[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 67 ไฟล์ 8 : นกน้อยในกล่อง [5.1]
หลังจากออกมาจากชั้นพยาบาล รอบนี้ พวกเราก็ลงลิฟท์มา ไม่เหมือนกับอันสวยๆ ที่พวกเราเห็นตอนขาขึ้นนะ รอบนี้มันดูเหมือนลิฟท์ในตึกทำงานมากกว่า
หลังจากลงมาหลายชั้น เราก็มาถึงชั้นที่มีป้ายบอกว่า [ห้องวิจัย] พวกเราก็เดินมานิดๆ มาตามโถงทางเดินที่เปิดไฟสลัวๆ เหมือนเปิดให้แสงน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วคุณมิงิวะที่เดินนำทางพวกเรามาก็หยุดที่ห้องๆ นึง
“นี่คือห้องวิจัยของคุณอุรุมะครับ”
เขาบอกก่อนจะเปิดประตู กดสวิทช์บนกำแพง แล้วหลอดฟลูออเรสเซนต์ก็สว่างวาบขึ้น ส่องแสงสว่างไปทั่วทั้งห้อง
เป็นห้องเพดานสูงอยู่นะ แล้วก็ไม่มีหน้าต่างเลยซักบาน บนโต๊ะเขียนหนังสือตัวใหญ่ก็มีชั้นวางของโลหะที่มีหนังสือเรียงไว้เต็มล้อมรอบอยู่ มันมีของอยู่ทุกอย่างเลย ทั้งแผนที่ ทั้งหนังสือพิมพ์ที่ถูกตัดมาใบปลิวจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์และความร่วมมือปักเอาไว้กับกำแพง แล้วก็มีแผ่นโพสต์อิทแปะทั่วไปหมดกับเชือกที่ผูกเชื่อมหัวหมุดเข้าไว้ด้วยกัน
โทริโกะเดินเข้าไปในห้องด้วยขาสั่นๆ โดยไม่ได้พูดอะไรซักคำ ฉันเดินตามเธอเข้าไป และคุณโคซากุระที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉันก็มองดูตามชั้นหนังสืออยู่เงียบๆ
“ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ คุณโคซากุระ?”
“ยังไงเหรอ?”
“ที่นี่คือห้องของคุณซัทสึกิใช่มั้ยคะ? อึม…”
“อ้อ ฉันเคยมาที่นี่ก่อนหน้านี้หลายรอบแล้วล่ะ”
“อ้อ… ยังงี้นี่เอง”
“ทั้งตอนที่ซัทสึกิยังอยู่ที่นี่ ทั้งตอนหลังจากที่เธอหายตัวไปแล้วเลย ฉันก็เข้าใจความรู้สึกของโทริโกะอยู่นะ แต่มารื้อห้องนี้เอาป่านนี้ก็ไม่ช่วยให้ได้ร่องรอยอะไรขึ้นมาใหม่หรอก”
คุณโคซากุระพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มอย่างปลงๆ
ตอนที่โทริโกะไปที่โต๊ะ เธอก็เริ่มดึงลิ้นชักเปิดดู พลิกไปตามนิตยสารวิทยาศาสตร์ที่วางทิ้งเอาไว้อยู่ในนั้น แล้วก็ขยับตัวไปมาทั่วไปหมดอย่างกระสับกระส่าย ถ้าปล่อยเธอเอาไว้แบบนี้ล่ะก็ เธอคงรื้อห้องนี้มันทุกอย่างเหมือนตำรวจบุกเข้ามารื้อค้นหาหลักฐานนั่นแหละ
แล้วจู่ๆ เธอก็หยุดกึกไป พอโทริโกะหันกลับมาหาพวกเรา เธอก็ถือสมุดโน้ตปกหนังสีดำไซส์ B5 เล่มหนาเล่มนึงมาด้วย
“นี่อะไรเหรอ?”
“น่าจะเป็นสมุดบันทึกการวิจัยของคุณอุรุมะนะครับ”
ทันทีที่ได้ยินคำตอบจากคุณมิงิวะ โทริโกะก็ปลดเข็มกลัดออกแล้วเปิดสมุดทันที
แล้วเธอก็ตัวแข็งยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเลย
“เอ๊ะ…?”
