[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 21 Station February
ทุกอย่างเปลี่ยนไปจากเมื่อกี้นี้ลิบลับเลย ค่ายพักตอนนี้เปิดไฟให้สว่างเท่าที่จะเป็นไปได้ แสงไฟกำลังสูง―แบบที่ใช้ในงานก่อสร้างตอนกลางคืนน่ะ―ทำให้ทั่วบริเวณสว่างไปหมด พอๆ กับเวลากลางวันเลย เสียงทำงานจากเครื่องปั่นไฟตอนนี้ดังมากจนน่ากลัว แต่ก็นะ แผนของพวกเราที่จะหลบไปตามเงาระหว่างที่เราเดินหลบออกไปก็พังไม่เหลือชิ้นดีตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากเต็นท์เลยทีนี้
ถึงยังงั้นก็เถอะ ไม่ได้มีใครสนใจพวกเราเลยซักคน นาวิกโยธินรวมตัวกันล้อมรอบค่ายที่พัก เฝ้าระวังสิ่งที่อยู่นอกกำแพงกระสอบทราย ทุกคนมีอาวุธหนักครบมือพร้อมเลย ; ปืนกลหนักที่ตอนแรกฉันเห็นแค่ภาพเงาก็ยังมี ตอนนี้มีคนไปประจำอยู่แล้วเรียบร้อย เห็นมีท่อทรงกระบอกที่มีขาค้ำ 2 ก้าน แล้ววางเอาไว้เอียงๆ อยู่หลายอันด้วยนะ… มันคืออะไรล่ะนั่น?
“โทริโกะ อันนั้นคือ?”
“ปืนครกน่ะ”
“แล้วปืนกลอันใหญ่ๆ นั่นล่ะ?”
“น่าจะพวกเอ็ม 2 หรืออะไรแบบนั้นนะ ฉันว่า”
“ทำไมถึงรู้เรื่องพวกนี้เยอะจังล่ะเนี่ย?”
“นี่ยังไม่ได้ใกล้กับคำว่ารู้เยอะเลยด้วยซ้ำนะ! ฉันแค่เรียนรู้มาจากที่บ้านเท่านั้นเอง… แล้วเดี๋ยวนะ เธอเป็นคนถามฉันนี่! หยาบคายจังเลยนะ!”
TN: ปืนครก (Mortar) เป็นอาวุธอย่างง่าย มีน้ำหนักเบา พกพาได้ง่าย บรรจุกระสุนทางปากลำกล้อง (muzzle-loaded) มักเป็นอาวุธแบบ Indirect fire (ยิงขึ้น แล้วให้กระสุนร่วงลงใส่เป้าหมาย) เอาไว้ใช้ยิงระเบิดสนับสนุน
M2 machine gun หรือ Browning .50 caliber machine gun เป็นปืนกลหนักหลักที่ใช้กันเครือ NATO และอีกหลากหลายประเทศ ออกแบบขึ้นตั้งแต่เมื่อตอนใกล้จบสงครามโลกครั้งที่ 1 (1918) โดยจอห์น เอ็ม บราว์นิ่ง นิยมใช้แบบติดกับยานพาหนะและยุทโธปกรณ์ติดอากาศยานของสหรัฐมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1930 และยังเป็นหนึ่งในอาวุธปืนที่กองกำลังสหรัฐใช้มาอย่างยาวนานที่สุดจนถึงปัจจุบันอีกด้วย กระสุนที่ใช้จะเป็น .50 BMG (12.7x99mm NATO)
หืม? ข้อมูลใหม่เลยนะเนี่ย
โทริโกะไม่พูดอะไรอีก แล้วก็เดินไปข้างหน้าต่อ จนพวกเราไปเจอรถจิ๊ปที่ไม่มีคนอยู่คันนึง ก่อนจะช่วยกันปีนขึ้นไปด้วยกัน เราคลานจากส่วนฝากระโปรงหน้ารถขึ้นไปบนหลังคา จากชัยภูมิที่สูงกว่าแบบนี้ เราก็สามารถมองเลยข้ามแนวกำแพงกระสอบทรายไปได้ด้วย
นอกค่ายพักเนี่ยมืดสนิทเลย ถ้าฉันหรี่ตามองดู ก็พอจะเห็นเงามืดๆ ของภูเขาตรงเส้นแบ่งระหว่างท้องฟ้ายามค่ำคืนกับผืนทุ่งหญ้าได้อยู่ ในราตรีที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา มีแค่ค่ายพักนี้นี่แหละที่เป็นเหมือนเกาะแสงเล็กๆ จากมุมมองของพวกมือสมัครเล่นเนี่ย การเป็นพื้นที่จุดเดียวที่มีแสงส่องสว่างอาจจะทำให้เสียเปรียบนะ แต่… เอาเรื่องของการสู้กันระหว่างมนุษย์ออกไปก่อนนะ บางที พื้นที่ที่มีแสงสว่างนี่แหละถึงจะปลอดภัยกว่าในโลกฝั่งนี้น่ะ
มีคนเพียบเลยนะ แต่ไม่มีใครพูดอะไรเลยซักคน นอกจากเสียงหึ่งๆ ที่ดังก้องออกมาจากเครื่องปั่นไฟแล้ว จู่ๆ ฉันก็ได้ยินเสียงนึงที่โดดขึ้นมา
“เสียงดนตรี…?”
