[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 68 ไฟล์ 8 : นกน้อยในกล่อง [5.2]
“…เพราะงั้นสินะ ซัทสึกิถึงได้บอกว่าแสงสีฟ้ามันอันตราย”
โทริโกะพึมพำกับตัวเอง
“แต่ว่า ทำไมถึงเป็นสีฟ้าล่ะ? เธอบอกว่าแสงที่เธอมองเห็นน่ะเป็นสีเงินนี่นา เนอะ โซราโอะ?”
ฉันพยักหน้าตอบไปอย่างเงียบๆ ถ้าเกิดฉันนึกย้อนถึงเรื่องสถานการณ์ที่พวกเราไปเผชิญกับแสงสีฟ้านั่น มันก็อันตรายทั้งนั้นเลย เหมือนอย่างตอนที่ผู้หญิงกังหนหลอกพวกเราเข้าไปในห้องที่มีต้นแบบมาจากอพาร์ตเม้นของโทริโกะ หรือที่ชายหาดเมื่อไม่นานนี้เอง
ดูเหมือนจะเป็นที่แน่นอนแล้วล่ะว่าแสงสีฟ้าจะแสดงถึงบริเวณที่ [ลึก] ของโลกเบื้องหลัง ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นล่ะก็ ถ้าพวกมันลอดผ่านแสงสีฟ้าจากอาโลกสิณมาได้ แสดงว่าพวกเขาติดต่อกับที่นั่นโดยตรงเลยงั้นเหรอ…?
“ผมบอกว่าในศาสตร์โยคะนั้น สีของแสงจากอาโลกสิณจะเปลี่ยนไปตามจุดจักระที่สามารถเปิดได้ ในระบบแบบนั้น จุดจักระที่ 5 ที่ลำคอนั้นจะเป็นสีฟ้า และจุดจักระที่ 6 ที่หน้าผากนั้นจะเป็นสีคราม อาจจะเป็นเรื่องที่ว่ากระบวนการแบบดั้งเดิมอย่างการเข้าฌาณนี้เอง รวมทั้งหนทางการติดต่อกับอีกโลกหนึ่ง―นั่นคือสิ่งที่กลุ่มวิจัย DS เริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ได้ ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรมหรือหนังสือใดๆ ที่พวกเราศึกษา ก็ไม่มีอะไรใกล้เคียงกับทุ่งหญ้าแปลกประหลาดเช่นนั้นเลย แต่ก็ไม่ได้มีใครใส่ใจถึงเรื่องนั้น ทุกคนต่างหมกมุ่นอยู่กับโลกที่พวกเราค้นพบและไม่รู้อะไรเลยกันหมด”
น้ำเสียงที่แสดงถึงลางสังหรณ์ไม่ดีเริ่มคืบคลานเข้ามาในเสียงของคุณมิงิวะแล้ว
“การออกสำรวจไปยังอีกโลกหนึ่งจึงได้เริ่มขึ้น และแม้แต่การนำสิ่งของจากอีกฟากกลับมาด้วยก็ยังเป็นไปได้ ทำให้เหล่านักวิจัยต่างเชื่อว่าพวกเขาสามารถแปรเปลี่ยนจิตวิญญาณเป็นรูปธรรมได้สำเร็จ และยินดีกันเป็นอย่างมากกับการค้นพบสิ่งของเหล่านั้นที่ลักษณะของมันไม่สามารถใช้วิทยาศาสตร์มาอธิบายได้ แต่ทว่า…”
ความยินดีนั้นของพวกเขาก็อยู่ได้ไม่นาน กลุ่มคนที่ติดต่อกับ UBL เริ่มมีอาการภาวะความผิดปกติทางจิตขึ้น มีภาวะจิตวิปลาสแพร่กระจายออกไปอย่างต่อเนื่อง เหตุหายสาบสูญเองก็เหมือนกัน
และที่สำคัญที่สุด มีคนที่เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพอย่างรุนแรงเกิดขึ้นด้วย
“คนจำนวนมากได้เสียชีวิตไป และผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่เองก็ไม่อยู่ในสภาพที่สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อีกเลยอย่างได้เห็นแล้วเมื่อครู่นี้ ตั้งแต่นั้นมา กลุ่มวิจัย DS ก็ได้ให้การดูแลเหยื่อจาก UBL เป็นงานหลักของพวกเรา และยังคงพออยู่ได้ด้วยเป้าหมายที่จะค้นหาเบาะแสหนทางการรักษาให้กับพวกเขาด้วย”
“รักษา? คุณคิดว่ายังรักษาพวกเขาในสภาพแบบนั้นให้หายได้งั้นเหรอคะ…?”