“อะไรเหรอ?”
“อ่านไม่ออกเลยน่ะ…”
ฉันเหลือบไปมองด้วย แล้วก็ตกใจเหมือนกัน จริงด้วย―อ่านไม่ได้เลยซักนิดเดียว ตัวอักษรที่เขียนด้วยลายมือที่เรียงเป็นระเบียบพวกนั้นที่ฉันเห็นอยู่ตอนนี้เนี่ย เป็นชุดตัวอักษรที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
“คุณอุรุมะเหมือนจะแปรตัวอักษรในบันทึกการวิจัยทั้งหมดของเธอด้วยชุดตัวอักษรที่เธอพัฒนาขึ้นมาเองเลยนะครับ”
“ทำไมล่ะ?”
“อาจจะเพราะเธอห่วงเรื่องจะถูกคนอื่นขโมยผลการค้นคว้าของเธอไปก็ได้นะครับ หลังจากที่เธอหายตัวไป พวกเราก็พยายามถอดความดูแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จเลย”
“โคซากุระ! อ่านไม่ได้เลยเหรอ?”
โทริโกะหันไปถามทางโคซากุระบ้าง อีกฝ่ายก็การยักไหล่
“ถ้าฉันอ่านออก ฉันคงอ่านมันไปนานแล้วย่ะ ตั้งแต่ที่ซัทสึกิหายตัวไป เธอคิดว่าฉันเปิดโน้ตเล่มนั้นมาแล้วกี่ครั้งกันล่ะฮะ?”
คุณโคซากุระบอก เธอลดสายตาลงเหมือนกำลังย้อนนึกถึงเรื่องที่เจ็บปวดอยู่
“ฉันกระทั่งเคยคิดเข้าข้างตัวเองเลยนะว่าเธออาจจะทิ้งเบาะแสเอาไว้ แบบที่มีแค่ฉันคนเดียวที่จะเข้าใจได้ก็ได้ แต่ทั้งหมดนั่นมันก็แค่ความพยายามที่สูญเปล่าล่ะนะ โทษที แต่ฉันไม่รู้อะไรเรื่องนั้นเลย”
“…งั้นเหรอ”
โทริโกะทิ้งตัวลงนั่งอย่างห่อเหี่ยวที่เก้าอี้ตรงโต๊ะเขียนหนังสือ
“เธอไปอยู่ที่ไหนกันแน่นะ ซัทสึกิ?”
โทริโกะพึมพำแบบนั้นกับตัวเอง พลางลูบไปตามที่พักแขนอย่างเบามือ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังดูอะไรซักอย่างที่ไม่สมควรจะได้เห็นเลยแฮะ จนฉันเผลอเบือนสายตาหลบออกมาเลย
สภาพจิตใจของโทริโกะตอนนี้ กับลักษณะที่น่าสลดของผู้คนที่กลายเป็นผู้ติดต่อประเภท 4 ที่ฉันเพิ่งจะได้เห็นมา… พอถูกทั้ง 2 อย่างนั้นโถมเข้าใส่มาแบบติดๆ แบบนี้เนี่ย มันทำเอาฉันมาใกล้ขีดจำกัดแล้วล่ะ
“ไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ? ต้องขอโทษด้วยที่ผมพูดแบบนี้ แต่สีบนหน้าของคุณตอนนี้มันออกจะ…”
คุณมิงิวะพูดขึ้น พลางมองดูที่หน้าของฉันอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันไม่เป็นไร”
ฉันเช็ดเหงื่อออกจากคิ้ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปหาคุณมิงิวะ หลังจากอะไรที่เขาให้ฉันดูจากชั้นบนนั่น เขายังจะถามฉันอีกเหรอว่าฉันไม่เป็นไรหรือเปล่าน่ะ?
