[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 14 Station February
“ดีล่ะ! นี่แด่การเดินทางไปยังโลกเบื้องหลังครั้งที่ 2 ของคุณโซราโอะและคุณโทริโกะ! ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยากเลย! คัมปาย!”
“จ้าๆ คัมปาย”
โทริโกะชนแก้วของเธอกับแก้วของฉันแบบพลังงานล้นเหลือจนฉันรู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ ของเธอเป็นเบียร์สด ส่วนของฉันเป็นเหล้าบ๊วยใส่แต่น้ำแข็ง (梅酒のロック Umeshuu no Rokku)
นี่เป็นการออกมาดื่มกันครั้งที่ 2 ของพวกเราแล้ว ― พวกเราจัดงานเลี้ยงหลังจบการเดินทางไปยังโลกเบื้องหลังของพวกเรานี่แหละ
หลังจากที่เรียนรู้ถึงการมีอยู่ของ [โลกเบื้องหลัง] ก็กลายเป็นว่า ทั้งฉัน ทั้งโทริโกะก็ไปเจอกับสัตว์ประหลาดน่าพิศวงอย่างคุเนะคุเนะหรือท่านฮัชชาคุเข้า
ครั้งแรกที่เรามาดื่มกันก็คือตอนที่เรารอดกลับมาหลังจากจัดการกับคุเนะคุเนะได้ โทริโกะที่อยากจะฉลองเหลือเกินก็ลากฉันไปที่ผับใกล้ๆ เลย แต่เธอต้องเหนื่อยมากแน่นอนเลยล่ะ เพราะดื่มไม่ทันไรก็เริ่มกึ่มๆ แล้ว แถมเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันเป็นกิจจะลักษณะกันเลยด้วยซ้ำ หลังจากที่เรียนรู้จากความผิดพลาดครั้งก่อน ครั้งนี้ เราก็เลยจัดงานเลี้ยงกันวันอื่นแทน เป็นเย็นวันศุกร์ ประมาณ 2-3 วันหลังจากที่กลับมา
“พวกเราขอถั่วแระ, สลัดมันฝรั่ง, มะเขือเทศแช่เย็น, ของเสียบไม้รวมมิตร 5 ที่, ไก่คาราเกะ, สเต็กทาร์ทาร์เนื้อม้า, สลัดหัวไชเท้าใส่วากาเมะกับชิ้นมันฝรั่งทอด แล้วก็…”
TN: สเต็กทาร์ทาร์ (Steak Tartare) คืออาหารจานเรียกน้ำย่อย ที่เสิร์ฟเนื้อบดดิบ คิดค้นขึ้นโดยเชฟชาวฝรั่งเศส [ราชาแห่งเชฟ] ออกุสต์ เอสโคฟิเอร์ และได้เขียนเอาไว้ในหนังสือคู่มือการทำอาหาร Le Guide Culinaire ภายใต้ชื่อ beefsteak à l’américaine ในปี 1903 แม้จะบอกว่าเป็นเนื้อดิบ แต่เพราะความสดของวัตถุดิบ กระบวนการทำของเชฟ และความ High-End ของอาหาร กรณีที่เกิดการติดเชื้อจากการทานสเต็กทาร์ทาร์จึงหายากมากครับ
โทริโกะเริ่มสั่งอาหารแล้ว
“เอาซาชิมิแมคเคอเรลเซียร์ ละก็… ฉันว่า แค่นี้แล้วกัน โซราโอะล่ะ? พอมั้ย? โอเค งั้นตอนนี้ เอาแค่นี้ก่อนแล้วกันค่ะ”
“เออ สั่งมาขนาดนั้นเนี่ย กินหมดใช่มั้ย?”
“เดี๋ยวเราก็จัดการได้นั่นแหละน่า พวกเรามีกันตั้ง 2 คนนี่เนอะ”
“จำคราวก่อนไม่ได้หรือไง? เธอสั่งมาเพียบแบบนี้แหละ แล้วก็ฟุบคาโต๊ะไปกลางทาง จนฉันต้องกินให้หมดอยู่คนเดียวน่ะ”
“จำไม่ได้เลยจ้า”
นังคนนี้นี่…
“วันนี้ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันเตรียมตัวมาพร้อมแล้ว”
“เตรียมตัว? สำหรับงานเลี้ยงเนี่ยเหรอ?”