ฉันพูดออกไปโดยที่ไม่ทันคิด แล้วก็อาจจะพูดได้แบบตายด้านไร้ความรู้สึกด้วย ตอนที่ฉันรู้สึกตัว ฉันก็รีบเอามือขึ้นมาปิดปาก แต่คุณมิงิวะก็ตอบกลับมาโดยไม่ได้สะดุ้งสะเทือนอะไรเลย
“ว่ากันตามตรง พวกเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำ แม้กระทั่งว่าจะเริ่มรักษาพวกเขาจากตรงไหนก่อน เพราะอย่างนั้น ในแง่การปฏิบัติแล้ว ที่พวกเราพอจะทำได้มากที่สุดนั้นก็คือสิ่งที่ใกล้เคียงกับการรักษาแบบประคับประคอง บรรเทาความเจ็บปวดเท่านั้น… ไม่สิ มีหลายกรณีเลยครับที่แม้แต่เรื่องนั้นก็ไม่อาจทำได้ นั่นก็เพราะมีผู้ป่วยไม่น้อยเลยที่อยู่ในสภาพที่พวกเราไม่สามารถบอกได้ว่าพวกเขากำลังทรมานอยู่หรือเปล่าด้วย แต่ว่า แม้จะเป็นแบบนั้น ด้วยความเชื่อที่ว่าการวิจัยเรื่องอีกโลกหนึ่งและสิ่งของที่มาจากที่นั่น ในอนาคต ก็อาจมีประโยชน์กับเราก็เป็นได้ กลุ่มวิจัย DS จึงยังคงเดินหน้าทำงานอยู่จนถึงตอนนี้ครับ”
ความหวาดระแวงก่อนหน้านี้ของฉันจางหายไปแล้ว แล้วฉันก็ถูกเรื่องเล่าของเขาโน้มน้าวใจไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ถ้าเกิดเรื่องที่คุณมิงิวะเล่ามาเป็นความจริงล่ะก็ แสดงว่าพวกเขาเข้าไปที่โลกเบื้องหลังด้วยวิธีการอื่นที่ต่างจากที่พวกเราใช้ แต่ดูเหมือนผลลัพธ์ของมันจะน่ากลัวสุดๆ ไปเลย
“แล้วซัทสึกิมีหน้าที่อะไรเหรอ?”
“คุณซัทสึกิได้ติดต่อเข้ามาหากลุ่มวิจัย DS ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้วครับ เธอบอกว่ามีหนทางที่ปลอดภัยกว่าในการเดินทางไปหรือกลับมาจากอีกโลกหนึ่ง และยังนำ UBL อาร์ติแฟกต์กลับมาได้จริงอีกด้วย ฉะนั้น พวกเราจึงได้เตรียมโต๊ะเอาไว้ให้เธอที่นี่ในฐานะนักวิจัยคนหนึ่ง แต่ว่า การวิจัยอาร์ติแฟกต์มากมายที่เธอนำกลับมาที่คลังเก็บของของพวกเรานั้นกลับไม่ได้คืบหน้าไปเท่าไหร่เลย”
“อยากรู้จังว่าเธอไปเจอวิธีเข้าโลกเบื้องหลังได้ยังไง โคซากุระรู้หรือเปล่า?”
