[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 17 Station February
พวกเรารีบแหวกทางผ่านกอหญ้า วิ่งตัดผ่านยามค่ำคืนของโลกเบื้องหลัง
จู่ๆ ก็ถูกโยนเข้ามาในสถานการณ์แบบนี้ จนไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องจริงเลย ขาของฉันมันสั่นไปหมด ยังกับว่าตัวเองกำลังอยู่ในฝันร้ายยังไงยังงั้นแหละ
อะไรซักอย่างก็ผ่านเหนือหัวไป พร้อมกับกรีดร้อง ดูคล้ายๆ กับผีเสื้อ ไม่ก็แมลงเม่าบินเล่นผ่านท้องฟ้าที่มีดาวอยู่เต็มไปเลย
“โซราโอะ วิ่งไปแบบนี้ เราจะไม่เจอกลิตช์เข้าเหรอ?”
โทริโกะตะโกนถามฉันมาจากข้างหลัง
“อยู่ติดกับฉันไว้นะ ไม่ว่าจะทำอะไร! ก็อย่าแยกกันเด็ดขาด!”
ฉันวิ่งพลางหันกลับไปมอง แล้วก็คว้ามือของโทริโกะเอาไว้ มือขวาของเธอก็กำมือของฉันกลับมาแน่นทะลุผ่านถุงมือหนังบางๆ ของเธอเลย
ถ้าฉันเพ่งด้วยสายตาของตาขวา กลางคืนในโลกเบื้องหลังก็สว่างขึ้นมาอีกนิดหน่อย แสงที่มาจากกลิตช์มันสว่างออกมาจากทั่วทุกที่เลย จากที่ที่ตอนแรกดูเหมือนจะไม่มีอะไรเลย มันก็มีแสงสีเงินจางๆ เรืองขึ้นมา เตือนภัยอันตรายจากสิ่งเหนือธรรมชาติให้ฉัน
ฉันไม่เคยลืมความกลัวจากการเดินเข้าไปเฉียดโทสเตอร์คราวก่อนได้เลย พวกเราเกือบจะโดนย่างสดทั้งเป็นอยู่แล้ว
คุณอาบาระโตะจะโยนตัวนอตไปข้างหน้าระหว่างที่เดินตรงไปเพื่อหาการมีอยู่ของกลิตช์ แต่ตอนนี้ ไม่มีเวลาทำแบบนั้นแล้ว แต่ละก้าวที่ย่ำไล่หลังเรามา พวกเราก็วิ่งกันสุดแรงไม่หยุดจนหายใจไม่ทันเลย
ถึงจะมีแสงเรืองสีเงินอยู่ก็จริง แต่ความจริงที่ว่าทุกอย่างมันมืดไปหมดก็ยังไม่เปลี่ยนไปอยู่ดี พอฉันหยีตา เพ่งไปข้างหน้าเพื่อไม่ให้มองอะไรพลาดไปทั้งสภาพพื้นที่ที่เปลี่ยนแปลง หรืออันตรายที่รอเราอยู่ ตาขวาที่เบิกกว้างของฉันก็เริ่มจะเจ็บแล้ว น้ำตาก็ไหลออกมาจนภาพที่มองเห็นเบลอไปหมด
พื้นดินตรงหน้าเราชันสูงขึ้นเหมือนสันเขื่อน วิ่งไปตลอดทั้งซ้ายทั้งขวาเลย ไม่มีทางให้อ้อมซักทาง
“ขึ้นเนิน!”