ระหว่างที่ฉันกำลังหงุดหงิด คิดว่าอะไรเนี่ย? นี่ต้องเตรียมตัวมาขนาดนั้นเลยเหรอ? โทริโกะก็ใช้ตะเกียบคีบกับแกล้มวาซาบิครีมชีสขึ้นมาเลียซะแล้ว
วันนี้ เราไม่ได้ออกเดินทางกัน พวกเราทั้งคู่ก็เลยแต่งตัวลำลองกัน ฉันสวมเสื้อคลุมปาร์ก้ากับกางเกงยีนส์ ส่วนโทริโกะก็สวมเสื้อแจ็กเกตลายพรางของเธอ กระโปรงสั้นผ้ายีนส์ แล้วก็กางเกงรัดรูป
ตอนนี้ 5 โมงเย็นแล้ว ร้านเหล้าน่ะจะเปิดตอนมืดแล้ว ส่วนลูกค้าก็ยังหร็อมแหร็ม แต่ก็อย่างว่า ชินจุกุในเย็นวันศุกร์น่ะนะ อีกเดี๋ยวก็เสียงดังแล้วล่ะ พอฉันคิดแบบนั้นก็รู้สึกว่าอีกไม่นาน ฉันก็คงจะเอียนแล้ว
ฉันเคยไปร่วมงานเลี้ยงอยู่ 2-3 ครั้งนะตั้งแต่ขึ้นมหาลัยมา แต่ก็ไม่เคยเข้ากับคนรอบๆ ได้ซักที แล้วมันทำให้เหนื่อยมากๆ เลยด้วย กับโทริโกะนี่รู้สึกง่ายกว่ากันเยอะเลย ถ้าเรายังจะทำแบบนี้อีก บางที ฉันขอที่ที่เป็นห้องส่วนตัวน่าจะดีกว่าแฮะ
“โอ้ จริงสิ คือ เรื่องหมวกใบนั้นที่เราเก็บกลับมาจากโลกเบื้องหลังน่ะ เมื่อวานฉันเอาไปให้โคซากุระดูแล้วนะ แต่เธอบอกว่ามันดูเหมือนหมวกธรรมดาๆ เลย ก็เลยไม่ซื้อไปน่ะสิ ขี้ตืดชะมัดเลย”
“ไม่หรอก เธอพูดถูกแล้วล่ะ แบบ ที่ฉันหมายถึงคือ มันไม่ได้มีอะไรประหลาดเลยนะ”
โทริโกะมีคนรู้จักอยู่คนนึงก็คือคุณโคซากุระ ที่เป็นนักวิจัยผู้รอบรู้ แล้วก็ทำการวิจัยในเรื่องของโลกเบื้องหลังด้วย ฉันเคยไปเจอเธอแค่ครั้งเดียวเอง ก็เลยไม่ได้รู้ละเอียดว่าเธอวิจัยเรื่องนี้ยังไง แต่เท่าที่ฉันรู้เนี่ย เธอจะซื้อของแปลกๆ ที่เอากลับมาจากฝั่งนู้นอยู่ โทริโกะก็หาเงินได้ล่ำซำเลยล่ะจากจุดนี้ แล้วฉันก็ได้ส่วนแบ่งมาด้วยเหมือนกัน
“แต่ โซราโอะ… เธอเห็นว่ามันแปลกๆ ใช่มั้ยล่ะ?”
“มันก็มีแสงสีเงินจางๆ ออกมาอยู่นะ…”
“อ๊ะ จริงสิ จะว่าไป ตาขวาเธอ… กลับมาเป็นปกติแล้วเหรอ?”
โทริโกะโน้มตัวข้ามโต๊ะมา จนฉันเผลอเอนหลังถอยมาแบบไม่ทันตั้งใจเลย การที่เธอเข้ามาใกล้ขนาดนี้แล้วจ้องตาฉันมันทำให้ฉันรู้สึกตกใจนะ ขอล่ะ หยุดเถอะ โทริโกะน่ะสวยแทบบ้าเลย พอจู่ๆ เธอก็ยื่นหน้าเข้ามาหาฉันใกล้ๆ แบบนี้ มันรุนแรงสุดๆ ไปเลย จริงๆ นะ
“ก- กว่าจะสังเกตเห็นเนี่ย นานไปแล้วมั้ง! ฉันแค่ใส่คอนแทคเลนส์สีเท่านั้นเอง!”