“ไม่รู้สิ ตอนที่เธอไปลากฉันมาเอี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย ซัทสึกิก็ทำงานกับกลุ่มวิจัย DS อยู่แล้ว แต่เธอก็ใช้วิธีการค้นหาประตูทางเข้าไปที่โลกเบื้องหลังที่มันดูจับต้องได้มากกว่าเยอะเลยนะ แล้วก็ในหลากหลายสถานที่ด้วย ไม่ได้ใช้วิธีการทางจิตอะไรเลย”
“นั่นสินะครับ วิธีการเข้าถึงของเธอแตกต่างจากวิธีการของพวกเราอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนเธอจะใช้สถานที่ที่มีเหตุแปลกประหลาดเหนือธรรมชาติเกิดขึ้น หรืออาคารที่มีแนวโน้มจะเกิดอุบัติเหตุเป็นวิธีการในการเข้าสู่อีกโลกหนึ่ง เธอบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีตัวตนหรืออาร์ติแฟกต์จากอีกโลกหนึ่งเล็ดลอดเข้ามาที่โลกฝั่งนี้ได้ในสถานที่แบบนั้นอยู่บ่อยครั้ง”
ดูต่างจากวิธีของฉันไปนิดหน่อยแฮะ ตอนนั้นฉันไปเจอประตูเข้าสู่โลกเบื้องหลังระหว่างที่สำรวจซากตึกร้างอยู่เหมือนกัน ดูท่ามันอาจจะมีประตูทางเข้าไปที่โลกเบื้องหลังมากกว่าที่ฉันคิดซะอีกนะเนี่ย
“ผมจะขอเพิ่มเติมหน่อยนะครับ เธอเองก็ได้สรรหาคนที่มีแววที่สามารถช่วยเหลือในการขยายการสำรวจให้กับเธอได้มาหลายคนทีเดียว ท่านนิชินะเองก็เป็นหนึ่งในนั้นสินะครับ?”
พอคุณมิงิวะพูดมาแบบนั้น โทริโกะก็เงยหน้าขึ้นมาทันทีเลย
“หนึ่งในนั้น?”
“ครับ เท่าที่ผมจำได้ เธอเคยบอกผมว่ามีเด็กๆ ที่เธอกำลังจับตามองอย่างสนใจอยู่จำนวนหนึ่งเลย”
“…”
โทริโกะพูดอะไรไม่ออกเลย
มีคนอื่นอีกงั้นเหรอ? คุณซัทสึกิมีตัวเบี้ยมากกว่าแค่โทริโกะกับคาราเทก้าอีกเหรอเนี่ย?
ฉันตัดสินใจว่าจะไม่ใส่ใจมันทุกอย่างเลยถ้ามันเกี่ยวอะไรกับคุณซัทสึกิ แต่พอเห็นโทนิโกะหดหู่ขนาดนี้แล้วเนี่ย มันก็ทำให้การติดสินใจของฉันเขว้ไปนิดนึงเหมือนกัน
อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ โทริโกะ
ลืมๆ ยัยผู้หญิงพรรค์นั้นไปเถอะน่า
ฉันทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว ก็เลยกำลังจะพูดอะไรซักอย่างกับเธอซักหน่อย ตอนนั้นแหละที่อยู่ๆ โทริโกะก็หันขวับมามองที่ฉันเหมือนกับว่ามีไอเดียอะไรซักอย่างผุดขึ้นมาพอดี
“…จริงสิ โซราโอะ เธอลองช่วยฉันอ่านโน้ตพวกนี้ให้ฉันหน่อยได้มั้ย?”
“หา?”