ฉันร้องเตือนไปในขณะที่ยังวิ่งอยู่ ก่อนจะมุ่งหน้าขึ้นทางชันนั่น ฉันพยายามจะดึงมือของโทริโกะขึ้นมาด้วย แต่เท้ามันหยุดกึกไปเลย นี่มันชันกว่าที่ฉันคิดซะอีก
“ไม่เป็นไร ฉันขึ้นเองได้”
โทริโกะบอก พร้อมกับปล่อยมือ
พอฉันหันหลังกลับไปด้วยอาการไม่แน่ใจ หน้าที่เหงื่อโชมของโทริโกะก็มองกลับมาหาฉัน ก่อนที่จะพยักหน้าให้โดยไม่พูดอะไร โทริโกะก็เริ่มปีนขึ้นเนิน พวกเราต้องก้มต่ำคลานเพื่อปีนขึ้นไปเลย
ข้างหลังพวกเรามีเสียงหมาเห่าดังมาด้วย ฉันหันกลับไปดูหลังจากปีนขึ้นไปได้ครึ่งทาง ก็เห็นสัตว์ไร้หัวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ด้วยท่าทางการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาด ถึงมันจะดูเป็นการเดินอย่างสบายๆ เพียงแต่ว่า ช่วงก้าวมันกว้างมาก เพราะขาวที่ยาวสุดๆ ของมันน่ะ
ที่เท้าของมัน เหมือนจะมีอะไรซักอย่างขยับอยู่ในหญ้าด้วย ฉันไม่เห็นมันหรอก… เห็นแค่หญ้าที่แหวกออกเป็นทางเท่านั้นเอง
เสียงหมาเห่าดังมาอีกแล้ว นั่นหมาเหรอ? จริงๆ เหรอ? แต่มันจะเป็นอะไรก็ช่าง แต่มันไล่ตามพวกเราอยู่
จากนั้น ฉันก็เห็นมันจนได้ ผ่านช่องว่างระหว่างกอหญ้า
“อุบ…”
ฉันเกือบจะกรี๊ดออกมาอยู่แล้ว มันคือใบหน้า ฉันเห็นแค่แวบเดียว แต่มันเป็นตาดำลึกโบ๋ 2 ข้าง กับปากที่อ้ากว้างในลักษณะที่เหมือนกับใบหน้าของมนุษย์สุดๆ ไปเลย
“อะไร?”
พอโทริโกะกำลังจะหันกลับมา ฉันก็หันกลับไปหาเธอ
“อย่าหยุด! ไปต่อ! เร็ว!”
ฉันเร่งให้โทริโกะรีบปีนต่อ จนในที่สุด ฉันก็ปีนเนินขึ้นมาได้ซะที ตอนที่ฉันกำลังลุกกลับขึ้นมายืน ฉันก็สะดุดกับอะไรซักอย่างแข็งๆ พอฉันเอามือลงไปค้ำพื้นเอาไว้ มันก็ไม่ได้ลงบนพื้นหญ้า แต่เป็นหินกรวดแทน
“โซราโอะ!”
เจ็บมือจัง ฉันเกาะแขนของโทริโกะที่ยื่นมาช่วยพยุงตัวให้ลุกขึ้นได้ พอฉันมองไปรอบๆ ส่วนบนของสันเขื่อนนี่ ก็ตกใจเลย มันคือรางรถไฟ รางเหล็กสนิมเขราะวิ่งยาวไปทั้งซ้ายขวา เสาไฟฟ้าที่ทำจากไม้ก็ปักอยู่เป็นระยะๆ 2 ข้างทางของราง แล้วก็มีสายไฟยานๆ ห้อยพาดไปตามเสา
อีกฝั่งของสันเนินนี่ยังมีทุ่งราบยืดยาวออกไปอีก สิ่งมีชีวิตประหลาดก็ยังไล่กวดพวกเรามากระชั้นมาก ฉันเขย่งเท้ามองไปรอบๆ พลางคิดไปด้วยว่าจะไปทางไหนดี ฉันหรี่ตาเพ่งดูทางขวา ก็รู้สึกเหมือนเห็นแสงอะไรซักอย่าง ไม่เหมือนกับแสงเรืองๆ สีเงินด้วย เป็นแสงที่ชัดเจนเลย
พอตัดสินใจได้แล้ว ฉันก็รีบคว้ามือของโทริโกะอีกรอบ ก่อนจะวิ่งไปตามทางรางรถไฟ
ถ้าเป็นรางรถไฟ ก็ต้องมีสถานีรถไฟซักที่นึงสิ อาจจะเป็นแสงนั่นที่ฉันเพิ่งเห็นก็ได้
