[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 48 รีสอร์ทไนท์บนหาดไกลโพ้น [2]
ใช่ เธอเอาจริง
ในถุงดองกิที่ฉันนึกว่ามีแค่เสื้อผ้าใส่เปลี่ยนเฉยๆ ก็มีชุดว่ายน้ำ, ผ้าขนหนู, ครีมกันแดด… โดยพื้นฐานแล้วก็ทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับความรื่นเริงบนชายหาดเลยนั่นแหละ
นี่เมื่อคืน พวกเราอยากจะไปเที่ยวชายหาดกันขนาดไหนล่ะเนี่ย?
พอโทริโกะกลับเข้าร่องเข้ารอยอย่างทุกทีแล้ว เธอก็ขยับตัวไปมาอย่างรวดเร็วเลย เธอรีบอาบน้ำจนเสร็จ แล้วก็ออกมาในสภาพสวมแค่เสื้อยืดกับกางเกงใน แล้วหันมาบอกว่า
“เดี๋ยวฉันเก็บของให้เอง”
แล้วก็เร่งให้ฉันเข้าไปอาบน้ำต่อจากเธอ
ฉันเข้ามา พยายามเตรียมใจอยู่ใต้ฝักบัว หลังจากใช้สระว่ายน้ำตอนประถม ฉันก็ไม่ได้ใส่ชุดว่ายน้ำอีกเลย ทะเลนี่มันเป็นยังไงนะ? จำไม่ได้แล้วแฮะ ฉันเคยเห็นรูปถ่ายสมัยที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ที่ท่านพาฉันไปว่ายน้ำที่ทะเลที่ไหนซักที่ แต่ฉันยังเด็กมากๆ เลยนะ ซัก 1 ไม่ก็ 2 ขวบนี่แหละตอนนั้น ก็เลยจำอะไรไม่ได้เลย คุณพ่อเองก็ยังสติดีอยู่เหมือนกัน พวกเรา 3 คนดูมีความสุขกันหมดเลยนะในภาพถ่ายใบนั้น ว่าแต่ ภาพนั่นมันยังวางอยู่ในบ้านที่ว่างเปล่าของพวกเราอยู่มั้ยล่ะเนี่ย?
ชุดว่ายน้ำงั้นเหรอ… แค่คิดถึงเรื่องนั้นมันก็ทำฉันกลัวแล้วล่ะ นี่ฉันยังไม่เห็นเลยนะว่าเมื่อวานนี้ ตัวเองไปซื้อชุดว่ายน้ำแบบไหนมากันแน่ แต่จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย? ต้องดูประหลาดแหงๆ เลย แบบว่า ฉันไม่รู้จักชุดอื่นเลยซักอย่างนอกจากชุดว่ายน้ำโรงเรียน จินตนาการภาพไม่ออกเลยว่าฉันในสภาพเมาเละแบบนั้นจะเลือกอะไรที่มันพอดูได้มาซักชิ้นนึงน่ะ
เรื่องจะไปที่ที่แดดเปรี้ยงอย่างชายหาดโอกินาว่ากลางฤดูร้อนนี่ก็สองจิตสองใจพออยู่แล้วนะ ฉันไม่ได้เกลียดการออกไปตระเวนในที่กลางแจ้งหรอก แต่นั่นมันก็แค่ตอนที่ไปที่ที่ไม่มีใครคนอื่นอยู่เท่านั้นเอง ไม่อยากไปเลยแฮะ ชายหาดที่มีแต่คนแน่นๆ น่ะ…
ทำยังไงดี? จะทำยังไงดีล่ะ? ความคิดมันวุ่นวายทรมานอยู่ในหัวที่น้ำร้อนกำลังรดใส่อยู่ตอนนี้ จนถึงตอนที่ฉันได้ยินเสียงของโทริโกะจากข้างนอกห้องน้ำเรียก
“โซราโอะ เป็นอะไรหรือเปล่า? นี่เหลืออีก 15 นาทีแล้วนะ!”
“หา!? ไม่จริงน่า! จะออกไปแล้วๆ!”