โทริโกะกระซิบขึ้นมา
ฉันก็รู้สึกว่ามันเป็นเสียงแบบนั้นเหมือนกัน ดนตรียุคสมัยเก่างั้นเหรอ? ไม่ มันดูเหมือนดนตรีงานเทศกาลมากกว่า มีเสียงฆ้อง เสียงกลอง แล้วก็เสียงขลุ่ยที่หลงเสียงด้วย *มง* *ตึง* *วู้ด*… ยิ่งฟัง ก็ยิ่งรู้สึกมั่นใจน้อยลงเรื่อยๆ เลยว่ามันใช่เสียงดนตรีจริงๆ น่ะเหรอ มันไม่มีทำนองเลยซักนิด จังหวะเองก็ไม่เสถียรเลยด้วย ไม่ได้สอดคล้องกันเลยซักนิด พอเสียงดนตรีงานเทศกาลที่ชวนให้รู้สึกสังหรณ์ไม่ดีนั่นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แถวแสงสีเหลืองก็เข้ามาในลานสายตา กะระยะยากมากเลยว่าอยู่ไกลแค่ไหน แต่มันก็แหวกทางฝ่าลงมาตามแนวเขา ดูเหมือนกับขบวนแห่ของผู้คนที่ถือเทียบเดินลงมาตามทิวเขาเลย แต่ก็มีบางอย่างแปลกๆ
มันเร็วจนประหลาดเลย นี่มันไม่ใช่ความเร็วของมนุษย์แล้ว
บางคนเริ่มตะโกนออกคำสั่ง ฉันมองเห็นทหารที่อยู่ตรงปืนครกหย่อนกระสุนปืนใหญ่ลงในท่อ *ปึ้ม!* เสียงที่ดังลอยมานั่น เป็นแบบเสียงเปิดฝากระบอกเก็บใบจบการศึกษาที่ดังกว่านั้นเลย และก็มีควันลอยโชยออกมาจากท่อของปืนครก ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่าไปกี่วินาที แต่ผ่านไปไม่นาน ไฟสีแดงสดก็ระเบิดขึ้นในความมืด ตามมาด้วยเสียงระเบิดดังสนั่นที่ตามหลังมากระแทกเข้าที่แก้วหูของฉัน ฉันเห็นว่ามันเป็นแค่ท่อเล็กๆ เอง ก็เลยประมาทไป แต่เสียงนั่นมันดังสุดๆ จนน่าตกใจเลย
ระเบิดที่ตกลงไปก็ได้ระยะไกลพอควรตรงหน้าของแถวแสงสีเหลืองนั่น แสงที่เล่นเสียงดนตรีแบบเละเทะนั่นก็ยังมุ่งตรงไปโดยไม่ช้าลงเลย มีคำสั่งดังออกมาจากในค่ายเพิ่มอีก แล้วคราวนี้ ปืนครก 3 กระบอกก็ยิงกันออกไปเป็นลำดับ
พวกเขาอาจจะคุมระยะทางได้นะ เพราะจุดที่เกิดระเบิดแต่ละอันจะกระจายออกทั้งด้านหน้าด้านหลังด้วย มีลูกหนึ่งระเบิดข้างๆ แถวแสงเลย ขบวนก็เหมือนจะส่ายไปแวบนึง แต่ก็คืนรูปกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วก็มุ่งหน้าต่อ
ต่อมา เอ็ม 2 ก็เริ่มกราดยิงใส่มันแล้ว เสียงโลหะกระแทกของการเปิดฉากยิงทำให้ฉันเอามือขึ้นมาปิดหูแบบไม่ทันได้ตั้งใจเลย ปากกระบอกปืนพ่นแสงไฟสีส้มออกมา และเส้นประจุดแดงก็ยืดออกไป กระเด้งไปตามแรงกระแทก ท่ามกลางฝุ่นควันที่ขึ้นตลบที่ฉายแสงออกมาด้วยกระสุนติดตาม ขบวนแสงนั่นก็ยังมุ่งหน้าไปต่อ เป็นตอนนั้นนี่แหละที่ฉันมองแถวแสงนั่นออกซักทีเป็นครั้งแรกเลย
ใบหน้า ใบหน้าของมนุษย์อีกแล้ว เบ้าตาดำลึกโบ๋พวกนั้น ปากที่อ้ากว้างว่างเปล่าสีดำ รายละเอียดบนใบหน้าสีขาวที่แทบจะไม่มีเลย คล้ายกับเจ้าตัวที่วิ่งไล่พวกเราก่อนหน้านี้มากๆ ก่อนที่มันจะยืดออกเป็นแถวในแนวขวาง และตรงมาทางนี้