“คุณมิงิวะเองก็เป็นนักวิจัยที่นี่ด้วยเหรอคะ? แบบว่า ไม่รู้สิคะ ฉันรู้สึกเหมือนมันแทบจะไม่มีเจ้าหน้าที่เลย จนมองภาพออกยากเหมือนกันว่ามีห้องวิจัยที่ยังดำเนินการอยู่”
คุณมิงิวะพยักหน้าตอบอย่างง่ายๆ
“เป็นแบบที่คุณว่ามาเลยครับ หากให้เรียกง่ายๆ ผมเป็นเพียงคนดูแลอาคารนี้ก็ได้ครับ การประกอบธุรกิจศูนย์ประกันอุบัติเหตุที่เราดำเนินการนั้นก็เพื่อเป็นฉากหน้าหน่วยงานนี้ และเพื่อให้การระดมทุนสามารถทำได้อย่างราบรื่น และถ้าคุณลงไปชั้นที่อยู่ต่ำกว่านี้ คุณก็จะได้เห็นพนักงานมากขึ้นนะครับ แต่ ก็อย่างที่คุณสังเกตเห็นได้ ส่วนสำคัญที่เป็นห้องวิจัย ภายในชั้นมีแต่วี่แววของเครื่องปรับอากาศเท่านั้น”
“ที่นี่ถูกก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ช่วงปี ’90 แล้วใช่มั้ยคะ? สมัยนั้นเป็นยังไงบ้างเหรอคะ?”
“กลุ่มวิจัย DS นั้นแรกเริ่มเดิมทีแล้วเป็นกลุ่มคนที่ทำการศึกษาภายในโรงงานผลิตสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่เจ้าหนึ่งครับ กลุ่มนั้นที่เริ่มต้นด้วยเป้าหมายในการศึกษาชีววิทยาศาสตร์เพื่อยุคสมัยใหม่ ถกประเด็นกันในหัวข้อเรื่องของ ‘นิวเอจ’ และนอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องของชี่กง และพลังงานอิสระกิบส์ รวมทั้งการประยุกต์ใช้งานพวกมันอีกด้วยครับ”
TN: New Age คือคำที่ใช้กล่าวถึงกลุ่มความเชื่อทางศาสนาและจิตวิญญาณที่พัฒนาขึ้นในช่วงยุค ’70 โดยจะยึดหลัก Eclecticism (การเอาแนวคิดและการปฏิบัติของสายต่างๆ มาผสมผสาน ทั้งตะวันตกและตะวันออก เช่น โยคะ พุทธ เต๋า อี้จิง ฮวงจุ้ย เพแกน แนวคิดของสวีเดนเบอร์ก เมสเมอร์ ยูเอฟโอ ฯลฯ) โดยจะเลือกเอาแต่ที่ถูกจริต แล้วหลอมรวมขึ้นมาเป็นความเชื่อใหม่ ตั้งชื่อกลุ่มหรือแนวคิดของตน ลักษณะจะเป็นการขบถต่อแนวคิดเดิมที่เห็นว่าล้าสมั
ชาวนิวเอจ มักเรียกตัวเองว่า Seeker (ผู้แสวงหา) และเรียกวิถีของตนเองว่า Spiritual (จิตวิญญาณ)
氣功 (Qi Gong ชี่กง) ชี่ (氣) หมายถึง ลม ไอ พลัง หรือพลังชีวิตที่อยู่ภายในตัว ส่วนคำว่า กง (功) หมายถึงวิชา ฝีมือ ความสามารถที่ได้มาจากการฝึกฝน
ดังนั้น ชี่กงจึงหมายถึงพลังที่ได้มาจากการฝึกฝนโดยผ่านการบริหารร่างกาย บริหารลมหายใจ และบริหารจิต เพื่อให้เกิดสมดุลของพลังลมปราณเมื่อทุกส่วนสอดประสานกันจะทำให้เกิดสมดุลทั้งกายและใจ ชี่กงจึงได้ให้ความสำคัญกับการฝึกจิตและกายไปพร้อมๆกัน หากไม่มีการฝึกจิตร่วมด้วยแล้ว นั่นก็จะเป็นแค่การออกกำลังในแบบทั่วๆ ไปเท่านั้น