ตาสีลาพิส ลาซูลีของฉันเนี่ยมันเปลี่ยนไปแบบสะดุดตาไปหน่อย ฉันก็เลยใส่คอนแทคเลนส์สีดำไว้แค่ที่ตาขวาของฉัน
“โถ่ เสียของแย่เลยนะ ออกจะสวยมากเลยแท้ๆ”
โทริโกะจิกริมฝีปากก่อนจะเอนกลับไปนั่งที่เก้าอี้ กลิ่นหอมหวานจางๆ ลอยมาแตะจมูกฉันด้วย ไม่รู้เลยว่าจะทำยังไงดี ลิ้นมันพันไปหมดเลย ฉันพยายามจะตอบเธอกลับไป
“ก-… ก็ ขนาดเธอก็ยังใส่ถุงมือเลยไม่ใช่หรือไงเล่า?”
วันนี้ โทริโกะสวมถุงมือหนังบางๆ เอาไว้ด้วย ตอนนี้ พวกเราเริ่มกินแล้ว เธอก็เลยถอดแค่ถุงมือข้างขวาออก แต่ ถึงยังงั้นก็เถอะ จะใส่อะไรก็ดูดีไปหมดเลย… น่าหงุดหงิดชะมัด
“ทุกคนพร้อมใจกันทำเป็นไม่สังเกตจนน่าตกใจเลยล่ะ เพราะงั้นก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ก่อนหน้านี้ มีคนพยายามแอบถ่ายรูปฉันอยู่ครั้งนึงน่ะสิ แล้วฉันก็ไม่ชอบเลยด้วย”
พวกเรารอดจากคุเนะคุเนะมาได้ก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรกันมาเลย ตาขวาของฉันตอนนี้ที่เปลี่ยนสีไปเป็นเหมือนเม็ดพลอยอะไรซักอย่างไปแล้ว สามารถเห็นสิ่งอื่นนอกจากความเป็นจริงที่เห็นในตาซ้ายได้ มันมองเห็น… ความจริงของโลกเบื้องหลังได้ ส่วนนิ้วของโทริโกะที่โปร่งแสงไปนั่นก็สามารถสัมผัส… เออ วัตถุของโลกเบื้องหลังได้ ฉันเองก็ลังเลอยู่เหมือนกันเพราะไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่อย่างน้อยที่สุด ตาของฉันกับมือของเธอก็ทำให้เราผ่านท่านฮัชชาคุมาได้ล่ะนะ
ถ้ายืมคำของคุณโคซากุระมาก็ พวกเราเป็นผู้ติดต่อประเภทที่ 4 ไปแล้ว
การติดต่อกับโลกเบื้องหลังจนส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับร่างกาย
“โซราโอะ อยากได้หมวกใบนี้หรือเปล่า?”
โทริโกะเอื้อมไปที่กล่องเล็กๆ ตรงเท้าของเธอที่เอาไว้ใส่กระเป๋า ก่อนจะดึงถุงซิปล็อกออกมาจากกระเป๋าผ้าโท้ทของเธอ ในนั้นมีหมวกสีขาวปีกกว้างของผู้หญิงที่พับเอาไว้อยู่ มันควรจะมีแสงสีเงินจางๆ ออกมาด้วยนะถ้าเกิดฉันมองด้วยตาข้างขวา แต่ว่าด้วยแสงไฟในร้านเหล้าเนี่ย ฉันก็เลยมองไม่ออก
“ไม่ๆ ไม่เอา”
“เหรอ งั้นฉันขอแล้วกันนะ?”
เธอดึงหมวกที่บู้บี้ออกมาจากถุง แล้วก็เอามาสวมหัวแบบไม่พูดพร่ำทำเพลง ทำเอาตกใจจนเผลอขึ้นเสียงแบบไม่สมกับเป็นตัวเองเลย
“อะไรทำให้เธออยากจะสวมไอ้ของน่าสงสัยนั่นบนหัวตัวเองกันน่ะฮะ!?”