ยังกับภาพถ่ายเก่าๆ สีขาวดำของกลุ่มก้อนคนที่รวมตัวจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ตัวเดียว ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายยังไงดี ทุกใบหน้านั่นมันไร้อารมณ์ ขอบรอบใบหน้าก็เบลอๆ เดาไม่ออกเลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ขนาดว่าพวกมันโดนบิดเบี้ยว กระเพื่อมขึ้นลงจากการยิงไม่หยุดของเอ็ม 2 แล้ว ฝูงใบหน้าที่อยู่ติดกันแน่นนั่นก็ยังวิ่งตรงเข้ามาหาค่ายพักนี่อยู่เลย
ทหารทุกคนต่างกรีดร้องและยิงปืนในมือไม่หยุด เสียงตะโกน เสียงกรีดร้อง และเสียงสวดอ้อนวอน รวมเข้าด้วยกันอย่างกึกก้อง จนกลายเป็นเสียงผสานที่ไม่ได้สอดรับกันเลย
แถวแนวการยิงของพวกเขาจะต้องสติได้อยู่โดยไม่เสียสมาธิเลย แต่มันก็ยังไม่ชัดเท่าไหร่ว่ามันได้ผลจริงๆ หรือเปล่า ขบวนของใบหน้าที่เรียงตัวเป็นลูกคลื่นนั่นดูเหมือนงูตัวใหญ่เลย วิ่งตัดตรงมาซัก 10 เมตรตรงหน้าค่ายพัก ยังกับว่ามันให้พวกเขาได้เห็นใบหน้านับไม่ถ้วนของมัน…
แล้ว จู่ๆ มันก็แวบเข้ามาในหัวฉันพอดี ไม่แน่ เป้าหมายของมันอาจจะไม่ใช่การทำอันตรายกับพวกทหารตรงๆ ก็ได้―อาจจะตั้งใจทำให้พวกเขาหวาดกลัวใบหน้าพวกนั้น จนพวกเขาเสียสติกันไปเอง ฉันยังจำความรู้สึกที่เสียสติเหมือนจะเป็นบ้า ตอนที่โดนตัวหน้ามนุษย์พวกนั้นวิ่งไล่อยู่เลย จะเป็นยังไงนะถ้าเกิดยิ่งมองดูหน้าพวกนั้น ก็จะยิ่งถูกดึงให้เข้าใกล้ความบ้าคลั่งไปน่ะ
ฉันมั่นใจว่าตัวเองยังมองไม่เห็นร่างที่แท้จริงของเจ้าสิ่งนั้นเลย ฉันก็เลยเพ่งสมาธิของตัวเองไปที่ตาข้างขวา ปวดหัวตุบๆ เลย เพราะฉันมันเยอะเกินไปตอนวิ่งฝ่าทุ่งกลิตช์เหรอ? ฉันหลับตาปี๋ แล้วพอลืมตาขึ้นมามองอีกรอบ ฉันก็รู้สึกเหมือนว่าลานสายตาของตัวเอง จู่ๆ ก็ชัดขึ้น ทีนี้ ฉันก็เพ่งไปที่ฝูงมวลมหาใบหน้านั่นอีกรอบนึง
ฉันเห็นซักทีว่า นั่นมัน ไม่ใช่ใบหน้าเลยนี่นา มันเป็นลายต่างหาก ที่เห็นเหมือนตากับปากนั่นน่ะ ก็แค่จุดสีดำบนพื้นหลังสีขาวเท่านั้นเอง
ปรากฏการณ์ซิมมูลาครา
สมองของมนุษย์ถูกตั้งเอาไว้ให้รับรู้ใบหน้าของมนุษย์ เป็นเรื่องสำคัญมากในการแยกแยกใบหน้าของคนอื่น เพราะงั้น เวลาที่เห็นจุด 3 จุด เราเลยเข้าใจว่ามันคือใบหน้า พวกภาพถ่ายที่อ้างว่าถ่ายติดวิญญาณ พวกภาพที่บอกว่าเห็นใบหน้าอยู่ในใบไม้หรือเงาน่ะ จะเหมารวมกับปรากฏการณ์นี้เลยก็ได้ มันเหมือนกับเป็นข้อผิดพลาดในสมองของเรา ภาพลวงตาที่เกิดขึ้นจากการออกแบบของสมองอย่างเลี่ยงไม่ได้