“โอเค ฉันเอาเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนออกมาแล้วนะ”
ฉันรีบปิดฝักบัวรีบออกมา ไม่มีเวลาเป่าผมให้แห้งเลย ทำได้แค่รีบๆ เช็ดหัว แล้วกลับไปที่ห้องนั่งเล่นเอง
เสื้อยืดตัวใหม่ที่เอาออกมาจากถุงดองกิมีลายแพะนั่งอยู่ในหม้ออยู่ด้วย น่ารักจัง ฉันสวมเสื้อยืดทับบนยกทรง สวมกางเกงยีนส์ตามปกติไว้ข้างใน แล้วก็รองเท้าแตะลายดอกไม้ บนหัวก็สวมหมวกนิวส์บอยสีเทาที่มีปีกหมวกกดลงมาบังตาของฉันด้วย คอนแทกเลนส์สีมันคงอยู่ใต้อะไรซักอย่างในกระเป๋าฉันนี่แหละ ตาขวาของฉันก็เลยไม่มีอะไรปิดเลยตอนนี้ โทริโกะสวมกระโปรงวันพีชกับถุงมือกันยูวีแขนยาว รองเท้าแตะสีน้ำเงินเข้ม หมวกฟางปีกกว้าง แล้วก็แว่นกันแดด เพอร์เฟกต์มากสำหรับชุดฤดูร้อน
ฉันมองภาพสะท้อนพวกเราในกระจก แล้วก็หงุดหงิดขึ้นมาเลย
“นี่เราแต่งตัวกะจะเที่ยวเต็มที่เลยนี่นา!”
ฉันร้องออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เมื่อคืนตอนที่คุยกันเรื่องจะไปเที่ยวชายทะเล เธอก็ดูคึกเต็มที่เลยนี่นา โซราโอะ”
โทริโกะพูดพร้อมกับยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ด้วย ไม่ ไม่จริง ยัยนี่โกหกแน่ๆ ฉันไม่เชื่อเด็ดขาดเลย
โทริโกะจัดการสัมภาระพวกเราเอาแทบจะเรียบร้อยอยู่แล้ว เราก็เช็คเอาท์ได้ทันเวลาแบบเฉียดฉิวเลย ดูแล้ว จริงๆ เราไม่จำเป็นต้องรีบขนาดนี้ก็ได้นะ พอพวกเรามาถึงชั้น 1 ของตึกที่บ้านพักเราตั้งอยู่ เราก็แค่เอากุญแจใส่ในตะกร้าที่วางอยู่ตรงโต๊ะหน้า แค่นี้ก็เช็คเอาท์เสร็จแล้ว
ทันทีที่เราออกมาจากตึกติดแอร์ปุ๊บ อาการร้อนชื้น และแสงแดดในเขตทางใต้ก็อัดใส่พวกเราอย่างจัง นี่ถ้าเรายังตากแดดแบบนี้นานเกินไปล่ะก็ มีหวังได้สลายเป็นขี้เถ้าแหงๆ เลย กับคนที่เกิดที่อากิตะอย่างฉันที่ไม่ได้เจอแสงแดดเท่าไหร่แล้วเนี่ย แดดเดือนกรกฎาที่โอกินาว่านี่มันอาวุธสุดอันตรายสุดๆ ไปเลย
“โห แดดนี่มันก็สุดยอดไปเลยนะ แป๊บเดียวก็โดนเผาจนเกรียมแล้วเนี่ย”
โทริโกะหรี่ตามองจากใต้ปีกหมวกของเธอ พวกเราออกมาจากใจกลางเมืองนาฮะประมาณนึงแล้ว เพราะงั้นไม่ว่าจะไปไหนต่อ ยังไงก็ต้องใช้รถ