พลังงานอิสระกิบส์ (Gibbs Free Energy) เป็นทฤษฎีสมคบคิดของโจเซีย วิลลาร์ด กิบส์ กล่าวว่า เทคโนโลยีที่สามารถทำงานได้โดยไร้ซึ่งมลพิษและปราศจากการใช้งานพลังงานถูกทางภาครัฐปิดบังเอาไว้ อย่างเครื่องจักรนิรันดร์ (perpetual motion machines), เครื่องกำเนิดพลังงานโคลด์ฟิวชั่น, เครื่องกำเนิดพลังงานโดยยึดจากโทรัส, การทำวิศวกรรมย้อนกลับจากเทคโนโลยีต่างดาว, ระบบขับเคลื่อนต้านแรงโน้มถ่วง และอีกแหล่งพลังงานต้นทุนต่ำอีกหลายๆ อย่างที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ใดๆ
พวกคำพูดที่ทำให้ย้อนนึกถึงลัทธินี่มันทำให้ฉันคิ้วขมวดเลย ถ้าฉันไม่ได้เพิ่งจะเห็นเหยื่อจากโลกเบื้องหลังที่ชั้นบนมาเมื่อกี้ล่ะก็ ฉันคงจะตราหน้าพวกเขาเป็นพวกลัทธิมันซะตรงนี้ไปแล้วล่ะ
“มันอาจทำให้คุณตกใจนะครับสำหรับทุกวันนี้ แต่ ณ ตอนนั้น มีการเคลื่อนไหวที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว บ้างก็ถูกนำโดยคนของภาครัฐเลยด้วยซ้ำ แล้วไม่นานนัก ได้มีกลุ่มลัทธิกลุ่มหนึ่งได้ก่อเหตุก่อการร้ายครั้งใหญ่ขึ้น สร้างชื่อเสียร้ายแรงกับเรื่องลี้ลับนี้ กล่าวคือ การเคลื่อนไหวเหล่านี้ไม่อาจทำอย่างเปิดเผยต่อสาธารณะได้อีกต่อไป ทว่า ที่ยังอยู่รอดมาได้ ก็จะอยู่ในวงในของเครือบริษัทและกลุ่มนักการเมืองเท่านั้น อย่าง กลุ่มวิจัย DS เองก็อยู่รอดมาได้จากการสนับสนุนของสมาชิกรัฐสภาและเจ้าหน้าที่รัฐด้วยเช่นกัน และแล้ว วันหนึ่ง…”
คุณมิงิวะหันไปมาเหมือนกำลังนึกอะไรอยู่ แล้วก็พูดต่อ
“คุณคุ้นเคยกับคำว่า ‘อาโลกกสิณ’ หรือเปล่าครับ? มันคือแสงที่คุณจะมองเห็นได้เมื่อหลับตาลง เป็นคำที่มีต้นกำเนิดมาจากการฝึกเซียน (仙道 : Sendou) ซึ่งเป็นแขนงย่อยของศาสตร์การแปรธาตุภายใน กล่าวกันว่า จากการฝึกเสี่ยวโจวเทียน (小周天) ซ้ำไปซ้ำมา ก็จะปรากฏแสงขึ้นที่หลังหน้าผากของผู้นั้น และหากทำการเพ่งสมาธิไปที่จุดๆ นั้น คนคนนั้นก็จะสามารถเบิกเนตรที่ 3 ออกได้”
ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยแฮะ
“เรื่องนี้ มีการกล่าวถึงกันในศาสตร์โยคะเช่นกันครับ ในระหว่างการทำสมาธิ เราก็จะมองเห็นแสงสว่างได้มากขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นจักระไหนที่คนคนนั้นที่ได้เปิดออก สีของแสงก็จะเปลี่ยนไปตามจุดจักระนั้นครับ”
TN: อาโลกสิณ หรือในภาษาญี่ปุ่นคือ ทังโก (丹光 : Tankou) โดยกสิณคือวิธีการปฏิบัติสมาธิแบบหนึ่งในพระพุทธศาสนา มีความหมายว่า “เพ่งอารมณ์” การเพ่งกสิณ คือ อาการที่เราเพ่ง (อารมณ์) ไปยังวัตถุหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ได้หมายถึงเพ่งมองหรือจ้องมอง แล้วเรียนรู้-รับรู้ถึงสภาพ/คุณสมบัติเฉพาะของวัตถุ (ธาตุ) หรือสิ่งๆ นั้นไว้ จนกระทั่งเมื่อหลับตาลงจะปรากฏภาพนิมิต (นิมิตกสิณ) ของวัตถุหรือสิ่ง ๆ นั้นขึ้นมาให้เห็นในจิต หรือแม้กระทั่งยามลืมตาก็ยังสามารถมองเห็นภาพนิมิตกสิณดังกล่าวเป็นภาพติดตา