TN: Simulacra phenomenon เป็นแนวคิดจากผลงานของนักปรัชญา ฌอง โบดริยาร์ด นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส ว่าด้วยความเชื่อในความจริงเสมือนว่า เป็นความ “จริง” มากกว่าความจริงที่แท้จริง เช่น
ความจริงที่แท้จริง ภาพนี่ก็เป็นแค่จุดสีดำ 3 จุดเท่านั้น แต่สมองก็ตีความ และสร้างความจริงเสมือนขึ้นมาว่านี่คือรูปร่างของใบหน้า
เจ้าพวกที่ดูเหมือนใบหน้านั่น… จริงๆ มันไม่ใช่สินะ งั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปกลัวขนาดนั้นก็ได้นี่ เยี่ยมเลย แต่ว่า แล้วเจ้าตัวนี้ที่ใช้ลายจุดดำกระตุ้นความกลัวของมนุษย์นี่มันตัวอะไรล่ะ? พอฉันเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็รู้สึกเหมือนตัวเองบ้าไปแล้วจากอีกสาเหตุนึงเลย
“ท- โทริโกะ”
“อะไรเหรอ? โซราโอะ?”
“วัว…”
“วัว?”
เจ้าตัวนั่น ดูทั้งตัวก็เหมือนกับหนอนผีเสื้อมากกว่างูซะอีก เหมือนก้อนตะปุ่มตะปั่มที่เหมือนใบหน้าของมนุษย์ที่มาเกาะรวมกัน แล้วก็มีขากุดๆ ไม่รู้เท่าไหร่งอกออกมาจากตัว บนสุดของร่างกายนั้น ตรงกึ่งกลางเลยเนี่ย มีหัววัวที่ใหญ่โตมโหฬารงอกอยู่บนนั้นด้วย หัววัวกระทิงสีดำเมี่ยมกับเขาโง้งคู่นึง แถมตรงกลางระหว่างเขาคู่นั่น มีอะไรซักอย่างเหมือนวงกลมที่เกิดจากเชือกฟางบิดลอยอยู่ด้วย แล้วก็มีแสงสีฟ้าฉายออกมาจากตรงกลางวงแหวนนั่นอีกต่างหาก
มีฉันอยู่ที่นี่ ทำหน้าที่รับรู้ร่างจริงของมันแล้วเนี่ย กระสุนของพวกนาวิกจะยิงโดนมันจริงๆ หรือเปล่านะ? ฉันมองสถานการณ์โดยคาดหวังว่ามันจะได้ผล แต่พวกทหารก็โดนใบหน้าพวกนั้นหลอกเอา กระสุนของพวกเขาก็เลยไม่มียิงไปที่ชั้นความเป็นจริงที่ฉันเห็นเลย
“…โทริโกะ ฉันฝากเธอช่วยยิงอีกซักทีได้หรือเปล่า”
“แน่นอน ขอเวลาแป๊บนะ”
โทริโกะรีบมองไปรอบๆ ก่อนจะปีนลงจากหลังคารถไป ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นการเตรียมการเผื่อมีการจู่โจมเกิดขึ้น หรือเพราะแค่ไม่มีการจัดการอย่างเข้มงวดตั้งแต่แรกแล้ว ถึงได้มีปืนวางทิ้งไว้ตรงนู้นตรงนี้ทั่วค่ายเลย ไม่นาน โทริโกะก็กลับมาพร้อมกับปืนในมือโดยไม่ได้ไปดึงความสนใจของใครมาเลย เป็นไรเฟิลที่มีรูปร่างเด่นสะดุดตา แล้วก็มีกล้องส่องเล็งอันใหญ่ติดอยู่ด้วย
“ขอโทษที่ให้รอ”
“นั่นอะไรน่ะ? ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
“เออ เอ็ม 14… อีบีอาร์ ล่ะมั้ง คิดว่านะ”
“หืม”
“นี่ อย่าถามอะไรที่ต่อให้ได้คำตอบแล้วก็ไม่เข้าใจดีกว่ามั้ย?”
