[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 66 ไฟล์ 8 : นกน้อยในกล่อง [4.2]
“ผมจะให้พวกท่านได้ดูชั้นล่างนะครับ”
คุณมิงิวะพูดแล้วก็หันหลังให้พวกเรา ตอนที่พวกเราหันไปมองที่คุณโคซากุระ เธอก็สะบัดคาง สื่อว่า รีบไปกันซักทีสิ
อารมณ์ดีๆ ก่อนหน้านี้ของเธอหายไปไหนแล้วล่ะเนี่ย?
พวกเราถูกพาเดินลงบันไดไป 2 ชุด หลังจากที่ผ่านประตู 2 ชั้นที่เหมือนกับแอร์ล็อกเข้ามาแล้ว กลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อก็ลอยมาเตะจมูกเลย
ไม่เหมือนกับข้างบน ที่นี่เป็นห้องที่เห็นแต่โถงทางเดินที่ไม่มีไม้เลย มีแสงสว่างจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ แล้วฉันก็จำได้พอดี
มาลองนึกดูแล้ว ที่ลิฟท์ก็มีเขียนไว้อย่างศูนย์ตรวจสุขภาพด้วยนี่นา…
แล้วก็มีผู้ชายคนนึงที่เดินเข้ามาทางพวกเราจากปลายอีกฝั่งนึงของทางเดิน เงยหน้าขึ้นจากแท็บเล็ตเพื่อมองดูพวกเรา เขาโกนหัวจนเกลี้ยง สวมแว่นตากับเสื้อแล็บสีขาวด้วย
“มิงิวะ มีเรื่องอะไรเหรอ?”
“แค่พาแขกชมรอบๆ เท่านั้นเอง ทุกท่านไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงใช่มั้ยครับ?”
ชายในเสื้อแล็บสีขาวเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“ตอนนี้สงบดี อย่าไปกระตุ้นพวกเขาก็พอ เออ แขกทุกคน ขอว่า อย่าจ้องพวกเขามากนักนะครับ ช่วยเลี่ยงการพูดเกี่ยวกับอาการของพวกเขาด้วยเสียงที่ดังด้วย ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจดูเหมือนจะไม่มีสติรับรู้อยู่ก็ตาม แต่พวกเขาก็อาจจะยังสามารถมองเห็นและได้ยินอยู่นะครับ”
ชายในเสื้อแล็บสีขาวพูดทิ้งไว้แบบนั้น แล้วก็เดินหายไปตามโถงทางเดิน
“จะเป็นอะไรหรือเปล่านะ?”
คุณมิงิวะถามขึ้นมา ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเข้าใจสถานการณ์แค่ไหน แต่อย่างน้อย ฉันก็พอจะเดาได้นะว่าที่นี่ต้องมีผู้ป่วยที่มีอาการหนักอยู่แน่
โถงทางเดินมันมีประตูเลื่อนบานใหญ่อยู่เป็นช่วงๆ ประตูแต่ละบานก็มีกระจกที่หันออกมาที่โถงทางเดินด้วย 1 บาน รู้สึกเหมือนไม่ค่อยใช้โรงพยาบาลแล้วนะ มันดูเหมือนสวนสัตว์หรือคุกมากกว่า
ฉันเหลือบเข้าไปมองทางหน้าต่างบานแรก ข้างในมันเป็นห้องง่ายๆ ที่มีแค่เตียง โต๊ะเขียนหนังสือ แล้วก็เก้าอี้ ไม่เห็นใครเลยซักคน แต่เพราะอะไรไม่รู้ถึงได้มีกองเศษกระดาษแบบที่เหมือนมีใครใช้เครื่องทำลายเอกสารฉีกมันมากองอยู่ที่มุมห้องด้วย
“ตรงนั้นไม่มีใครเลยเหรอ?”