ตามถนนเส้นตรงที่ทอดยาวนี่ มีแต่ตึกที่กำแพงด้านนอกโดนลมทะเลกัดไปอยู่ตรงนั้นตรงนี้เต็มไปหมด แสงแดดที่ส่องลงมาตรงๆ ทำเอาเหมือนกับว่าเงาของทั้งเมืองจะหายไปเลย มองไปตามถนนทั้งซ้ายทั้งขวาก็ไม่เห็นคนออกมากันเท่าไหร่ ก็นะ มาลองคิดๆ ดู คนที่จะเลือกออกมาเดินข้างนอกกลางอากาศที่ร้อนที่สุดของวันเนี่ยมันก็คงมีไม่กี่คนหรอก
“เรียกแท็กซี่เถอะ ถ้ายังเดินต่ออยู่แบบนี้ คงแห้งตายกันก่อนพอดี”
ตอนที่พวกเรามองกลุ่มผู้ชายผิวเข้มขี่จักรยาน กับพวกสกูตเตอร์แล้วก็รถยนต์ทะเบียบโอกินาว่าวิ่งผ่านไป พวกเราก็รู้ตัวแล้วว่าร่างกายกำลังเสียน้ำไปเยอะเลย โชคดีมากที่มีแท็กซี่มาจอดรับพวกเราก่อนที่จะต้องกลายเป็นนักท่องเที่ยวที่คึกเกินเหตุ 2 คน ยืนแห้งตาย ตัวเหลวติดอยู่กับพื้นทางเดินตรงนี้น่ะ
ฉันว่าเป้ใบใหญ่เรียบๆ ที่ใส่อุปกรณ์ทั้งหมดของพวกเราอยู่นี่ดูจะไม่เข้ากับชุดที่พวกเราใส่กันตอนนี้เท่าไหร่ แต่เหมือนว่าคุณลุงคนขับแท็กซี่ก็ดูจะไม่ได้สนใจอะไรเรื่องนั้นเป็นพิเศษเลยนะ
“อยากไปเที่ยวชาวหาด พอมีที่ไหนแนะนำได้หรือเปล่าคะ?”
โทริโกะถามออกไปอย่างไม่ลังเลเลย เธอบอกว่าตัวเองเป็นคนขี้อายใช่มั้ยนะ? แต่พอฉันดูเธอในสถานการณ์แบบนี้ ก็ไม่เห็นจะเป็นแบบนั้นเลย สงสัยเหตุผลที่เธอพูดคุยแค่สั้นๆ กับพวกทหารกองพันเพลฮอร์สนี่อาจจะเพราะว่าตอนนั้นเธอกำลังเครียดอยู่ก็ได้ล่ะมั้ง
“โอ้ ได้เลย อยากจะไปที่ดังๆ กันมั้ยล่ะครับ?”
“อ๊ะ! อยากได้ที่ที่ไม่ค่อยมีคนเยอะน่ะค่ะ”
ฉันรีบพูดแย้งขึ้นมา
“ไม่ค่อยมีคน เงียบๆ แต่ก็ยังดูดีอยู่…”
“ถ้างั้น ก็ไปเนโซโกบามะที่นาดาบารุก็แล้วกันนะครับ ตรงนั้นน่ะไม่ค่อยมีคนเลยล่ะ”
“ได้ค่ะ เอาตามนั้นได้เลย”
ไม่เข้าใจเลยว่าชื่อเฉพาะพวกนั้นหมายความว่ายังไง แต่ก็พยักหน้าตกลงอยู่ดีนั่นแหละ
“ก็ดีนะ ฉันก็ชอบที่เงียบๆ เหมือนกัน”
นึกว่าเธอจะไม่ชอบซะอีก แต่ดูเหมือนโทริโกะจะเห็นด้วยกับฉันนะ
“อ้อ ใช่ อาจจะไม่สะดวกเรื่องที่ไม่มีร้านอยู่แถวนั้นเลยนะ แวะซื้ออะไรระหว่างทางไปก่อนดีกว่ามั้ย?”