นั่นเป็นสิ่งที่ฉันแวบคิดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ แต่นี่มันโลกเบื้องหลังนะ สามัญสำนึกของพวกเราใช้กับที่นี่ไม่ได้ซักหน่อย พอฉันเริ่มจะสงสัยขึ้นมาแล้วว่านี่มันใช่แม้กระทั่งรางรถไฟจริงๆ หรือเปล่า แต่ถ้าคิดเยอะเกินขนาดนี้ มีหวังทำอะไรไม่ได้กันพอดี
ฉันได้ยินเสียงเหยียบย่ำไปตามหินกรวด และครั้งนี้ พวกเราหันกลับไปมองกันทั้งคู่เลย
“หน้า…”
โทริโกะพูดออกมาพร้อมกับกลืนน้ำลายเอือก
ฉันไม่ได้มองพลาดไปจริงๆ ด้วยตอนนั้น อะไรก็ตามที่ไล่ตามเรามา มันมีใบหน้าของมนุษย์ หน้าขาวทรงไข่ ลอยอยู่ในความมืด เบ้าตาและปากเว้าลึกโบ๋ดำสนิท มองหารายละเอียดชัดๆ ไม่ได้เลย แต่หน้าเบลอๆ แบบนี้เนี่ยมันยิ่งน่าขยะแขยงเข้าไปอีก แถมยิ่งพวกมันทั้งหมดอยู่ต่ำใกล้กับพื้นแบบนี้ ก็ยิ่งดูน่าเกลียดเข้าไปใหญ่ ใบหน้าพวกนั้นพุ่งตรงเข้ามาหาพวกเรา พร้อมเสียงเห่าเหมือนกับหมา แถมข้างหลังนั่น ฉันเห็นเจ้าตัวที่เหมือนยีราฟนั่นปีนขึ้นสันเนินมาด้วยการก้าวเท้าที่โงนเงน
โอ้ ซวยแล้ว มันไล่ตามมาแล้ว ถ้ามันไล่ทัน…
…อะไรจะเกิดขึ้นน่ะ ถ้าเกิดพวกมันไล่ตามเราทัน?
พวกมันจะทำอะไรกับพวกเรา?
ฉันตัวสั่นไปหมดเลยกับข้อเท็จจริงที่ฉันไม่รู้อะไรเลยซักอย่าง ถ้ามันเป็นแค่หมาดุ ฉันก็พอจินตนาการได้นะ ความเจ็บที่โดนกัด ความกลัวที่จะถูกขย้ำจนตาย แต่เจ้านั่น ฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกมันเป็นตัวอะไรน่ะ
ไม่เหลือที่ให้ไปแล้ว ความกลัวในอกก็ยิ่งพุ่งทะยานแบบไม่มีขีดจำกัดเลย รู้สึกคลื่นไส้แทบอ้วก ทั้งหายใจไม่ออก ทั้งหายใจเร็ว รู้สึกจุกตรงลิ้นปี่ ดวงตาเบิกโพลง ปากอ้าพะงาบๆ ตอนนี้ ฉันต้องทำหน้าเหมือนกับเจ้าตัวพวกนั้นที่วิ่งไล่กวดจนทำให้กลัวไม่หยุดแน่เลย ถ้าฉันกรี๊ดออกมาตอนนี้ ฉันต้องทำเสียงออกมาแบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนแหงๆ อากาศมันถูกเค้นลึกออกมาจากในปอด จนเสียงออกมาเป็นเหมือนเสียงครางของสัตว์แน่ แบบที่ไม่คิดว่าจะมีผู้หญิงคนไหนร้องออกมาได้―
“โซราโอะ! ขยับเร็ว!”
มือของโทริโกะตบเข้าเต็มหลังของฉันเลย
“ฮ่าาาาาา!?”
เสียงต๊องๆ โง่ๆ หลุดออกจากปากที่อ้าพะงาบของฉัน เสียงกรีดร้องมันด้านไป พอฉันกระพริบตาปริบๆ โทริโกะก็จับไหล่ของฉัน บังคับให้ฉันหันไปมองหน้าเธอ จนใบหน้าของเธอกลายเป็นทุกอย่างที่ฉันมองเห็นในลานสายตา หน้าของผู้หญิง ที่เห็นจมูกและตาอย่างชัดเจน
“อย่าเพิ่งยอมแพ้สิ! ไปกันเร็ว!”