โทริโกะถามขึ้นด้วยเสียงเบาๆ แต่คุณมิงิวะก็ส่ายหน้า
“พวกคุณจะเห็นได้ตรงนั้นครับ”
คุณมิงิวะชี้ไปที่กองเศษกระดาษ
พูดเรื่องอะไรของเขากันล่ะเนี่ย?
ฉันได้แต่สงสัยในขณะที่หรี่ตามอง
ไม่อะ ทั้งหมดที่ฉันเห็นก็มีแต่กองขยะเท่านั้นเอง―
วินาทีนั้นเลยนั่นแหละ ที่ฉันตกใจสะดุ้งจนเด้งตัวออกมาจากกระจกหน้าต่างเลย
นั่นไม่ใช่กองเศษกระดาษ นั่นมันมนุษย์ที่กำลังคุดคู้อยู่ต่างหาก
มันยังคงสภาพเหมือนร่างของมนุษย์อยู่นะ แต่ผิวนอกของร่างกาย―ทั้งผิว ทั้งเส้นผม ทั้งเส้นขน ทั้งใบหน้า ทั้งนิ้วมือ―ทั้งหมดมันถูกเปลี่ยนเป็นริ้วกระดาษที่ตัดมาบางมากห้อยเต็มตัวไปหมด เศษริ้วกระดาษพวกนั้นโบกไปมาอย่างพริ้วไหว ดูคล้ายๆ กับคนที่ถูกเครื่องทำลายเอกสารตัดทั้งตัวมาเลย แค่ว่าไม่มีชิ้นเนื้อหรือเลือดเลยเท่านั้นเอง
“…นั่น มันอะไรน่ะ?”
โทริโกะถามขึ้นมา แล้วพอนึกขึ้นได้ ก็กระซิบถามต่ออย่างตึงเครียด
“ยังมีชีวิตอยู่มั้ย?”
“ยังมีชีวิตอยู่แน่นอนครับ ถึงผมจะรู้สึกว่าการที่ยังมีชีวิตอยู่นี่แหละที่น่าสงสาร ร่างกายของเขาเบากว่าปกติเป็นอย่างมาก จนทำให้ลมของแอร์เป่าให้เขาไปอยู่ที่มุมห้องแบบนั้นอยู่ตลอด ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเขายังมีสติรับรู้อยู่หรือเปล่า แต่ผมก็ได้แต่หวังว่าจะไม่”
คำอธิบายอย่างสุภาพแต่ก็ดูไม่แยแสของเขาทำให้รู้สึกเย็นวาบเลย ถึงคุณมิงิวะจะบอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่ก็เถอะ แต่เขาก็พูดเหมือนกับว่าคนคนนั้นแทบจะตายไปแล้วยังไงยังงั้นเลย
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นได้กันล่ะคะ…?”
ฉันถามออกไปโดยที่ยังละสายตาออกมาไม่ได้
“ดูเหมือนว่าเขาจะติดต่อกับ Anomaly (สิ่งผิดปกติ) บางอย่างใน UBL นะครับ ในตอนแรกที่เขากลับมา ไม่มีอะไรผิดปกติเลย แต่หลายวันต่อมา อาการพวกนี้จู่ๆ ก็เกิดขึ้น…”
เขาใช้ศัพท์เรียกที่ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่คุณมิงิวะพูดถึงเนี่ย น่าจะหมายความว่าคนคนนั้นเผลอไปเหยียบกลิตช์ในโลกเบื้องหลังเข้าใช่มั้ยนะ?