“ก็จริง ขอโทษนะคะ เดี๋ยวถ้าเกิดมีร้านสะดวกซื้ออยู่ระหว่างทางก็ช่วยจอดแวะหน่อยนะคะ”
รถแท็กซี่ก็เริ่มเคลื่อนตัวออกไป ในที่สุดพวกเราก็เอกเขนกบนเบาะของพวกเราได้ซักที พวกเราออกจากถนนที่เรียงรายไปด้วยลานจอดรถที่จอดกันเต็มกับร้านอาหารครอบครัวไป เข้าสู่ถนนใหญ่ที่รถรามากมาย แล้วก็มีรั้วกั้นของฐานทัพกองกำลังสหรัฐวิ่งยาวไปตลอดข้างทางของถนนเลย
พวกคนจากกองพันเพลฮอร์สจะเป็นยังไงกันบ้างนะ หวังว่าพวกเขาจะไม่หลุดหลงเข้าไปในโลกเบื้องหลังอีกก็แล้วกัน… แล้วก็… ไม่ว่ายังไง ก็ขออย่าได้เจอกับพวกเขาบนโลกเบื้องหน้านี่ด้วยก็แล้วกัน…
ระหว่างที่กำลังคิดแบบนั้นอยู่ ก็สุดเขตรั้ว จนพวกเราได้เห็นทะเลซักที
“ว้าว!”
โทริโกะอุทานขึ้นมา ฉันเองก็อดโน้มตัวไปดูไม่ได้เหมือนกัน
ทะเลสีเขียวมรกตที่ดูจะยิ่งลึกไกลออกไปจากชายฝั่ง สวยมากจนขนาดฉันไม่สนใจเรื่องชายหาดหรือรีสอร์ทอะไรนี่ซักอย่างยังตื่นเต้นเลย
“งานนี้ต้องสนุกแน่ ตั้งแต่มาญี่ปุ่นนี่ ฉันยังไม่ได้มาเที่ยวทะเลเลยซักครั้งเลยนะ”
“ตอนอยู่ต่างประเทศได้ไปบ่อยเลยเหรอ?”
“บ้านฉันก็พาไปช่วงฤดูร้อนนะ สมัยที่พวกเรายังอยู่ที่แวนคูเวอร์ เคยไปร่วมงานเดินพาเหรดที่ซันเซ็ตบีชด้วยนะ สนุกมากเลย”
ยังกับว่าเธออยู่คนละโลกกับฉันเลยแฮะ
“โอ้โห ฉันรู้จักแค่ทะเลในญี่ปุ่นเท่านั้นเอง”
“ที่ทะเลญี่ปุ่นนี่มีที่ไหนที่เขาให้ลงเล่นน้ำด้วยหรือเปล่า?”
“ก็มีนะ แต่…”
“งั้นไว้ไปที่นั่นกันคราวหน้านะ ช่วยนำทางฉันด้วยได้มั้ย?”
“ก็… ไม่มีปัญหาหรอก”
คำพูดติดอยู่ในลำคอเลยแฮะ มันก็มีเอี่ยวอยู่กับความทรงจำแย่ๆ เกี่ยวกับครอบครัวของฉันด้วย แต่เทียบทะเลโอกินาว่าตรงหน้าตอนนี้แล้วเนี่ย ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยนะว่าทะเลของญี่ปุ่นเนี่ยมันไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่เลย
“…อ้อ จริงด้วย อย่าลืมทาครีมกันแดดนะ โทริโกะผิวขาวกว่าฉันอีก ถ้าไม่ทันระวังละก็ เธอได้ลำบากแน่”
“โอ๊ะ! ใช่ๆ! จริงด้วยสิ! ผิวแดงไปหมดแล้ว!”