“อ- โอ้!”
คราวนี้ โทริโกะก็ดึงมือของฉันไป
พอความตื่นตระหนกของฉันมันเข้ามาขัดจังหวะ ความคิดของฉันเองก็หยุดชะงักไป แต่เท้าของฉันก็ยังวิ่งต่อไปข้างหน้าไม่หยุด ในค่ำคืนที่ไม่รู้จุดสิ้นสุดนี่ ทั้งหมดที่ฉันมองเห็น คือหลังของโทริโกะที่ดึงมือของฉันวิ่งอยู่
‘เดี๋ยวเราก็จัดการได้นั่นแหละน่า พวกเรามีกันตั้ง 2 คนนี่เนอะ’
คำพูดของเธอจากในงานเลี้ยงแวบกลับเข้ามาในความคิดที่เป็นอัมพาตของฉัน
เธออาจจะพูดถูกก็ได้ ถ้าอยู่กับโทริโกะแล้ว ไม่ว่าอะไรอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น―
จู่ๆ โทริโกะก็หยุดวิ่ง เหมือนว่าเธอจะเห็นอะไรอยู่ข้างหน้านั่นนะ
“โซราโอะ! ทางนี้!”
“หวา!?”
เธอกระชากแขนฉันแรงจนฉันเสียศูนย์ สะดุดกับรางอันนึง แล้วก็เซล้มไปทางด้านซ้ายหาโทริโกะ
“หมอบลง! อย่าเงยหน้านะ!”
โทริโกะบอก พลางกดหน้าฉันกับพื้น
*ปั้ง!!*
ก่อนที่ฉันจะทันเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ก็มีเสียงปืนดังมาจากด้านหน้า ประกายไฟที่แลบจากกระบอกปืนก็วาบขึ้นในความมืดจนเป็นภาพติดตาในสายตาของฉัน ได้ยินเสียงของกระสุนแหวกอากาศพุ่งเลยจากพวกเราไป ก่อนจะมีเสียงโหยหวนเหมือนกับเสียงของหมา กับเสียงของบางอย่างวิ่งหนีออกไปจากเนินนี่ดังลอยมาจากข้างหลัง และหายไปไกลในที่สุด
…เงียบแล้ว
ฉันเงยหน้าขึ้นมามองอย่างกล้าๆ กลัวๆ
แล้วก็ มีเสียงเดินย้ำไปตามหินกรวด ใครซักคยกำลังเดินตรงเข้ามาทางนี้
ไม่ได้มาคนเดียว มีอยู่ประมาณนึงเลย
ไม่นาน สิ่งที่เข้ามาให้ฉันเห็นก็คือเหล่าทหารถือปืนไรเฟิลจู่โจม สวมชุดลายพรางกับหมวกป้องกัน บนหน้าของพวกเขาสวมแว่นไนท์วิชั่นอยู่ด้วย บอกจำนวนเป๊ะๆ ไม่ได้ แต่น่าจะเกือบ 10 คนนะ 2 คนที่อยู่ข้างหน้าก็ชี้ปืนลงมาหาพวกเรา ส่วนคนอื่นๆ ก็ตรวจดูบริเวณรอบๆ พวกเรา แล้วก็ก้มมองดูตามรางรถไฟด้วย
พอพวกเรากำลังจะลุกขึ้นยืน จำนวนปืนที่ชี้เข้ามาหาพวกเราก็ยิ่งเพิ่ม
“Don’t move! (อย่าขยับ!)”
พวกเขาเตือนออกมาเป็นภาษาอังกฤษ
“Don’t shoot! (อย่ายิงนะ!)”
โทริโกะก็ตอบกลับไปเป็นภาษาอังกฤษเหมือนกัน
ฉันเองก็ยังนอนอยู่ติดพื้น ยกมือทั้ง 2 ข้างขึ้น แล้วรีบพูดออกไปบ้าง
“ดนชุ ดนชุ…”
…คือ ของฉันเนี่ย เสียงมันเงียบจนทางนั้นคงไม่ได้ยินหรอก
แล้วก็มีทหารคนนึงเดินเข้ามาหาพวกเรา ในขณะที่ปืนหลายกระบอกก็ยังชี้มาที่พวกเราอยู่
“พวกเธอเป็นมนุษย์เหรอ…?”