TN: Mk14 EBR (Mk 14 Enhanced Battle Rifle) ปืนไรเฟิลจู่โจมแบบปรับรูปแบบการยิงได้ แล้วก็ยังเป็นไรเฟิลติดกล้องส่องเล็งความแม่นยำสูงอีกด้วย สังกัดกองทัพสหรัฐ เริ่มมีการพัฒนาขึ้นในปี 2000 ตามคำร้องของหน่วยซีลนาวิกโยธินสหรัฐให้ประสิทธิภาพสูงกว่าไรเฟิลจู่โจม M14 Battle Rifle แม้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์ในเรื่องของน้ำหนักที่มากเกินไปตรงส่วนหัว ทำให้ยากต่อการเล็งก็ตาม กระสุนที่ใช้จะเป็น 7.62x51mm NATO
ที่เธอว่า มันก็มีประเด็นนะ แต่ตอนที่ได้เห็นโทริโกะพูดข้อมูลที่ฉันไม่รู้เลยมันสนุกดีนี่นา
“แล้ว? ต้องยิงตรงไหนล่ะ?”
“เหนือก้อนใบหน้าพวกนั้นน่ะ ซัก 3 เมตรแล้วกัน”
“รับทราบ”
โทริโกะนั่งลงบนหลังคารถจิ๊ป ตั้งเข่าขึ้น วางศอกพักบนนั้น ตั้งท่าพร้อมยิง แล้วซักพัก เธอก็ขำคิกคักขึ้นมา
“มีอะไรเหรอ?”
“ฉันเล็งผ่านกล้อง ทั้งๆ ที่พยายามจะยิงอะไรซักอย่างที่มองไม่เห็นน่ะสิ”
“มันมีเพลงแบบนั้นอยู่ด้วยนี่เนอะ? เอาเถอะ ลองยิงไปดูก่อนแล้วกัน”
“ด้าย~ด้าย~ ยิงสุ่มดูก่อนแล้วกันนะ”
ที่ฉันยังประคองสติได้แบบนี้ก็ต้องขอบคุณโทริโกะเลย นี่ถ้าฉันอยู่ตัวคนเดียวล่ะก็ ป่านนี้… ไม่สิ ที่จริง ไม่แน่ พวกเราทั้งคู่อาจจะเสียสติกันมานานแล้วก็ได้ ไม่ว่าจะมองยังไง นี่ก็ไม่ใช่เวลาจะมาคุยเล่นขำๆ กันเลยนะ
แล้ว โทริโกะก็ลั่นไกยิงออกไป 1 นัด
“ต่ำลงหน่อย”
โทริโกะลดกระบอกปืนลง แล้วก็ยิงออกไปอีกนัด
“ไงบ้าง? โดนมั้ย?”
“…เหมือนจะไม่ได้ผลนะ”
กระสุนน่ะวิ่งใส่ไปตรงที่ที่หัววัวอยู่เลยนะ แต่มันเหมือนจะทะลุผ่านไปเลยเนี่ยสิ ทำไมล่ะ?
คราวก่อน ฉันให้โทริโกะเล็งยิงใส่หัวของท่านฮัชชาคุ แต่ครั้งนี้ โทริโกะยังไงก็เห็นว่าตรงที่ตัวเธอเองยิงมันเป็นที่ว่างๆ อาจจะต่างกันตรงนี้ก็ได้ หมายความว่า การรับรู้เป้าหมายส่งผลกับบเรื่องที่ว่ายิงโดนหรือยิงพลาดงั้นเหรอ?
