[นิยายแปล] ร้านป้ายแดงของสาวนักแปรธาตุมือใหม่ - ตอนที่ 18 ได้ฤกษ์เปิดร้าน!
“ในที่สุด ร้านก็ เปิดได้แล้ว!”
ว่าแล้วเชียว งานฝีมือของคุณเกเบิร์กเร็วมากจริงๆ ด้วย ใช้เวลาทำรั้วอยู่วันครึ่ง แล้ววันถัดมา ป้ายร้านก็เสร็จ จากนั้น เขาก็เอามาติดให้ในตอนเช้าเลย
ฉันนึกว่ามันเป็นแค่การทำป้ายแบบเดิมอีกรอบนึง แต่ป้ายใหม่ที่เป็นแบบติดบนกำแพงแบบนี้ก็ให้บรรยากาศต่างจากเดิมไปเยอะ ให้ความรู้สึกสบายๆ น่ารักๆ ดีจัง
ว่าตามตรง มันดีจนเชื่อยากเลยว่าคุณเกเบิร์กเป็นคนทำเลยน่ะ!
ถึงดูเหมือนว่าป้ายร้านอันเก่าจะถูกเอาไปใช้เป็นวัตถุดิบด้วย แต่จะเรียกว่าเป็นงานใหม่กิ๊กเลยน่าจะดีกว่ามั้ง?
ถ้าเดินผ่านประตูที่มีป้ายนี้อยู่ ก็จะเห็นชั้นที่มีสินค้าวางเรียงรายอยู่เต็มเลย ถึงตอนนี้มันจะยังว่างอยู่ก็เถอะ หน้าต่าง 3 บานที่ตกแต่งด้วยผ้าม่านสีฟ้า ก็ช่วยให้บรรยากาศในร้านดูสว่างขึ้นมาหน่อยนึงด้วย
แล้วก็บนเคาวน์เตอร์มีป้ายทำมือที่เขียนไว้ว่า [รับทำตามสั่ง] วางเอาไว้
แค่เดินมาตรงนี้ นั่งลง แล้วก็สั่งได้เลยค่า!
เข้ามาอุดหนุนกันนะคะ!
คุณลูกค้า! มาได้ทุกเวลาเลยค่า!
“…ไม่มีใครมาเลยแฮะ”
เปิดร้านมาได้ชั่วโมงนึงแล้ว
ฉันก็ไม่ได้คาดหวังเท่าไหร่หรอก แต่นี่ก็ไม่มีลูกค้าเลยซักคนเนี่ยสิ
มีเวลาว่างเยอะเกินไปแล้ว ฉันก็เลยเอาเครื่องมือสำหรับการเล่นแร่แปรธาตุที่อาจารย์ให้มาอยู่หลังเคาน์เตอร์ แล้วตอนนี้ ฉันก็นั่งทำศิลาเวทฆ่าเวลาอยู่
แบบนี้ ถ้าลูกค้ามาตอนไหน ฉันก็หยุดมือได้ทันทีเลยนั่นแหละ
*ครืด ครืด ครึดครึด*
เอาเศษหินเวทดิบ วัตถุดิบสำหรับทำศิลาเวท มาทุบด้วยค้อน แล้วก็ใช้ยาเก็นทำให้ละเอียดขึ้นอีก
TN: ยาเก็น (薬研 : Yagen) เป็นเครื่องมือสำหรับบดแบบญี่ปุ่นโบราณ ปกติจะใช้สำหรับการบดสมุนไพรทำยา หรือบดวัตถุดิบทำน้ำซุป ในไทยอาจเรียกว่า [โกร่งบดยา]
ศิลาเวทที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติน่ะ ยังไงก็แพง เพราะงั้น ศิลาเวทที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการเล่นแร่แปรธาตุก็เลยเป็นศิลาเวทที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่การสร้างศิลาเวทให้มีขนาดใหญ่ซักหน่อยก็ค่อนข้างยากเลย
ใส่หินเวทบดละเอียดลงในหม้อเล่นแร่ หลอมมัน ขจัดสิ่งเจือปนในแร่ออก แล้วก็ปล่อยให้เย็นลงและแข็งตัว
แต่ละขั้นตอนในการผลิตต้องอาศัยพลังเวท คนที่มีพลังเวทน้อยจะทำขึ้นมาซักอันก็เลยค่อนข้างจะลำบาก
จะว่าไป การใช้หม้อเล่นแร่ขนาดใหญ่ก็ยิ่งใช้พลังเวทเยอะ เพราะงั้น บางคนก็เลยมีหม้อเล่นแร่ขนาดเท่าฝ่ามือเอาไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะเลย
ฉันใช้หม้อเล่นแร่ขนาดเท่าฝ่ามือที่อาจารย์ให้เอาไว้มาทำนี่แหละ แต่อันที่ฉันใช้ที่โรงเรียนนี่เล็กกว่านี้เกือบ 2 เท่าเลยนะ ขนาดประมาณถ้วยชาเล็กๆ เท่านั้นเอง
“บด ให้ ได้ เป็น อาร์ ติ แฟกต์ เลย!”