ทหารคนนี้เลิกแว่นขึ้นไป พลางมองที่พวกเราแบบไม่อยากเชื่อ คราวนี้เขาพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นแล้ว
“พ- พวกเราเป็นมนุษย์ค่ะ”
“Lieutenant, something is still there! (ร้อยโท! บางอย่างยังอยู่ตรงนั้นอยู่เลยครับ!)”
ทหารคนนึงตะโกนร้องเตือนขึ้นมา และนายทหารที่เหลือก็ขึ้นปืนเล็งอีกครั้ง คราวนี้ เป็นตามแนวรางรถไฟแทน พอฉันหันไปมองบ้าง เจ้าตัว 4 ขายังอยู่ตรงนั้นอยู่เลย ยืนคร่อมราง ปล่อยศพที่ห้อยอยู่ใต้ลำตัวมันแกว่งไปมา จากด้านข้างนี่ มันคงดูเหมือนลานประหารแขวนคอที่เดินมาทางนี้ด้วยขา 4 ข้างของมันเลย
ข้างหลังนั่น มีตัวรูปร่างแบบมนุษย์โผล่มาด้วย ตัวสูงใหญ่ กล้ามเป็นมัด เปลือยเปล่า ตั้งแต่ส่วนคอขึ้นไป มีพวกพืชพรรณกอใหญ่เป็นพุ่มอยู่ แล้วก็มีเขาคล้ายกวางงอกออกมาจากข้างหัวทั้ง 2 ข้างด้วย เขานั่นแตกกิ่งก้านออกไปเป็นรูปแบบแฟร็กทัลสัดส่วนสวย งอกออกมาคล้ายกับปะการังเลย
ชายมีเขานั่นดูเหมือนจะจ้องมาทางพวกเรา แต่ไม่นานเขาก็หันไปมองทางอื่น ละสายตาออกไปจากสันเนินตรงนี้เหมือนกับหมดความสนใจแล้ว เจ้า 4 ขานั่นก็ถอยไป พลางส่งเสียงแบบจักจั่นออกมาด้วย
พวกเราเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ จนในที่สุด พวกทหารก็ลดปืนลงกันซักที
ผู้ชายที่ถูกเรียกว่า ‘ร้อยโท’ ก็ยื่นมือมาหาพวกเรา
“ไม่เป็นไรนะ?”
“ข-… ขอบคุณค่ะ”
พวกทหารคนอื่นๆ ก็เดินกระชับวงเข้ามาระหว่างที่เขาช่วยให้เรายืนขึ้นอยู่ สายตาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า มั่นใจเลยล่ะว่าพวกเขาระแวงพวกเราอยู่
Are we sure they’re human? (แน่ใจเหรอว่าพวกเธอเป็นมนุษย์น่ะ?)
Aren’t they monsters, too? (ไม่ใช่ว่าเป็นพวกสัตว์ประหลาดด้วยเหมือนกันเหรอ?)