พูดเรื่องอะไรของยัยนี่ล่ะเนี่ย? เธอก็ต้องรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไงว่าฉันอ่านมันไม่ออกอยู่แล้วน่ะ
ฉันงงไปหมดแล้ว แต่โทริโกะก็โน้มตัวเข้ามาให้ฉัน
“เธอลืมเรื่องตาขวาของตัวเองไปแล้วเหรอ?”
“…”
“ตัวอักษรที่เขียนทางฝั่งนี้ก็จะเพี้ยนไปจนเละเทะเลยใช่มั้ยล่ะเวลาเอามันเข้าไปที่อีกโลกนึง? แต่มันก็มีตัวอักษรที่เราอ่านออกที่ฝั่งนั้นด้วยเหมือนกันนี่นา? เธอคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นล่ะถ้าเกิดเราเอาตัวอักษรพวกนั้นกลับมาที่ฝั่งนี้น่ะ?”
“ไม่-… เดี๋ยวก่อนนะ เธอกำลังจะบอกว่าเจ้านี่ก็คือของแบบนั้นน่ะเหรอ?”
ฉันก้มลงไปมองที่สมุดโน้ตปกหนังสีดำที่โทริโกะถืออยู่
“ไม่รู้สิ แต่มันก็เป็นเรื่องที่เราลองทำดูได้ใช่มั้ยล่ะ? คิดว่ายังไงล่ะถ้าเกิดชุดตัวอักษรพวกนี้ ซัทสึกิไม่ได้สร้างมันขึ้นมาหรอก แต่มันเป็นเพราะเจ้านี่มาจากโลกเบื้องหลังต่างหาก?”
รู้ตัวอีกที ก็ไม่ใช่แค่โทริโกะคนเดียวแล้ว: คุณโคซากุระกับคุณมิงิวะก็จ้องมาที่ฉันเหมือนกัน
“จะว่าไปแล้ว ถ้าใช้ตาของโซราโอะจัง พวกเราก็อาจจะอ่านมันออกก็ได้สินะ?”
“ก็แค่ไอเดียที่ผุดขึ้นในหัวพอดีเท่านั้นเอง”
“เป็นความคิดที่น่าสนใจมากเลยครับ แต่นั่นก็หมายความว่ามีความรู้ทางด้านภาษาของอีกโลกหนึ่งด้วยอย่างนั้นเหรอครับ?”
ฉันผงะไปช้าๆ ในขณะที่คุณโคซากุระกับคุณมิงิวะจ้องมาทางฉัน แล้วโทริโกะก็ลุกขึ้น เดินตรงเข้ามาหาด้วย
“โซราโอะ ขอร้องล่ะนะ”
ฉันเบือนสายตาหนี ทนสายตาวิงวอนอย่างเข้าตาจนของเธอไม่ไหวเลยเนี่ย ให้ตายเถอะ
“…โอเค เข้าใจแล้ว”
ฉันคว้าสมุดโน้ตเล่มที่เธอขอมา ปกหนังสีดำนั่นถูกนิ้วของฉันหนีบเอาไว้เรียบร้อย
ถ้าเกิดมันไม่ได้ผลล่ะก็ อย่ามาโทษว่าเป็นความผิดของฉันเชียวล่ะ กลับกันเลย ฉันกลัวว่าตัวเองจะทำให้โทริโกะผิดหวังมากกว่า แล้วนั่นมันก็ทำให้ฉันกลุ้มใจเลย
“อย่างน้อยก็ จะลองดูแล้วกัน…”
ฉันบอกเอาไว้ ก่อนที่จะปลดกระดุมที่ยึดสมุดเอาไว้ออก ฉันเปิดไปตรงหน้าที่มีเชือกคั่นหนังสือเอาไว้ สูดหายใจเข้าลึก แล้วก็เพ่งสมาธิไปที่ตาข้างขวา จ้องไปที่ตัวอักษรที่อ่านไม่เข้าใจที่เรียงรายอยู่นั่น
“…โอ๊ะ”
ตัวอักษร―มันเปลี่ยนไปแล้ว
ในสายตาของฉัน พวกตัวอักษรมันจะเบลอๆ แล้วก็กลายเป็นรอยขีดเขียนไปตามหน้ากระดาษ ก่อนจะเรียงตัวใหม่เป็นรูปร่างอื่นไป
“เป็นไงบ้าง โซราโอะ?”