“แค่นี้ดีมั้ยครับ? เราไปดูห้องต่อไปกันดีกว่า”
พอนึกขึ้นได้ว่าเราถูกบอกไม่ให้จ้องพวกเขานานเกินไป ฉันก็ละสายตาออกมาจากคนคนนั้น
หน้าต่างห้องต่อมามันมืดไปหมด แสงที่ฉายคือแสง UV
ตรงกลางห้องที่ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลยนั่น มีร่างของคนยืนตัวตรงอยู่ เท้าที่ไม่ขยับเลยของเขาฝังลงไปในดินเปล่าๆ ลึกถึงข้อเท้า
จากที่ฉันพอจะมองเห็นจากแสงนิดเดียวที่ลอดเข้าไปนั่น ตั้งแต่หัวไหล่ขึ้นไปของเขา ดูเหมือนเป็นดอกทานตะวันดอกใหญ่เลย หัวที่เป็นเหมือนจาน ล้อมรอบด้วยกลีบเหี่ยวๆ อยู่ที่ขอบ หรือไม่ มันก็อาจจะเป็นกระจุกผม ที่หน้าก็มีตุ่มปริศนาบางอย่างคลุมอยู่จนบังทั้งหน้าไปจนมิดเลย
หน้าต่างของห้องต่อมากลับมาสว่างอีกครั้งนึง ผู้ป่วยนอนอยู่บนเตียง มีชั้นหนังสือวางอยู่กับกำแพงด้วย และบนโต๊ะก็ถูกจัดเป็นระเบียบเรียบร้อย คนไข้ที่นอนอยู่ตรงนั้นมีของโปร่งใสบางอย่างงอกออกมาเต็มตัวไปหมดเลย พวกมันงอกออกมาโดยไม่ได้มีรูปร่างที่เหมือนกัน ทั้งหมดงอกสูงขึ้นไป แผ่กระจายออกเมื่อชนกับเพดาน
ฉันรู้สึกว่า พวกมันดูคล้ายๆ กับของคล้ายๆ เชื้อราที่งอกออกมาจากฉันตอนที่เกือบจะโดนคุเนะคุเนะจัดการอยู่เหมือนกันนะ
ห้องต่อมา ทั่วทั้งเพดานและพื้นถูกปกคลุมไปด้วยสัญลักษณ์และตัวอักษรที่ถูกเขียนขึ้นอย่างลวกๆ
มีชายคนนึงผอมแห้งคนนึงเขียนอะไรซักอย่างอยู่อย่างคลุ้มคลั่งอยู่ด้วย ตอนแรกฉันก็โล่งอกที่คิดว่าจะได้เจอผู้ป่วยที่เราพอจะเข้าใจได้ซักคนแล้ว ฉันเคยเห็นอะไรคล้ายๆ แบบนี้ในหนังมาก่อน…
แต่ความโล่งใจนั่นก็ถูกเป่าหายไปเลยตอนที่ฉันเห็นมือของชายคนนั้น
ของผอมบางคล้ายกับแมลงไต่ออกมาจากร่องระหว่างเล็บมือของเขา ดิ้นไปมาอยู่บนพื้น ก่อนจะกลายเป็นตัวอักษรที่เขียนขึ้นมาด้วยตัวของมันเอง
“กลุ่มวิจัย DS นั้น แต่เดิมถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อออกสำรวจโลกลี้ลับที่ไม่รู้จักอย่าง UBL แต่ว่า หลังจากที่พวกเราเริ่มทำการวิจัยได้ไม่นาน ก็เริ่มมีเหยื่อทีผู้เคราะห์ร้ายละคน ทีละคน การดำเนินการออกสำรวจในนามขององค์กรก็ได้หยุดลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ และวัตถุประสงค์หลักของพวกเราในตอนนี้ก็ได้เปลี่ยนไปเป็นการปกป้องคุ้มครองเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย และค้นหาหนทางการรักษาพวกเขาแทน”