มันไม่มีทางที่เราจะสามารถบอกธรรมชาติของของที่เราเอามาจากโลกเบื้องหลังจากการแค่มองดูอย่างเดียวอยู่แล้ว ถ้าเกิดจู่ๆ โทริโกะตัวเหลวเละลงไปเป็นก้อนเมือกในพริบตาที่เธอสวมมันกับหัวตัวเองเนี่ย แล้วจะให้ฉันทำยังไงต่อล่ะทีนี้?
แต่เธอกลับยิ้มมาแบบสบายๆ แล้วถามกลับมาโดยไม่สนใจความกลัวของฉันเลย
“เหมาะมั้ย?”
“เธอใส่อะไรมันก็เหมาะกับเธอทั้งนั้นนั่นแหละ! ทีนี้ก็ขอล่ะ! ถอดออกตอนที่เรายังกินข้าวอยู่ทีเถอะ!”
“เชอะ”
โทริโกะถอดหมวกออก ตรงที่เธอมีหมวกครอบอยู่เมื่อกี้ไม่ได้ผมร่วงจนหัวล้านหรืออะไรเลย
แล้ว อาหารที่เธอส่งไปก็มาเสิร์ฟ ถั่วแระ, สลัดมันฝรั่ง, มะเขือเทศแช่เย็น แล้วก็สลัดหัวไชเท้า ยังไงก็ต่อรอเด็กเสิร์ฟอยู่แล้ว ฉันก็เลยถาม
“ถ้าหมวกนั่นขายไม่ออก งั้นรอบนี้ เราก็ติดตัวแดงน่ะสิ”
“ไม่ซักหน่อย เราได้ AK ของลุงกลับมาด้วยไง”
“เสียงดังไปแล้ว”
“ไม่มีใครมาฟังหรอกน่า จริงมั้ย?”
หลังจากที่พวกเราเอาชนะ (ถ้าเรียกยังงั้นได้ล่ะนะ) ท่านฮัชชาคุมาได้ พวกเราก็ได้ปืนไรเฟิลจู่โจมกลับมาฝั่งนี้ด้วย เป็น AK ผลิตจากรัสเซียหรืออะไรซักอย่างนี่แหละ มันเป็นของคุณอาบาระโตะ คุณลุงวัยกลางคนคนนึงที่เราไปเจอที่โลกเบื้องหลัง พวกเราถือมันไปแบบประเจิดประเจ้อไม่ได้ แต่ระหว่างที่ฉันกำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงดี โทริโกะก็ถอดแยกชิ้นส่วนปืนออกอย่างชำนาญเลย ก่อนจะเอาไปซ่อนในกระเป๋าของเธอ
“แต่ก็ไม่มีกระสุนแล้วนี่นา ใช่มั้ย? เธอยิงไปจนหมดเลยนี่”
“ฉันยังมีกระสุนที่เก็บได้ที่โลกเบื้องหลังที่ซ่อนเอาไว้อยู่อีกนิดหน่อยนะ คิดว่าน่าจะพอเอาใช้ได้อยู่บ้าง ปืนกระบอกนั้น AK-101 กระสุน 5.56 น่ะไม่ได้หายากขนาดนั้นหรอก”
TN: Avtomat Kalashnikova หรือที่เรียกกันแค่ว่า คาลาชนิคอฟ หรือ AK เป็นปืนไรเฟิลจู่โจมที่ทำงานด้วยระบบแรงดันแก๊สสัญชาติโซเวียต (รัสเซีย) โดยพลโทมีฮาอิล คาลาชนิคอฟเป็นผู้ออกแบบมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 ก่อนจะเสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 1947 AK-47 จึงเป็นอาวุธปืนรุ่นต้นกำเนิดของปืนไรเฟิลตระกูลคาลาชนิคอฟ
ส่วนปืนกระบอกที่ว่าอย่าง AK-101 นี่ก็คือปืนไรเฟิลจู่โจมตระกูลคาลาชนิคอฟ มีการออกแบบให้ร่วมสมัย และผสมองค์ประกอบของพลาสติกเข้าไปเพื่อลดน้ำหนักและเพิ่มความแม่นยำ เหมือนกับในซีรีส์ AK-100 อื่นๆ ใช้กระสุนขนาด 5.56 mm เริ่มมีการผลิตในปี 1995 และยังมีการใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน
พอเราคุยเรื่องของอันตรายแบบนี้ได้จนเหมือนเรื่องปกติธรรมดาๆ เลยเนี่ย มันทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าความปกติธรรมดาของฉันมันพังทลายไปแล้วยังไงไม่รู้แฮะ
“ฉันว่าจะถามหลายครั้งแล้วล่ะ แต่ว่า เธอไปเรียนวิธีการใช้ปืนมาจากไหนเหรอ?”