“…เริ่มค่อยๆ มาอยู่ในจุดที่ฉันอ่านออกแล้วล่ะ”
“จริงเหรอ?”
คุณโคซากุระร้องขึ้นมา คุณมิงิวะก็โน้มตัวเข้ามาหาเหมือนกัน
พอรูปร่างของตัวอักษรเปลี่ยนไป ความหมายที่มันซ่อนเอาไว้ก็ถูกเผยออกมา
“ว่าไงบ้าง? มันเขียนว่าไว้ว่ายังไงเหรอ บอกพวกเราหน่อยสิ”
เสียงรบเร้าของโทริโกะเข้ามากวนสมาธิของฉันจริงๆ เลย ถึงฉันอยากจะบอกให้เธอเงียบซักทีก่อนก็เถอะ แต่ฉันก็พยายามอ่านตัวอักษรพวกนั้นออกมาตามที่มันเขียนเอาไว้
“มันเขียนว่า…
圜圜圜圜圜圜圜圜圜圜圜圜圜圜圜圜圜
圜圖圖圖圖圖圖圀圖圀圖圖圖圖圖圖圜
圜圖囿國國國國國圀國國國國國囿圖圜
圜圖國囿圈圈圈圈圀圈圈圈圈囿國圖圜
圜圖國圈圄圄圄図図図圄圄圄圈國圖圜
圜圖國圈圄困困困図困困困圄圈國圖圜
圜圖國圈圄困固固固固固困圄圈國圖圜
圜圖囹圈圄困固囮因囮固困圄圈囹圖圜
圜圖國囹圄困因囲囲囲因困圄囹國圖圜
圜圃國圈図困囲因回因囲困図圈國圃圜
圜圃圃圈図図囲回囚回囲図図圈圃圃圜
圜圃國圈図困囲因回因囲困図圈國圃圜
圜圖國囹圄困因囲囲囲因困圄囹國圖圜
圜圖囹圈圄困固囮因囮固困圄圈囹圖圜
圜圖國圈圄困固固固固固困圄圈國圖圜
圜圖國圈圄困困困図困困困圄圈國圖圜
圜圖國圈圄圄圄図図図圄圄圄圈國圖圜
圜圖國囿圈圈圈圈圀圈圈圈圈囿國圖圜
圜圖囿國國國國國圀國國國國國囿圖圜
圜圖圖圖圖圖圖圀圖圀圖圖圖圖圖圖圜
圜圜圜圜圜圜圜圜圜圜圜圜圜圜圜圜圜”
TN: นี่อาจเป็นวิธีอ่านแบบนึงนะครับ
“เซน เซน เซน เซน เซน เซน เซน เซน เซน เซน เซน เซน เซน เซน เซน เซน เซน
เซน โทะ โทะ โทะ โทะ โทะ โทะ โคะคุ โทะ โคะคุ โทะ โทะ โทะ โทะ โทะ โทะ เซน
เซน โทะ ยู โคะคุ โคะคุ โคะคุ โคะคุ โคะคุ โคะคุ โคะคุ โคะคุ โคะคุ โคะคุ โคะคุ ยู โทะ เซน
เซน โทะ โคะคุ ยู กอน กอน กอน กอน โคะคุ กอน กอน กอน กอน ยู โคะคุ โทะ เซน
เซน โทะ โคะคุ กอน เกียว เกียว เกียว สึ สึ สึ เกียว เกียว เกียว กอน โคะคุ โทะ เซน
เซน โทะ โคะคุ กอน เกียว คอน คอน คอน สึ คอน คอน คอน เกียว กอน โคะคุ โทะ เซน
เซน โทะ โคะคุ กอน เกียว คอน โคะ โคะ โคะ โคะ โคะ คอน เกียว กอน โคะคุ โทะ เซน
เซน โทะ เระ กอน เกียว คอน โคะ ยู อิน ยู โคะ คอน เกียว กอน เระ โทะ เซน
เซน โทะ โคะคุ เระ เกียว คอน อิน โท โท โท อิน คอน เกียว เระ โคะคุ โทะ เซน