ตัวเศษหินเวทดิบน่ะราคาถูกนะ แต่ยิ่งสิ่งเจือปนเยอะ ก็ยิ่งต้องบดให้ละเอียดขึ้นไปอีก
ก็ แน่นอนว่ามันมีสิ่งที่เรียกว่าอาร์ติแฟกต์ (อุปกรณ์แปรธาตุ) ที่เอาไว้ใช้สำหรับเรื่องแบบนี้โดยเฉพาะเหมือนกัน
มันก็เป็นเรื่องที่ทำด้วยมือได้อยู่นั่นแหละ เพราะงั้น ถ้าไม่มีเงินพอจะซื้อมันมาใช้ได้แบบอาจารย์ ก็ไม่ต้องซื้อก็ได้
เพราะแบบนี้นี่แหละ ฉันเลยเหวี่ยงค้อนลงมาไม่หยุดมือเลย
*ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง*
“สวัสดีค- ――― อะไรน่ะคะ! คุณซาราสะ!”
“ฟู่ว อ๊ะ โลเรียจัง ยินดีต้อนรับนะ”
คนที่เปิดประตู เดินเข้ามาในร้าน ก็คือโลเรียจังจากร้านขายของชำนั่นเอง
พวกเราช่วยกันทำฟูกที่นอนด้วยกัน แล้วก็คุยเล่นกับแบบเด็กผู้หญิงกันนานเลย เพราะงั้น พวกเราก็เป็นเพื่อนกันแน่นอนแล้วล่ะ
ระดับความสนิทก็เลยเลื่อนจาก ‘คุณโลเรีย’ เป็น ‘โลเรียจัง’ แล้ว
ถ้าฉันถูกเรียกว่า ‘จัง’ บ้างก็คงดี แต่เพราะฉันแก่กว่า ก็เลยให้เรียกว่า ‘คุณ’ ต่อเหมือนเดิมดีกว่า ตอนแรก ที่ฉันพูดด้วยวิธีแปลกๆ แบบนั้น เธอจะคิดว่าฉันเด็กกว่าหรือเปล่านะ…?
“ค่ะ ยินดีด้วยที่เปิดร้านแล้วนะคะ …แล้ว นี่กำลังทำอะไรอยู่งั้นเหรอคะ?”
“นี่เหรอ? เออ คือ เตรียมการสำหรับการเล่นแร่แปรธาตุล่ะมั้ง?”
ฉันให้โลเรียจังที่มองอย่างสงสัยอยู่ที่เคาน์เตอร์ดูผงที่บดจนละเอียด
นี่เองก็เป็นการเล่นแร่แปรธาตุเหมือนกัน แต่เพราะมันเป็นแค่การทุบการบดเอง มันก็เป็นการใช้แรงที่ใครๆ ก็ทำได้เลย
“เห~ ฉันนึกว่าการเล่นแร่แปรธาตุจะดู แบบนั้นกว่านี้… ฉันนึกภาพที่ดูเจ๋งกว่านี้ซะอีก แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่สินะคะ”
“อะไรน่ะ ภาพที่ดูเจ๋งกว่านี้เนี่ย?”