อาโลกสิณ (กสิณแสงสว่าง) คือการเพ่งจิตอยู่กับแสงสว่าง นึกถึงแสงสว่าง การเจริญอาโลกกสิณนั้นให้ผู้ปฏิบัติยึดโดยทำความรู้สึกถึงความสว่าง ไม่ใช่เพ่งที่สีของแสงนั้น เวลาหายใจเข้าให้ภาวนาว่า ‘อาโลก’ หายใจออกให้ภาวนาว่า ‘กสิณัง’
หากสนใจเรื่องของการเพ่งกสิณอื่นๆ อีก ลองสืบค้นดูนะครับ ^^ นี่ถือเป็นการปฏิบัติสมาธิภาวนาเพื่ออบรมจิต อันเป็นแนวทางแห่งการบรรลุสำเร็จมรรคผลนิพพานด้วยนะ
“เน่ยตัน” 內丹术 (พินอิน: nèidān shù) หรือการแปรธาตุภายใน เป็นศาสตร์ลัทธิเต๋าในการรวบรวมการจัดเก็บและการหมุนเวียนพลังงานของร่างกายมนุษย์ ในการแปรธาตุภายในจะทำให้ร่างกายของเรากลายเป็นเหมือนกับ ‘หม้อต้มยา’ ที่ทำการปลูกฝังสมบัติทั้ง 3 ของศาสตร์แพทย์แผนจีนอย่าง ‘แก่นแท้’ (精 : ชิง), ‘ลมปราณ’ (气 : ชี่) และ ‘จิตวิญญาณ’ (神 : เฉิน) โดยมีจุดประสงค์ในการพัฒนาสุขภาพกาย อารมณ์ และสุขภาพจิต และจุดประสงค์สูงสุดอย่างการฝึกจิตจนเป็นอมตะ และไปอยู่ในสรวงสวรรค์ ทำให้มองว่า การฝึกเน่ยตันก็เหมือนการปรุงยาอายุวัฒนะขึ้นภายในร่างกายนั่นเอง
小周天 (Shiyoushuuten) หรือในภาษาจีนจะอ่านว่า “เสี่ยวโจวเทียน” เป็นการนั่งสมาธิชั้นสูงแบบเต๋า เพื่อเพิ่ม “หยวนชี่” หรือพลังต้นกำเนิดชีวิตให้แก่ตนเอง โดยมีจุดมุ่งหมาย [ฝึกสารจำเป็นให้เปลี่ยนเป็นพลังชี่ ฝึกชี่ให้เปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณ ฝึกจิตวิญญาณคืนสู่ความว่าง ฝึกความว่าง ผลคือ มีอายุยืนยาวโดยไม่แก่ชรา]
จักระ เป็นคำจากภาษาสันสกฤต หมายถึงศูนย์รวมกายทิพย์ ศูนย์รวมของพลังงานภายในร่างกายของมนุษย์อันละเอียดอ่อนที่โดยทั่วไปแล้วจะไม่สามารถสัมผัสได้ โยคีเชื่อว่าจักระที่สำคัญของมนุษย์เรานั้นมีอยู่ด้วยกัน 7 ตำแหน่ง ทำหน้าที่ดูแลและควบคุมการทำงานของอวัยวะส่วนต่างๆ ภายในร่างกายของคนเราให้ทำงานเป็นปกติ
“โห ก็ ฟังดูเหมือนเรื่องปาหี่ไร้สาระทั้งนั้นเลยนะคะ”
ฉันหน้านิ่วขมวดคิ้ว แต่คุณโคซากุระกลับส่ายหน้าตอบ
“เธอสามารถเห็นมันได้จริงๆ นะ ถ้าเกิดเราปล่อยมนุษย์เอาไว้ในความมืด สมองก็จะเริ่มสร้างแสงปลอมที่มันไม่มีอยู่จริงขึ้นมา ถ้าเกิดว่าเราพยายามจะมองไปที่หลังเปลือกตาในที่มืดล่ะก็ เราก็จะรู้ได้ในอีกไม่ช้าเลยว่ามันมืดสนิทจริงๆ หรือเปล่า”
“โห จริงเหรอเนี่ย? เดี๋ยวฉันลองดูบ้างดีกว่า”
โทริโกะร้องขึ้นมาอย่างประทับใจ แล้วคุณโคซากุระก็เยาะเย้ยขึ้นมา
“อย่าเชียว การพยายามไปยุ่งกับเรื่องลี้ลับด้วยตัวเองก็เป็นเหมือนทางลัดตัดตรงไปปั่นป่วนกับระบบประสาทอัตโนมัติของเธอเองนั่นแหละ โดยเฉพาะคนแบบพวกเธอ 2 คน ที่สัมผัสด้านความสมดุลทางจิตหายไปไม่เหลือแล้วเนี่ย ไม่ช้าก็เร็ว พวกเธอได้สติแตก เป็นบ้ากันไปแน่ๆ”
ฉันกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะก้มลงไปหาคุณโคซากุระ
“อันนี้ข้อเท็จจริงเลยใช่มั้ยคะ?”