เสียงที่แยกออกมาจากคุณมิงิวะดังมาจากเหนือหัวของฉัน
“งั้น คนพวกนี้ เดิมทีแล้วก็…”
“ใช่ครับ พวกเขาคือคนที่เข้าไปยังอีกโลกหนึ่ง และมีบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเขาเมื่อได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับสิ่งของที่มีต้นกำเนิดมาจากที่แห่งนั่น พวกเขารวมทั้งเหล่าคนใหญ่คนโตที่มีส่วนร่วมกับการก่อตั้ง กลุ่มวิจัย DS และยังมีคนที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกของรัฐสภา รวมไปถึงครอบครัวของพวกเขา หรือแม้แต่ตัวสมาชิกเองก็ตาม เหตุผลที่กลุ่มวิจัย DS ยังคงอยู่แม้ว่าจะสูญเสียเป้าหมายดั้งเดิมไปแล้วก็ตาม นั่นก็เป็นเพราะเงินทุนสนับสนุนทางการเงินอย่างต่อเนื่องของคนกลุ่มนี้นี่แหละครับ”
ข้อมูลมันมากเกินไปหน่อยแล้วนะเนี่ย… แต่ ดูเหมือนเรื่องศูนย์ประกันอุบัติเหตุที่ทำงานนั่นน่ะ ก็แค่เรื่องที่ปกปิดเอาไว้เพื่อที่จะซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ได้ล่ะมั้ง
ฉันหันไปหาคุณโคซากุระ อยากได้ความเห็นจากเธอซักหน่อย ฉันรู้สึกว่าเธอเงียบแปลกๆ มาซักพักนึงแล้ว แล้วก็ เหมือนกับว่าคุณโคซากุระจะไปยืนอยู่ที่ริมขอบของกลุ่ม เบือนหน้าหนีจากหน้าต่างมา
“นี่คือสิ่งที่คุณอยากให้พวกฉันได้เห็นสินะคะ คุณโคซากุระ?”
“เออ”
คุณโคซากุระตอบด้วยสีหน้าบึ้งตึง พลางมองดูกำแพงที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยอยู่แบบนั้น
“ตอนนี้พวกเธอเริ่มจะรู้เรื่องบ้างแล้วหรือยัง ว่าทำไมฉันถึงพูดอยู่ตลอดว่าไม่อยากจะไปที่โลกฝั่งนั้นน่ะ?”
“ค่ะ… แต่ คุณก็ไม่ได้หยุดพวกเราไม่ให้ไปนี่คะ?”
ฉันพูดขึ้น แล้วสายตาของคุณโคซากุระก็เดือดขึ้นมาเลย
“ฉันเลิกคิดเรื่องที่ว่าตัวเองจะห้ามพวกเธอได้ไปตั้งนานแล้ว เพราะไม่ว่าฉันจะพร่ำบอกพวกเธอไปไม่รู้กี่ครั้งกี่หนว่าไม่ให้พวกเธอไป ถ้าพวกเธอจะไป พวกเธอก็ยังจะดันทุรังไปกันให้ได้อยู่ดี มันบ้ามาก พวกเธอน่ะบ้ามาก บ้าพอกันทั้งคู่เลย”
คุณโคซากุระตะโกนจนเสียงแหบพร่าไปแล้ว
“แค่นี้แหละ หลังจากเห็นหมดนี่แล้ว ถ้าพวกเธอยังไม่รู้สึกถึงอันตรายอะไรอีกล่ะก็ งั้นนั่นมันก็เกินมือฉันแล้ว”
คำพูดของเธอพรั่งพรูออกมา แล้วก็หันหนีไปเลย
“ทั้ง 2 ท่าน ได้ดูกันพอหรือยังครับ?”