กำลังจะหมายถึงดูสมาร์ท (ละเอียดซับซ้อน) หรือเปล่านะ?
แต่ ฉันก็เข้าใจความหมายของสิ่งที่กำลังจะสื่ออยู่นะ ตอนที่ฉันเข้าเรียนที่โรงเรียนเอง ฉันก็ตกใจกับการเรียนรู้ในวงกว้างมากเลยเหมือนกัน
“ก็ ฉันทำแบบที่คนทั่วๆ ไปทำกันเยอะกว่าที่คิดอีกล่ะมั้ง? มีอีกหลายๆ อย่างที่ฉันทำเป็นเลยนะ อย่างงานช่างไม้, งานแก้ว, การตีเหล็ก, ทำอาหาร อะไรแบบนี้น่ะ”
ไม่สำคัญหรอกว่าทำได้ดีหรือเปล่า โดยเฉพาะทำอาหารเนี่ย เรื่องของประสิทธิผลกับรสชาติไม่ได้มีความสัมพันธ์ไปในทางเดียวกันเลย
โดยเฉพาะที่วิทยาลัยหลวงฝึกสอนนักเล่นแร่แปรธาตุ ที่เข้มงวดในการเล่นแร่แปรธาตุมากเลยเนี่ย ก็ไม่ได้เข้มงวดอะไรกับสาขาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงเท่าไหร่หรอก
อย่างเช่น ถ้าเกิดไม่ถนัดในงานช่างไม้ ก็แค่ขอให้ช่างไม้ช่วยจัดการส่วนนั้นก็พอ
เพราะงั้น ถ้าไม่มีปัญหาสาระสำคัญอะไร ก็ยังสามารถเรียนจบได้นะ ถึงจะมีป้ำๆ เป๋อๆ ไปบ้างก็ตาม
“นั่นสินะคะ ว่าแล้วเชียว การเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุนี่ยากจริงๆ ด้วย… อ๊ะ นี่ผ้าแบบเดียวกับที่ให้ฉันหรือเปล่าคะ? สีนี้ก็สวยจัง―――พ- แพงจัง!”
“อา นั่นก็ถูกอยู่หน่อยนึงแล้วนะ? เพราะที่เมืองหลวงยังแพงกว่านี้อีก 20-30% เลย”
โลเรียแปลกใจที่ได้เห็นม้วนผ้าปรับอากาศสีเขียวสว่าง, สีชมพูอ่อน แล้วก็สีฟ้าที่ฉันเขียนเอาไว้ว่าลดราคา
ที่เมืองหลวงเนี่ย ราคาประมาณนี้ซื้อได้แค่ผ้าปรับอากาศสีน้ำตาลมอๆ ที่ยังไม่ได้ย้อมเลยเท่านั้นเอง ถ้าย้อมให้ได้สีสวยๆ ล่ะก็ ราคาก็จะเพิ่มขึ้นมาหลายเปอร์เซ็นต์อยู่
“ถ้าฉันซื้ออันนี้ไป จะดีหรือเปล่านะคะ?”
“ได้เลยนะ ที่จริง ฉันดีใจมากเลยที่เธอมาช่วยน่ะ!”
แถมเธอยังมายินดีกับการเปิดร้านด้วย! โลเรียจังเนี่ย เป็นเด็กดีจริงๆ เลย!
“ฉันได้อะไรมาเยอะเลย… ขอบคุณนะคะ”
“ก็ นี่ก็เป็นการโฆษณาเหมือนกัน ถ้ามีอะไรที่จำเป็น ก็มาซื้อที่บ้านของฉันได้เลยนะ”
“ค่ะ! แน่นอนเลย! ―――สินค้าอย่างอื่นตอนนี้มีแค่โพชั่น (ยาแปรธาตุ) เหรอคะ?”