เซน โฮะ โคะคุ กอน สึ คอน โท อิน ไค อิน โท คอน สึ กอน โคะคุ โฮะ เซน
เซน โฮะ โฮะ กอน สึ สึ โท ไค โท จุ โท สึ สึ กอน โฮะ โฮะ เซน
เซน โฮะ โคะคุ กอน สึ คอน โท อิน ไค อิน โท คอน สึ กอน โคะคุ โฮะ เซน
เซน โทะ โคะคุ เระ เกียว คอน อิน โท โท โท อิน คอน เกียว เระ โคะคุ โทะ เซน
เซน โทะ เระ กอน เกียว คอน โคะ ยู อิน ยู โคะ คอน เกียว กอน เระ โทะ เซน
เซน โทะ โคะคุ กอน เกียว คอน โคะ โคะ โคะ โคะ โคะ คอน เกียว กอน โคะคุ โทะ เซน
เซน โทะ โคะคุ กอน เกียว คอน คอน คอน สึ คอน คอน คอน เกียว กอน โคะคุ โทะ เซน
เซน โทะ โคะคุ กอน เกียว เกียว เกียว สึ สึ สึ เกียว เกียว เกียว กอน โคะคุ โทะ เซน
เซน โทะ โคะคุ ยู กอน กอน กอน กอน โคะคุ กอน กอน กอน กอน ยู โคะคุ โทะ เซน
เซน โทะ ยู โคะคุ โคะคุ โคะคุ โคะคุ โคะคุ โคะคุ โคะคุ โคะคุ โคะคุ โคะคุ โคะคุ ยู โทะ เซน
เซน โทะ โทะ โทะ โทะ โทะ โทะ โคะคุ โทะ โคะคุ โทะ โทะ โทะ โทะ โทะ โทะ เซน
เซน เซน เซน เซน เซน เซน เซน เซน เซน เซน เซน เซน เซน เซน เซน เซน เซน”
พอฉันเงยหน้าขึ้นมาจากสมุด ทั้ง 3 คนก็จ้องมาหาฉันด้วยสีหน้าตกใจกันจนอึ้งไปเลย
ฉันเห็นแบบนั้นก็ยกมือขึ้นมาปิดปาก
“ฉันเพิ่งพูดอะไรไปน่ะ?”
ฉันถามออกไปช้าๆ
แล้วจู่ๆ ก็มีแสงสว่างวาบเข้ามาในห้อง
แสงสว่างจ้านั่น เหมือนกับฟ้าแลบที่ไม่มีเสียงฟ้าร้อง แวบขึ้นมาเป็นสีฟ้า ฉันหลับตาปี๋โดยอัตโนมัติ แล้วภาพติดตาสีเหลืองที่ยังค้างอยู่ในตาก็ติดไปจนถึงหลังเปลือกตาเลย
ตอนที่ฉันลืมตาขึ้นมาอีกรอบอย่างลังเล ขนทั้งตัวก็ลุกชูขึ้นมาเลย
ในห้องนี้ มีร่างของมนุษย์เพิ่มขึ้นมาอีกคนนึง ผู้หญิงตัวสูง ผมสีดำ สวมชุดสีดำ
อุรุมะ ซัทสึกิ
ผู้หญิงที่ทุกคนนอกจากฉันพยายามตามหาตัวอยู่ กำลังลอยอยู่ในอากาศ อยู่ข้างหลังโทริโกะแล้ว