“ตอนที่มนุษย์มองเห็นอะไรซักอย่าง นั่นเป็นผลลัพธ์จากข้อมูลที่ถูกนำเข้ามาจากอวัยวะรับสิ่งเร้า ป้อนเข้าสู่กระบวนการประมวลผลการมองเห็นในสมอง ถ้าเกิดเราเข้าไปแทรกแซงกระบวนการนั้นระหว่างทางล่ะก็ มันก็เป็นไปได้ที่จะสามารถมองเห็นภาพลวงตาได้โดยเจตนา พอมาเป็นเรื่องของการเพ่งกสิณแสงสว่าง ซึ่งมันก็ไม่ใช่แม้กระทั่งภาพที่เป็นรูปธรรมด้วยซ้ำ―มันเป็นแค่แสงเท่านั้นเอง แต่ก็ไม่ใช่กระบวนการที่เราจะทำได้โดยจงใจอย่างเป็นปกติวิสัยหรอกนะ เพราะงั้น ถ้าเกิดเธอพยายามจะทำแบบนั้นล่ะก็ มันสามารถทำให้สภาพจิตของเธอผิดปกติไปได้เลย”
“นั่นเป็นเหมือนกับการพยายามตั้งใจจะหายใจ แล้วนั่นทำให้ทำได้ยากกว่าเดิมหรือเปล่าคะ?”
“เหมือนกับตอนที่คิดว่าจะผ้าห่มเอาไว้บนคางหรือใต้คางดีจนไม่ได้นอนเลยน่ะเหรอ?”
คุณโคซากุระพยักหน้าให้กับการอุปมาอุปไมยของฉันกับโทริโกะนิดหน่อย ก่อนจะพูดต่อ
“เพราะงั้น การจะเห็นแสงจากกสิณแสงสว่างน่ะมันเป็นเรื่องง่ายๆ เลย เป็นประสบการณ์ที่ทุกคนสามารถพบเจอได้ พวกกลุ่มลี้ลับสมัยใหม่ก็เลยจะใช้มันเป็นเหมือนใบเบิกทาง ผสมผสานกับการแปรธาตุภายในและศาสตร์โยคะ เท่านี้ก็สามารถทำเงินทำธุรกิจกับเรื่องนี้ได้แล้ว ตามปกติ มันจะเป็นแบบแผนที่ใช้ในการประชุมแบบสัมมนา สถานที่ที่สามารถแสดงให้ผู้คนได้เจอกับประสบการณ์ที่น่าพิศวงนิดๆ หน่อยๆ จากนั้นก็สูบเอาเงินมาจากคนพวกนั้น แต่ก็มีกรณีที่มันนำไปสู่จุดเริ่มต้นการก่อตั้งเป็นลัทธิอันตรายได้เลยด้วยนะ…”
คุณโคซากุระเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะมองมาที่ฉัน แล้วก็มองไปทางโทริโกะต่อ
“โซราโอะจังน่าจะไม่ตกหลุมเรื่องแบบนี้อยู่แล้วล่ะนะ แต่เธอน่ะ โทริโกะ อย่าไปแตะเรื่องพวกนั้นเชียว คนใจอ่อนแอไม่มั่นคงอย่างเธอเนี่ย ไปเจอประสบการณ์เรื่องลี้ลับครั้งเดียว ก็คงโดนกลืนเข้าลัทธิได้แล้ว”
“เฮ้ จะไม่ใจร้ายกันเกินไปหน่อยเหรอ? ฉันเป็นพวกไม่มั่นคงขนาดนั้นเลยหรือไงเล่า?”