“มีเรียงอยู่ในร้านแล้วนะ แต่ว่าตามตรง ฉันไม่รู้เรื่องความต้องการของหมู่บ้านนี้เลยน่ะ”
“อื~ม ชาวบ้านทั่วไปไม่รู้เรื่องอย่างอื่นนอกจากโพชั่นนะคะ จะเรียกว่าความต้องการก็อาจจะยากไปหน่อย”
“…อา นั่นสินะ”
เทียบกับโพชั่นที่นึกภาพออกได้ง่ายแล้ว คนก็คงไม่อยากได้อาร์ติแฟกต์ ถ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ‘มันคืออะไร’ หรอก
ในเมืองหลวง ขุนนางกับคนมีตังก็ใช้กันอยู่ เพราะงั้นก็มีโอกาสจะได้รู้จักพวกมัน แต่ในหมู่บ้านนี้… นี่มันปัญหาใหญ่อย่างไม่คาดคิดเลยไม่ใช่เหรอนั่นน่ะ?
“แสดงว่า เอาสินค้าตัวอย่างออกมาน่าจะดีกว่าสินะ?”
“ถ้ามี ก็ช่วยเพิ่มโอกาสให้คนได้รู้จักอยู่นะคะ แต่คือ คนในหมู่บ้านนี้ไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้นหรอกนะคะ? ก็อาจจะมีแค่บางคนเอง อย่างคุณดีรัล หรือผู้ใหญ่บ้านน่ะค่ะ”
ถ้าเป็นหมู่บ้านที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ ก็จะเป็นแบบนี้งั้นเหรอเนี่ย
ถ้าคนที่มีเงินมีแค่คนที่ทำธุรกิจกับนักเก็บสะสม กับผู้ใหญ่บ้านล่ะก็ การจะทำธุรกิจกับชาวบ้านทั้งๆ อย่างนี้ก็คงจะยากแล้วล่ะ ต้องหาวิธีทำอะไรซักอย่างแล้วสิ?
“อาเระ? ป้ายประกาศอันนี้คืออะไรเหรอคะ?”
“อา นั่นเหรอ? สำหรับตอนนี้ คงจะเป็นบริการสิทธิพิเศษสำหรับชาวบ้านและนักเก็บสะสมที่ปักหลักอยู่ที่นี่ ล่ะมั้ง?”
สิ่งที่โลเรียจังเจอ ก็คือป้ายที่ฉันวางเอาไว้บนชั้นที่เรียงโพชั่นเอาไว้อยู่
เขียนเอาไว้ว่า [ส่วนลดสำหรับคนที่นำขวดโพชั่นใช้แล้วจากที่ร้านนี้กลับมา]
ในตอนนี้ ฉันกำลังคิดเรื่องนู่นนี่นั่น เพื่อตัดสินใจเอามาเป็นสิ่งดึงดูดให้คนเข้าร้าน
ตามปกติ ขวดสำหรับโพชั่นต่างชนิดกันก็จำเป็นต้องใช้กระบวนการผลิตที่ต่างกันไปด้วย ต่อให้เก็บขวดเปล่าเอาไว้ ก็เอามาใช้ซ้ำใหม่ง่ายๆ ไม่ได้ แถมต่อให้การทำขวดจะลำบาก แต่มันก็ไม่ได้มีมูลค่ามากขนาดนั้นด้วย
ถ้าเอากลับมาหลอม ก็ใช้เป็นวัตถุดิบแก้วได้อยู่นั่นแหละ จะซื้อกลับมาก็ได้นะ แต่มันถูกจนเหมือนไม่มีค่าอะไร นักเก็บสะสมส่วนใหญ่ก็เลยขี้เกียจจะเอากลับมาคืน แล้วก็จะโยนทิ้งๆ ไปเลย
แต่ ถ้าเกิดขวดนั้นเป็นของเราเองล่ะ?