“ต่างประเทศน่ะ”
เธอตอบกลับมาห้วนๆ จนฉันขมวดคิ้วเลย
“ในค่ายผู้ก่อการร้าย อะไรแบบนั้นเหรอ?”
“อะฮ่าฮ่า ไม่ใช่แบบนั้นหรอกน่า”
“หืม เอาเถอะ ถ้าเธอไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร”
“สำคัญด้วยเหรอ? เธอเองก็ยังไม่เคยเล่าถึงตัวเองเลยเหมือนกันนี่จริงมั้ย?”
“ก็เธอไม่เคยถามนี่นา แล้วโทริโกะเองก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้วด้วยซ้ำนี่”
“หือ? ไม่ใช่ซักหน่อย ฉันคิดว่าเธอน่าจะไม่อยากให้ฉันเข้าไปก้าวก่าย ถ้าเธอไม่รังเกียจ ฉันถามได้ใช่มั้ย?”
ฉันลองคิดดู… แล้วก็ตกใจตัวเองเลย ถ้าเป็นตัวฉันเองก่อนหน้านี้ ก็คงปฏิเสธไปทันทีแล้วนี่
ไม่ใช่ว่าเรื่องที่ฉันแบกรับอยู่มันหนักหนาสาหัสจนไม่อยากพูดถึงหรืออะไรแบบนั้นหรอกนะ หรือเรื่องราวในอดีตเจ๋งๆ นี่ก็ไม่มี สถานการณ์ทางบ้านของฉันก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจให้พูดถึง ฉันก็เป็นแค่นักศึกษาจากนอกโตเกียวที่ไม่ชอบเข้าสังคมเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรพิเศษให้เล่าเกี่ยวกับตัวเองเลย
ถึงยังงั้น ฉันก็ไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่งกับเรื่องส่วนตัวของตัวเองอยู่ดี ฉันไม่ยื่นจมูกของตัวเองไปยุ่งเรื่องของคนอื่น เพราะงั้น ฉันก็หวังว่าพวกนั้นจะไม่เข้ามายุ่งกับฉันเหมือนกัน โดยเฉพาะพวกคนที่พยายามมาตีสนิทกันเกินหน้าเกินตา ทั้งที่จริงๆ ก็ไม่ได้สนใจอะไรฉันเลยเนี่ย ฉันเกลียดสุดๆ เลยล่ะ
อย่างน้อย นั่นก็คือสิ่งที่ฉันเคยเป็นล่ะนะ
“ว่าไง? ฉันจะถามล่ะนะ พร้อมยัง? จะขุดคุ้ยให้รู้ทุกซอกทุกมุมในชีวิต ทั้งเรื่องรอบข้าง ทั้งเรื่องส่วนตัวของเธอเลยน้า…”
ขนาดคำพูดของโทริโกะที่ไม่รู้ว่านี่พูดจริงพูดเล่นมันกลับทำให้ฉันคิดว่าถ้าเป็นยัยนี่ ก็คงไม่เป็นไรมั้งขึ้นมาอย่างประหลาดเลย พอฉันเปิดใจแล้ว ฉันก็เปิดปากตาม
“…เชิญเลย”
พอฉันตอบไปแบบนั้น โทริโกะก็จ้องกลับมา ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเลย
“เธอนี่ตลกมากเลยนะ โซราโอะ”
“ว่าไงนะ!?”
