมาจากรูนั่นต่อจากทรงกลมอันก่อนออกมาไม่หยุด ก่อนจะสูญสลายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที ถึงมันจะมาโดนตัวของฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย พอฉันมองดูด้วยตาทั้ง 2 ข้าง ท่านฮัชชาคุก็ตัวหดลงและจางลง ทรงกลมที่ผุดขึ้นมานั่นก็ค่อยๆ อ่อนลงไป… แล้วมันก็หยุด
รู้ตัวอีกที ― สถานที่รอบตัวเราก็เปลี่ยนไปหมดเลย พวกเรานั่งอยู่ข้างทางเท้าหินที่มีมอสขึ้นเต็ม ได้กลิ่นดินกลิ่นหญ้าลอยมา แล้วก็เห็นศาลเจ้าที่ทรุดโทรม มีหญ้าขึ้นรกล้อมรอบ มีก้อนหินกระจัดกระจาย มีเสาโทริอิที่พังเสียหายไปแล้วหลงเหลืออยู่ รอบๆ บริเวณนี้ก็มีป่าทึบ สูงเหนือป่าขึ้นไปก็มีท้องฟ้าในตอนเย็นแล้ว
ได้ยินเสียงนกเสียงแมลงดังมาด้วย ที่นี่คือโลกเบื้องหน้านี่นา
ฉันลุกขึ้นยืน แล้วก็ก้มไปมองโทริโกะ
“ไหวมั้ย?”
โทริโกะงอนิ้วทุกนิ้วในมือซ้ายของเธอ ก่อนจะจ้องเขม็งขึ้นมาหาฉัน
“เธอให้ฉันจับอะไรที่มันพิลึกแปลกๆ ด้วย”
“ก็บอกแล้วนี่ว่าจะให้ทำแบบนั้นน่ะ รู้สึกยังไงบ้าง?”
“มันรู้สึก… เหมือนอยากจะตายให้ได้…”
เธอตัวสั่นไปหมด
“แหวะ อยากล้างมือจัง”
“ไม่แน่ ศาลเจ้านั่นอาจจะมีน้ำก็ได้มั้ง? ว่าแต่ เราอยู่ที่ไหนกันล่ะเนี่ย?”
ในที่สุด โทริโกะก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเปิด
“กึ๋ย มันบอกว่าเราอยู่บนแนวเขาที่ชิชิบุน่ะ”
“ถามจริง!?”
พอเธอพูดแบบนั้นแล้วเนี่ย รู้สึกว่าคุณอาบาระโตะจะบอกไว้ว่าเขาเข้าไปที่โลกเบื้องหลังทางศาลเจ้าในชิชิบุนี่เนอะ
รอบๆ นี่ไม่มีวี่แววของคุณอาบาระโตะเลย เขาคงจะทะลุผ่านแสงสีฟ้านั่นไปโผล่ที่ไหนแล้วก็ได้ เทพลักซ่อนเหรอ ― พอคิดว่าเราเกือบจะต้องเจอกับชะตากรรมแบบเดียวกันแล้วเนี่ย ทำเอารู้สึกกลัว ผสมกับความรู้สึกโหยหานั่นที่ยังตกค้างอยู่เลย
โทริโกะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอย่างโล่งอก ใช้ปืน AK เป็นไม้ค้ำ
“อีกตั้งไกลเลยกว่าจะถึงบ้าน หวังว่าระหว่างทางเราจะเจอรถประจำทางนะ แต่ก็-… เอ๋?”
โทริโกะไปเก็บอะไรซักอย่างขึ้นมาจากในกองเศษซากที่พังทลายของเสาโทริอิที่กระจัดกระจายอยู่บนถนนทางเดินเข้าไปยังศาลเจ้า
มันเป็นหมวกปีกกว้างสีขาวแบบที่ผู้หญิงใส่ นี่ใช่ของที่ท่านฮัชชาคุทิ้งเอาไว้หรือเปล่าเนี่ย? มีแสงสีเงินจางๆ อยู่ด้วย
และโทริโกะก็ยกมันขึ้นมาด้วยมือทั้ง 2 ข้าง จ้องดูมันอยู่
“…อย่าเอาไปใส่ หรือเอาไปทำอะไรเชียวล่ะ”
พอฉันบอกไปแบบนั้น โทริโกะก็พยักหน้าให้แบบมึนๆ ดูแล้วรู้เลยล่ะว่าในใจเธอกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ อยู่ที่ใครคนอื่นที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ตอนนี้น่ะ
“โทริโกะ ไม่คิดเลยเหรอว่าคุณซัทสึกิอาจจะอยู่ที่นั่นน่ะ?”
“คิดสิ อยากจะไปที่นั่นมากๆ เลยด้วย”
โทริโกะตอบกลับมาด้วยเสียงเบาๆ
“แล้วทำไมเธอถึงยังทนอยู่ได้ล่ะ?”
“…ก็ฉัน เป็นห่วงเธอนี่”
“หา?”
พอฉันทวนถามอีกรอบนึง ไม่มั่นใจในสิ่งที่เธอหมายถึง โทริโกะก็หันหน้ามาหา แล้วก็ยิ้มให้
“เธอดูอ่อนไหวมากเลยนี่นา โซราโอะ เหมือนกับว่าเธอจะหายไปที่ไหนเลย”
ไม่เคยคิดเลยว่าโทริโกะจะพูดแบบนี้กับฉัน เอาซะอึ้งกิมกี่พูดอะไรไม่ออกเลย จะตอบสวนไปว่า นั่นมันประโยคของฉันต่างหาก ก็ทำไม่ได้ ทำได้แค่ยืนมองโทริโกะที่ยิ้มให้กลับไปเท่านั้นเอง
TN: เพราะ ‘ผู้สมรู้ร่วมคิด’ คือความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันที่สุดในโลกแล้วยังไงหล้า~!