ถ้าจำแนกเอาไว้อย่างเหมาะสมแล้ว ก็สามารถเอาพวกมันกลับมาล้างทำความสะอาด แล้วก็ใช้ซ้ำอย่างที่เคยได้เลย
แปลกดีมั้ยล่ะ ในการทำโพชั่นเบื้องต้นเนี่ย เวลาและความลำบากที่ต้องใช้ลงไปมากที่สุดคือขั้นตอนการทำขวดนี่แหละ
โพชั่นน่ะ ทำทีเดียวในหม้อเล่นแร่หม้อใหญ่ได้เลย แต่ขวดเนี่ยต้องค่อยๆ ทำทีละขวดๆ
ยุ่งยากสุดๆ ไปเลยล่ะ เพราะงั้น งานแรกที่นักเล่นแร่แปรธาตุฝึกหัดจะถูกสั่งให้ทำก็คือการทำขวดแก้วนี่แหละ
ในจดหมายที่รุ่นพี่ส่งมาหาฉัน ข้างในก็บ่นแต่เรื่องที่ว่า ‘ได้แต่ทำขวดแก้วอย่างเดียวเลย!!’
แต่ว่า อาจารย์ที่ทำงานอยู่ข้างๆ ฉันทำอะไรๆ เร็วกว่าฉันหลายเท่าเลย อาจารย์ก็เลยยอมให้ฉันได้ลองทำอะไรหลายๆ อย่างอยู่ ฉันก็เลยไม่ได้ไม่พอใจอะไรขนาดนั้น
ฉันคิดว่า ถ้าอยู่ในเมือง การจะซื้อเฉพาะขวดของตัวเองกลับมาคงจะยากอยู่หรอก แต่ถ้าเป็นที่นี่ คนที่จะมาซื้อก็มีแค่ชาวบ้านกับนักเก็บสะสมที่ปักหลักอยู่ในหมู่บ้านนี้เท่านั้นเอง ดังนั้น คนที่จะกลับมาซื้อก็เป็นคนหน้าเดิมๆ นี่แหละ
ถ้างั้นแล้ว ทำไมไม่เอาขวดนี้มาแลกในราคาสูงซักหน่อยล่ะ―――ซักครึ่งนึงของราคาโพชั่นเบื้องต้นล่ะเป็นไง?
ผลก็คือ ฉันจะขายโพชั่นเบื้องต้นได้ในครึ่งราคา ก็เลยสามารถใช้ขวดได้อย่างสบายๆ แถมงานเก็บสะสมก็ปลอดภัย ฉันเองก็ดีใจด้วยเหมือนกัน
ที่หลุดพ้นจากความน่ารำคาญของการทำขวดนี่ก็ทำให้ฉันมีความสุขเหมือนกันนะ
ถึงกำไรสุทธิอาจจะตกลงไปบ้าง แต่ผลลัพธ์สุดท้ายมันก็คุ้มค่านั่นแหละเนอะ?
“ยังงี้นี่เอง เป็นแบบนั้นเหรอคะ จริงเลยค่ะ แบบนี้ก็ช่วยให้ชาวบ้านใช้ได้ง่ายขึ้นด้วย ไม่ต้องกังวลเรื่องขวดหายหรอกนะคะ”
“ปกติก็จะมีใช้กันตามบ้านด้วยสินะ”
“นี่ทำให้ฉันดีใจมากเลยนะคะ จนถึงตอนนี้ ที่บ้านฉันจะคอยจัดการโพชั่นมาตลอด แต่ถ้าเกิดจะตุนโพชั่นสำหรับรักษาโรคที่นานๆ ทีใช้ มันก็จะแพงอย่างเลี่ยงไม่ได้เลยค่ะ”
“อะ นี่หรือว่า ร้านของฉันจะกลายเป็นคู่แข่งกับร้านของโลเรียจังแล้วล่ะเนี่ย?”