“ก็เธอดูมุ่งมั่นมากเลยนี่… ไม่ต้องฝืนตัวเองหรอกนะ เธอต้องมีเรื่องที่ไม่ฉันเข้าไปยุ่งแน่นอนเลยใช่มั้ยล่ะ โทษนะๆ”
“อ-… อื้อ”
ฉันรู้สึกเหมือนโดนกระชากจนเสียศูนย์เลยแฮะ จนฉันเลิกลักไปรอบๆ หาอะไรมาช่วยฟื้นกำลังให้ตัวเอง จนกระทั่งซาซิมิแมคเคอเรลมาเสิร์ฟที่โต๊ะ เด็กเสิร์ฟก็จุดเครื่องพ่นไฟขึ้น เซียร์ซาซิมิแมคเคอเรลตรงที่โต๊ะนี่เลย ระหว่างที่ฉันมองดูอยู่ โทริโกะก็พูดขึ้นมา
“ครั้งหน้า จะไปได้ตอนไหนเหรอ?”
ครั้งหน้า ครั้งหน้าเหรอ…
คำตอบมันออกมาทันทีไม่ได้ ไฟจากเครื่องพ่นไฟหยุดลง เด็กเสิร์ฟก็เดินจากไป และก็เหลือเอาไว้แค่แมคเคอรี่ที่เกรียมเล็กน้อย ฉันเอื้อมมือไปหยิบตะเกียบ พลางคิดอยู่ว่าจะตอบเธอยังไงดี
พวกเรารอดมาได้จากสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างการเจอกับคุเนะคุเนะหรือท่านฮัชชาคุมาได้จนถึงตอนนี้ก็จริง แต่ก็เฉียดฉิวมาก ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็ ฉันรู้สึกว่าพวกเราคงจะต้องตายเข้าจนได้ซักวันนึง โทริโกะน่ะมีเป้าหมายที่จะตามหาเพื่อนของเธอที่หายไป ซัทสึกิ และเธอพร้อมจะเสี่ยงทำได้ทุกอย่างเลย แต่ ฉันล่ะ?
“โทริโกะ เธอไม่กลัวเลยเหรอ?”
โทริโกะเอาแก้วเบียร์ออกมาจากปากของเธอ ก่อนที่เธอจะเอียงคอไปด้านข้างหน่อยๆ แล้วก็มองมาที่ฉันด้วยสายตาว่างเปล่า
“ฉันว่า พวกเราเกือบจะตายกันแล้วนะ รู้ใช่มั้ย?”
“ก็ใช่ แต่เราก็ไม่ตายนี่นา”
“เธอไม่กลัวเหรอ?”
“กลัวสิ แต่ว่า ไม่เป็นไรหรอก”
“อะไรทำให้เธอมั่นใจขนาดนั้นล่ะเนี่ย…?”
ฉันชักจะโมโหใส่เธอแล้ว แต่โทริโกะก็ส่ายหน้า
“ถ้าฉันอยู่คนเดียว ตอนนี้ ฉันก็คงสติแตกไปนานแล้วล่ะ ไม่ก็ อาจจะตายไปตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้วก็ได้”
“งั้น แล้วทำไมล่ะ?”
โทริโกะกางนิ้วชี้จากมือที่ถือแก้วเบียร์อยู่ ชี้มาหาฉัน
“เดี๋ยวเราก็จัดการได้นั่นแหละน่า พวกเรามีกันตั้ง 2 คนนี่เนอะ”
…นี่หรือเปล่านะ ปัญหา?
TN: [โซราโอะ] : เธอไปเรียนวิธีการใช้ปืนมาจากไหนเหรอ?
[โทริโกะ] : ต่างประเทศน่ะ
[โซราโอะ] : ในค่ายผู้ก่อการร้าย อะไรแบบนั้นเหรอ?
[โทริโกะ] : เปล่าซักหน่อย พ่อฉันสอนให้ที่ฮาวายต่างหาก เรียนมันทุกอย่างนี่แหละที่ฮาวาย
ป.ล. คนที่รู้สึกแปลกๆ กับการที่ตัวละครดื่มแอลกอฮอล์กันเต็มที่เลยนี่ ห้ามลืมนะครับว่าทั้งคู่เป็นเด็กมหาลัยกันแล้วครับ อายุเลยกัน 20 กันแล้ว ดื่มได้ ไม่ผิด~ ^^