ถ้างั้น ก็เหลืออยู่ทางเดียวแล้ว
“โทริโกะ เอาปืนให้ฉันหน่อยนะ เดี๋ยวฉันยิงเอง”
“Hey, what are you doing!? (เห้ย! ทำอะไรกันอยู่!?)”
เสียงทหารคนนึงดังขึ้นมา พอฉันหันไปมองก็จำหน้าได้เลย จ่าสิบเอกเกร็กนี่ เขาคงได้ยินเสียงปืนดังมาจากข้างหลังพวกเขา แต่ไม่มีเวลามาสนใจแล้ว ฉันเมินเสียงร้องที่ตะโกนว่า “ลงมาจากตรงนั้นเดี๋ยวนี้!” แล้วก็เลียนแบบท่าของโทริโกะ หย่อนตัวนั่งลงบนหลังคารถ
“รู้วิธียิงใช่มั้ย?”
“ช่วยหน่อยสิ”
ฉันตอบในขณะที่คว้าของไรเฟิลหนักๆ มาจากเธอ โทริโกะพยักหน้า แล้วก็อ้อมมาข้างหลังฉัน ช่วยแก้ท่าเล็งของฉัน―ที่เลียนแบบจากเธอมา―จากข้างหลัง ระหว่างที่ฉันเล็งผ่านกล้องส่องเล็ง ตาขวาของฉันก็เพ่งตรงไปที่หัววัวนั่น
“พยุงฉันทีนะ”
พอฉันรู้สึกถึงมือของโทริโกะที่จับไหล่ของฉัน ฉันก็กดลั่นไกออกไป
พานท้ายปืนกระแทกที่ไหล่ของฉัน รู้สึกเหมือนมันจะทำฉันกลิ้งไปข้างหลังได้เลย แต่โทริโกะก็ช่วยหนุนฉันเอาไว้อยู่ กล้องส่องเล็งเด้งหนีออกไปจากลานสายตาของฉัน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมองผ่านมันแล้วล่ะ ทันใดนั้น ก็เป็นเหมือนเสียงไซเรนบางอย่างดังขึ้น เสียงโหยหวนของวัวดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
พร้อมๆ กับที่ฉันเห็นหัววัวเอนล้มลงในตาขวา ในตาซ้าย ฉันก็เห็นฝูงคนที่เหลวเละและกรีดร้องระงมกัน มีแสงสีฟ้าสว่างวาบต่อหน้าสายตาของเหล่านาวิกราวกับเกิดขึ้นมาจากความว่างเปล่า ก่อนจะแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ราวกับแก้ว
กลางทุ่งที่เปิดฉากยิงนั่นเงียบสนิท เสียงดนตรีที่มีฆ้อง กลอง และขลุ่ยดังไม่หยุดก็หายไปซะดื้อๆ ราวกับถูกดูดหายไป
“What happened…? (นี่มัน เกิดอะไรขึ้น…?)”
ร้อยโทเดรคดันฝ่าคนของเขา เดินตรงมาทางพวกเรา ด้วยสีหน้าตกตะลึง ส่วนจ่าสิบเอกเกร็กก็ส่ายหน้าซ้ำไปซ้ำมาด้วยความไม่อยากเชื่อ
“Shit, what was that? (บ้าน่า นั่นมันอะไรกัน?) พวกเธอ 2 คนเป็นคนทำเหรอ? จริงเหรอ?”
เขาจ้องไปตรงที่สัตว์ประหลาดเคยอยู่จนถึงเมื่อกี้นี้ พลางสบถออกมา ดูเหมือนเขาจะระงับความตื่นเต้นในใจเอาไว้ไม่อยู่เลย
“พวกเธอทำแบบนั้นได้ยังไงน่ะ? บ้าจริง นี่ฉันเข้าใจพวกเธอผิดไปงั้นเหรอ? ถ้างั้น ฉันต้องขอโทษด้วย…”
ตอนที่จ่าสิบเกร็กหันมาพวกเรา น้ำตาก็ไหลอาบ 2 แก้มเลย พร้อมกับมองมาที่ฉันด้วยรอยยิ้มสดใสยังกับเด็ก
แล้วสีหน้าเขาก็แข็งค้างไปเลย
“You (เธอ)―ตานั่น―เกิดอะไรขึ้น?”
โทริโกะหันขวับมามองที่ตาของฉัน แล้วก็ร้องขึ้นอย่างตื่นตระหนกเลย
“โซราโอะ! ตาขวา! มันหลุดแล้ว!”