“ไม่ค่ะๆ ไม่ใช่ยังงั้นเลย พวกโพชั่นนี่ ไม่ทำกำไรให้ร้านเลยค่ะ เป็นช่วยเหลือชาวบ้านล้วนๆ เลย เพราะราคาขายเป็นแค่ต้นทุนบวกกับค่าขนส่งเพิ่มเข้าไปเท่านั้นเอง”
เจ้าของร้านขายของชำเองก็เป็นหนึ่งในชาวบ้านที่หาเงินได้พอควรเลย ถ้าเกิดเขาไม่ช่วยชาวบ้านคนอื่นๆ บ้างก็คงดูไม่ดีเท่าไหร่ นั่นก็เป็นการขาดทุนอย่างเดียวเลยนะ เพราะก็มีโอกาสที่สินค้าจะเสียหายระหว่างการขนส่งอีก
ถ้าฉันขายเอง ที่ร้านของครอบครัวโลเรียจังก็ไม่จำเป็นต้องเอามาขายอีก ก็ถือว่าช่วยเอาไว้ได้เลยงั้นสินะ
แล้วก็ ทางคุณดีรัลที่หาเงินได้พอควรเหมือนกันก็ให้ที่พักในเวลากลางคืนด้วยนะ เพราะงั้นก็ไม่มีปัญหาเลย
อื~ม ว่าแล้วเชียว ความเป็นอยู่ในหมู่บ้านนี้ก็ค่อนข้างลำบากจริงๆ ด้วย…
ถ้าฉันไม่คิดทำอะไรซักอย่าง ฉันจะโดนคว่ำบาตรใส่มั้ยเนี่ย?
“อา คุณซาราสะเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
“อะไรเหรอ?”
บางทีเธออาจจะเห็นสีหน้าไม่สบายใจของฉันก็ได้ โลเรียจังก็เลยโบกมือไหวๆ ก่อนจะหัวเราะออกมา
“การมีนักเล่นแร่แปรธาตุในหมู่บ้านน่ะ มีค่ามากเลยนะคะ ช่วยให้รู้สึก ปลอดภัย แบบนั้นมั้งคะ”
โห สมกับที่เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุเลยนะ ได้รับความไว้ใจสูงกว่าหมอซะอีกนะเนี่ย
“แล้วก็นะคะ ไม่มีใครอิจฉาเงินของนักเล่นแร่แปรธาตุหรอกค่ะ ถ้าใครอิจฉาเรื่องนั้น ก็ไปเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุเองซะซิ”
“…อา นั่นสินะ”
เป็นการเชื่อมั่นในความสามารถอย่างสมบูรณ์เลยนะเนี่ย
เด็กกำพร้าที่สามารถเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ ที่เป็นเหมือนกับคนที่ประสบความสำเร็จของประเทศ และถึงพวกเขาจะมีภาพที่เห็นโดยทั่วไปเป็นคนที่ทำเงินได้มาก ก็ยังน่าอิจฉานิดๆ อยู่ดี
พอประตูเปิดออกแล้ว คำตอบที่ได้ก็คือให้พยายามอย่างเต็มที่ แทนที่จะเอาแต่อิจฉา
ตราบใดที่เป็นคนที่มีคุณสมบัติ ต่อให้เป็นเด็กกำพร้า ก็ใช้ข้ออ้างว่าสภาพแวดล้อมไม่ดีไม่ได้หรอก
นอกจากนั้น มีคนจำนวนมากจนน่าตกใจเลยนะ ที่ถูกช่วยเอาไว้ด้วยวิชาเล่นแร่แปรธาตุ ในตอนที่พวกเขาบาดเจ็บหรือป่วยไข้
“แต่ว่านะ รู้หรือเปล่า? จริงๆ นักเล่นแร่แปรธาตุไม่ได้หากำไรได้เยอะแยะอย่างที่เธอคิดหรอกนะ”