ฉันกับโทริโกะก็ทาครีมกันแดดกันจนเรียบร้อย แล้วก็ให้แท็กซี่จอดตรงร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใกล้ๆ พวกเราซื้อกระเป๋าเก็บความเย็นพับได้ น้ำ เครื่องดื่ม แล้วก็อาหารกันมาเสร็จ ก็ให้คนขับแท็กซี่ออกรถไปต่อ
ในรถแอร์เย็นๆ นี่ สติของฉันก็ชักจะเบลอๆ แล้วสิ คนขับก็นั่งเงียบ วิทยุก็เอาแต่เล่นเพลงพื้นบ้านดั้งเดิม ไม่ก็เพลงเด็ก หรืออะไรซักอย่างนี่แหละ
…あおいちちゆぬうみばたや (…A o ichi chi yu nuumibataya)
あやをさがしてなちゅとぅいが (Aya o sagashitena chi yutouiga)
なみぬくにからうまれてる (Naminu kuni kara umareteru)
ぬれたつばさぬぎんぬいる (Nureta tsubasa nuginnu iru)
ゆるなちゅとういぬかなしさや (Yuruna chi yutouinukanashisaya)
あやをたずねてうみこえて (Aya o tazunete umi koete)
ちちゆぬくにへきえてゆく (Chi chi yunu kuni e kieteyuku)
ぎんぬつばさぬはまちどうり… (Ginnu tsubasanu wa machi douri…)
TN: แปลเนื้อความประมาณว่า
…ราตรีที่แสงจันทร์สีฟ้าสาดส่องบนชายหาด
มีนกน้อยตัวหนึ่งร้องเรียกหาพ่อแม่
กำเนิดขึ้นจากดินแดนแห่งเกลียวคลื่น
สีเงินส่องประกายจากปีกที่เปียกปอน
ความเศร้าโศกของนกน้อยในยามค่ำคืน
ข้ามฟากผ่านทะเลไปถึงพ่อแม่
และหายลับไปในแดนแห่งแสงจันทรา
นกชายเลนนับพันที่มีปีกสีเงินเอ๋ย…
โทริโกะพิงหัวกับกระจกรถ ตาปิดสนิทเลย คงจะหลับไปแล้วล่ะมั้ง? ริมฝีปากบางสีชมพูที่ยังเหมือนของเด็กเล็กๆ เปิดออกนิดหน่อย ตอนที่ฉันมองหน้าที่ไร้ความระแวดระวังของเธอจากด้านข้าง ก็เห็นว่าตอนนี้รถเข้ามาถึงเขตที่อยู่อาศัยแล้ว มีพวกสิงโตหินมองมาหาพวกเราด้วยตาเบิกโพลงจากบนหลังคาสีแดงก่ำกับพื้นหินกรวดปูทางด้วย
แล้วจู่ๆ ฉันก็ได้ยินเสียงลากเท้าดังมาจากตรงเบาะข้างคนขับ พอแอบมองดู ก็เห็นเปลือกหอยเล็กๆ วางอยู่ตรงนั้นด้วย
พอมองดูดีๆ ก็มีขากับก้ามยื่นออกมา… นั่นปูเสฉวนนี่
มีทรายกองเล็กๆ อยู่รอบตัวเจ้าปูเสฉวนตัวนั้นด้วย ยังกับเป็นสวนเล็กๆ ที่ก่ออยู่บนเบาะยังงั้นแหละ แสงแดดจ้าที่สาดทะลุกระจกหน้ารถเข้ามานั่นทำให้ทรายสีขาวนั่นส่องประกายออกมาเหมือนเป็นสีเงินเลย
พอฉันมองแสงระยิบระยับวูบวายนั่นอยู่แบบนั้น สติมันก็ยิ่งเบลอๆ เข้าไปอีก
สุดท้าย ฉันก็นั่งทิ้งตัวจมลงไปกับเบาะ พร้อมกับสติที่เลือนหายไป…
TN: ชิซ่า (シーサー) เป็นภาษาถิ่นโอกินาว่าหมายถึง “สิงโต” (shishi : 獅子) เป็นรูปปั้นของสัตว์ในเทพนิยายที่เชื่อกันว่าจะคอยปัดเป่าวิญญาณร้ายออกไป ซึ่งก็มีต้นกำเนิดมาจากสิงโตของประเทศจีน นิยมตั้งไว้บริเวณหน้าบ้านหรือหน้าศาลเจ้า เพื่อช่วยปกปักรักษาบ้านเป็นเสมือนเครื่องรางและสิ่งมงคลที่เรียกความสุขเข้ามา