พวกเขาคุยกันเป็นภาษาอังกฤษก็จริง แต่ขนาดฉันเองก็ยังจับใจความได้ประมาณนี้เลยนะ
นายทหารคนนึงเดินขึ้นมา แล้วก็พูดออกมาอย่างร้อนใจเลย
“Lieutenant, you shouldn’t get close. (ร้อยโทครับ คุณไม่ควรเข้าไปใกล้นะ) I’m sure they’re xxxs, too. (ผมมั่นใจเลยว่าเจ้าพวกนี้ต้องเป็น xxx ด้วยเหมือนกันแน่) Let’s shoot them. (ยิงไปเลยดีกว่านะครับ)”
ฉันฟังไม่ทันเลยเพราะเขาพูดเร็วมาก แต่ฉันพอเดานะว่าภาษาอังกฤษเร็วๆ ที่เขาพูดเมื่อกี้นี้มันหมายความว่ายังไง เขาชี้ปืนหันมาหาพวกเราอีกแล้ว กำด้ามไรเฟิลแน่นจนมือซีดขาวเลย ทหารคนอื่นๆ ก็มองดูอย่างระแวดระวังว่าจะเป็นยังไงต่อ ไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาแทรกเลย นี่ตอนที่พวกเราคิดว่าได้รับความช่วยเหลือแล้ว กลับจะโดนมนุษย์ที่สงสัยยิงตายงั้นเหรอ? ตอนที่ฉันเริ่มจะสะอื้น โทริโกะก็ก้าวออกไปเอาตัวบังฉันเอาไว้
ฉันคว้ามือเธอ หยุดเธอเอาไว้ด้วยสัญชาตญาณ พอโทริโกะหันกลับมามอง ฉันก็จ้องเธอกลับไป ไม่ต้องมาปกป้องฉันหรอกน่า ถ้าพวกเราจะโดนยิง ยังไงพวกเราก็ไม่รอดทั้งคู่กันนั่นแหละ
ในตอนที่ฉันกับโทริโกะมองหน้ากัน ถูกนายทหารแข็งแรงกลุ่มนึงยืนล้อม ‘ร้อยโท’ ก็เข้ามาแทรก
“Stop, Greg. (หยุดนะ เกร็ก) You must have seen it―these girls were being chased by the Horned Man. (นายก็น่าจะเห็นแล้ว―เด็กผู้หญิงพวกนี้ถูกฮอร์นแมนไล่กวดมา) They’re human. (พวกเธอเป็นมนุษย์)”
“But Lieutenant! (แต่ว่า! ร้อยโทครับ!)”
“Sergeant Major! (จ่าสิบเอก!) Lower your gun… that’s an order. (ลดปืนลง… นี่เป็นคำสั่ง)”
จ่าสิบเอกที่ชื่อว่าเกร็กก็จ้องพวกเราเขม็ง ก่อนจะค่อยๆ ลดปืนลง แล้วร้อยโทก็หันกลับมาหาพวกเรา
“พวกเธอเป็นใคร? มาจากที่ไหน?”
“ช- ชินจุกุ… โตเกียวค่ะ”
Tokyu? (โตเกียว?) Did she say Tokyo? (เธอบอกว่าโตเกียวเหรอ?) เสียงจอแจอย่างประหลาดใจก็ดังในกลุ่มทหาร That’s hundreds of miles away! (มันอยู่ห่างจากที่นี่ไม่รู้กี่ร้อยไมล์เลยนะ!)
“พวกคุณมาจากที่ไหนเหรอคะ?”
โทริโกะถามไปบ้าง ร้อยโทก็ตอบกลับมา
“โอกินาว่า”
““โอกินาว่า!?””
พอได้ยินชื่อที่ไม่คาดคิด ก็เป็นตาพวกเราตกใจกันบ้างแล้ว พวกเรารู้ดีเรื่องการเลื่อมกันของสถานที่ระหว่างโลกเบื้องหน้ากับโลกเบื้องหลังนะ แต่ถึงยังงั้นก็เถอะ
“งั้นพวกคุณก็เป็น… กองทัพสหรัฐในญี่ปุ่นงั้นเหรอคะ?”
ร้อยโทพยักหน้าให้เป็นการตอบคำถามของโทริโกะ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ
“พวกเราเป็นนาวิกโยธินครับ ผม ร้อยโทวิล เดรค ผู้ช่วยผู้บังคับบัญชากองร้อยที่ 3 ของกองพันเพลฮอร์ส”
TN: เนื่องจากหลังจากนี้ จะมีตัวละครจากอเมริกาด้วย แต่ทางผู้แปลแปลนิยายเรื่องนี้จาก LN ฉบับภาษาอังกฤษ ก็เลยจะมีปัญหาเรื่องที่ว่า ไม่รู้ว่าตอนไหนพวกเขาพูดญี่ปุ่นกัน ตอนไหนพวกเขาพูดอังกฤษกัน ฉะนั้น ทางผู้แปลก็จะขอทำตามบริบทที่เหมาะสมเอานะครับ ^^