คุณมิงิวะถาม แล้วก็ไม่มีใครแย้ง ทั้งฉันทั้งโทริโกะพยักหน้าตอบ แล้วก็เดินตามคุณโคซากุระที่ตอนนี้ยักไหล่ขึ้นอย่างโมโหไป เดินกลับไปตามทางที่เราเดินมา
ตอนที่ฉันหันกลับไปมองอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย บางอาจจะเพราะไฟที่มืดจนมองไม่เห็นก็ได้ โถงทางเดินสีขาวของหอผู้ป่วยนี่ดูเหมือนจะยืดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา ยังกับว่ามันยืดยาวออกไปไม่มีที่สิ้นสุดยังไงยังงั้นเลย
TN: ตรงนี้จะเป็นการแสดงความรู้สึกส่วนตัวของผู้แปลนะครับ จากที่เคยคุยไว้ตั้งแต่ ไฟล์ 2 ตอนที่ 2 นู่น
จากที่เคยบอกไว้ว่าตัวละครโคซากุระคือตัวละครโปรดของผมเลยนะครับ ในหลายๆ มุม โดยเฉพาะตอนนี้ที่ทำให้ชอบตัวละครนี้เข้าไปอีก การที่โกรธทั้ง 2 สาวที่ชอบลากตัวเองไปเอี่ยวกับปัญหาอยู่ตลอด กับการคอยดูแลช่วยเหลือและเป็นห่วงทั้งโซราโอะทั้งโทริโกะโดยไม่แสดงออกมาแบบนี้นี่แหละ
อีกอย่างคือ ทั้ง 2 คนโชคดีมากๆ เลยนะ ที่ขนาดเป็นผู้ติดต่อประเภท 4 ไปแล้ว ยังรอดมาได้โดยที่มีแค่ตาขวาสีฟ้า กับมือซ้ายโปร่งใสกันไปคนละส่วนเท่านั้นเอง เหยื่อรายอื่นๆ นี่…
นี่ก็ช่วยตอบคำถามให้จากเมื่อตอนไฟล์ 2 ตอนที่ 3 แล้วนะครับว่าทำไมโคซากุระถึงได้มีความรู้สึกระแวงผู้ติดต่อประเภท 4 ขนาดนั้น กับเรื่องที่ว่าเธอไม่มีวิธีการแก้หรอก เพราะเธอเองก็เคยเห็นกรณีที่เป็นหนักกว่าทั้งโทริโกะกับโซราโอะมาแล้ว ศึกษามาก็นานแล้วด้วย ยังไม่มีวิธีแก้เลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเริ่มรักษายังไง
สปอยไว้เลยนะครับว่า อนาคต เราจะยิ่งได้เจอผู้ติดต่อประเภท 4 ที่สภาพยับเยินมากกว่านี้อีกนะ
แล้วก็ แสดงความเห็นเพิ่มหลังจากที่ได้อ่าน “บทคั่น เพื่อนที่ทำงานกลางคืน” ในมังงะเล่ม 8 มานะครับ
พอได้อ่านในมุมของเจ๊โคซากุระซังแล้ว ยิ่งเห็นเลยครับว่าเจ๊เขารู้สึกผิดไม่หายเลยตั้งแต่ตอนที่ห้ามอุรุมะไม่ได้ จนทำให้เพื่อนคนสำคัญของตัวเองหายสาบสูญไป แต่ตัวเองก็ทำอะไรไม่ได้เลย พอมาคราวนี้ เจอเด็กจอมซน 2 คนชอบไปเทียวเข้าเทียวออกจากโลกเบื้องหลังไม่เลิก แถมดันกลายเป็นผู้ติดต่อประเภท 4 กันไปทั้งคู่อีก คงเรียกว่าเป็นความรับผิดชอบของคนเป็นผู้ใหญ่ก็ได้ล่ะมั้งครับ เพราะแบบนี้ โคซากุระถึงได้กังวลกับเรื่องเด็กๆ ทั้ง 2 คนขนาดนี้ เกิดหายสาบสูญไปแบบอุรุมะเข้าอีกคน เธอคงเสียใจหนักแน่ๆ
ก็เป็นห่วงแหละ แต่ชอบแสดงออกด้วยการโมโหใส่ แถมทุกครั้งเวลาเจอ 2 สาวเวียนมาหาที่บ้าน ถึงจะโกรธทุกครั้งที่ชอบสรรหาเอาแต่เรื่องกลับมาให้ตัวเอง แต่ก็โล่งอกทุกทีที่ได้เห็นว่าเด็กๆ ทั้ง 2 คนยังปลอดภัยกันอยู่ เหมือนเป็นคุณแม่ของทั้ง 2 สาวเลยเนอะ ^^