โทริโกะร้องประท้วงขึ้นมา
“เธอเป็นพวกอ่อนไหวง่ายจะตาย แถมยังพร้อมจะกระดิกหางดิ๊กๆ ตามใครก็ตามที่เธอชอบใจไปได้ทุกที่เลยด้วย ไม่ใช่ว่าทุกคนในโลกจะใจดีกับเธอเหมือนอย่างฉันหรอกนะ”
การประเมินอย่างรุนแรงของคุณโคซากุระทำให้โทริโกะจิกริมฝีปากเลย
“ฉันไม่ตามคนไปง่ายขนาดนั้นหรอกน่า ฉันเลือกคนดีแล้วหรอก”
“จะจริงเร้อ? เนอะ โซราโอะจัง?”
“ค- ค่ะ…”
ฉันตอบเธอกลับไปแบบยังใจลอยอยู่ ก็แบบว่า ฉันโดนภาพโทริโกะแกว่งหางไปมาเหมือนหมากวนสมาธิอยู่ล่ะนะ
ระหว่างที่ฉันพยายามทำให้ตัวเองใจเย็นลง คุณมิงิวะก็พูดขึ้นอีกรอบนึง
“ผมเองก็ไม่แนะนำเหมือนกันนะครับ ที่ชั้นบนตรงนั้น มีคนที่มีอาการถูกพาเข้ามาจากการทำแบบนั้นเหมือนกัน อันที่จริง ก็คืออาโลกสิณนี่แหละครับที่นำพา กลุ่มวิจัย DS ให้ค้นพบกับอีกโลกหนึ่งตั้งแต่แรกเลย”
จากที่คุณมิงิวะบอก นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้น: ที่ กลุ่มวิจัย DS จากการใช้โยคะ การฝึกเซียน และการฝึกสมาธิ พวกเขาหวังจะทำการ [บริหารจิต] ให้ได้ ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันหมายความว่ายังไง แต่… พวกเขาเริ่มต้นเรื่องของการเข้าฌาณ และค่อยๆ เปลี่ยนจากรหัสยนิยมเข้าสู่หนทางการเป็นลัทธิงมงาย
TN: รหัสยลัทธิ / ลัทธิรหัสยนิยม (Mysticism) คือลัทธิ/ความเชื่อที่ว่ามีรหัสยภาวะ (mystery) เป็นภาวะความจริงหรือคุณค่าบางอย่างซึ่งบุคคลจะรู้ได้ด้วยการใช้ความสามารถพิเศษเหนือกว่าการรับรู้โดยทั่วไปของมนุษย์ เช่น การเข้าฌาน การเข้าถึงพระเจ้า เป็นต้น กล่าวคือ เชื่อว่ามีสิ่งที่อยู่เหนือการรับรู้ของมนุษย์อยู่จริง
แต่ว่า ระหว่างนั้น บางสิ่งที่แปลกประหลาดมันก็เกิดขึ้น สมาชิกที่ทำสมาธิก็เริ่มมองเห็นภาพแปลกประหลาดภายในแสงจากอาโลกสิณของพวกเขา
ทุ่งที่เต็มไปด้วยหญ้าแห้ง ซากตึกอาคารที่ไม่รู้ว่าออกแบบขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์อะไร ป่าทึบมืดดำ ชายหาดทรายขาว
ในภาพที่เป็นเหมือนกับบรรยากาศโลกหลังอารยธรรมล่มสลายนั้นน่ะ ไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว
จำนวนคนที่ได้เจอกับประสบการณ์คล้ายๆ กันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และในไม่ช้า ก็มีคนเข้าไปสู่แสงนั่น
แสงจากอาโลกสิณที่พวกเขาเห็นจากเหตุการณ์เหล่านั้น มันเป็นสีน้ำเงินเข้มเป็นพิเศษ เพราะอย่างนั้น โลกแห่งนั้นจึงได้ถูกเรียกว่า ทิวทัศน์แสงเหนือฟ้า―UBL