[นิยายแปล] ร้านป้ายแดงของสาวนักแปรธาตุมือใหม่ - ตอนที่ 20 ได้ฤกษ์เปิดร้าน!
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ฉันติดกระดิ่งเรียกตัวเอาไว้ ฉันจะได้สามารถขังตัวเองอยู่ในห้องทำงานได้ ต่อให้เป็นช่วงเวลาทำงานระหว่างวันก็ตาม ด้วยความถี่ที่ลูกค้าแวะเวียนมา ไม่มีความจำเป็นที่ฉันต้องเฝ้าอยู่ที่ร้านตลอดเวลาเลย
ถ้าแค่การเล่นแร่แปรธาตุ ต่อให้ร้านปิดแล้วฉันก็ยังทำได้ งานบางส่วน ฉันนั่งทำอยู่ที่เคาน์เตอร์ก็ได้ด้วย แต่ฉันจัดการดูแลสวนสมุนไพรได้เฉพาะเวลากลางวันเท่านั้น
ถ้าลูกค้าเยอะขึ้น จะจ้างพนักงานขายของมาก็ดีอยู่หรอก แต่เอาไว้ก่อนแล้วกัน
“ถ้างั้น รีบจัดการให้เสร็จดีกว่า”
ส่วนเล็บ แค่ล้างทำความสะอาดก็พอแล้ว แต่ถ้าไม่จัดการส่วนอื่นๆ ให้ดีเนี่ย ทั้งคุณค่าทั้งมูลค่าของมันจะตกฮวบลงไป
โดยเฉพาะส่วนหัวใจ, ตับ กับลูกตานี่แหละ ที่จัดการยากเป็นพิเศษเลย
“เอาเถอะ ยังไงฉันก็คุ้นเคยแล้วล่ะ…”
สมัยตอนที่ฝึกกันอยู่ในโรงเรียนเอง การจัดการกับเครื่องในพวกนี้ ก็ทำเอาหลายๆ คนหน้าซีดจับไข้กันไปเลยอยู่นะ
ฉันไม่ได้รู้สึกแย่หรอก แต่ก็เคยจัดการกับพวกมันแบบกล้าๆ กลัวๆ อยู่เหมือนกัน
แต่ นั่นมันก็แค่ตอนแรกเท่านั้นแหละ หลังจากนั้น ทุกคนก็เริ่มชินกับมัน จนทุกคนก็สามารถผ่าร่างของสัตว์ได้โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน และเอาเครื่องในของมันออกมาอย่างเป็นปกติเลย
ไม่นะ ทุกคนจะเกินไปแล้วเหรอ? ก็เพราะคนที่คุ้นชินกับมันไม่ได้ ก็จะตกหน่วยกิตนี้ แล้วหายไปเลยไงล่ะ
ที่นี่ไม่ได้ง่ายถึงขนาดที่คนที่พูดอะไรอย่าง ‘ฉั~น กลัวอ่า~’ หรือ ‘ขยะแขยง~’ จะเรียนจบได้หรอกนะ เอาเถอะ ยิ่งคนที่บ่นแบบนั้นเยอะ ที่จริง คนคนนั้นยิ่งไม่ได้มีปัญหาเลย
นั่นเพราะมันเป็นการแสดงออกในทางตรงกันข้ามล่ะนะ
คนที่ร้ายแรงจริงๆ เนี่ยจะเป็นลมไปโดยที่ไม่ทันได้พูดอะไรแบบนั้นออกมาเลยต่างหาก
ขนาดในรุ่นเดียวกับฉัน คนที่ต้องออกไปทั้งที่เกรดก็ดี แต่รับเรื่องนี้ไม่ไหวก็มีเหมือนกัน…
ถึงจะน่าเสียดาย แต่ครอบครัวของคนคนนั้นก็มีเงินถุงเงินถังอยู่นะ ฉันว่าต่อให้จะเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก
พวกเด็กกำพร้าน่ะไม่ได้มีทางเลือกอื่นแบบนั้น เพราะงั้นก็เลยไม่มีใครต้องออกไปเพราะเรื่องแบบนี้เลย
“―――อื้อ เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว”
ลูกตากับหัวใจก็บรรจุลงใส่ขวดเอาไว้เรียบร้อย วัตถุดิบส่วนที่เหลือ ถ้าไม่ทำให้แห้ง ก็บดให้เป็นผงซะ เท่านี้ก็สามารถเก็บไว้ได้นานระดับนึงโดยที่คุณภาพไม่เสื่อมลงเลยล่ะ
ฉันเรียนรู้เรื่องการจัดการพวกนี้จากอาจารย์มาเยอะเลย บางที มันอาจจะเป็นด้านที่ฉันถนัดเลยก็ได้
“จะว่าไป… นี่หรือว่า อาจารย์จะคาดเอาไว้แล้วว่าจะเป็นแบบนี้กันล่ะเนี่ย?”
อาจารย์เคยบอกว่า ‘ถ้าเธอมีวัตถุดิบหายากล่ะก็ ส่งมาให้ฉันสิ’ แต่ฉันยังจัดการแบบนั้นไม่ได้ ก็เลยไม่มีทางส่งไปให้อาจารย์ได้เลย
อึมมม? ตั้งแต่ตอนที่ฉันทำงานพิเศษ อาจารย์ก็คิดจะส่งฉันไปที่ชายแดนเลยเหรอ…?
“ …ไม่หรอก ฉันคิดมากไปแล้วล่ะ”
การรับซื้อวัตถุดิบ ถือเป็นงานสำคัญของนักเล่นแร่แปรธาตุเลย ถ้าจัดการกับวัตถุดิบเพื่อเก็บรักษาไม่ได้ ก็ซื้อมาไม่ได้ เพราะแบบนี้ อาจารย์ก็เลยสอนฉันอย่างละเอียดแน่เลย คิดว่านะ
“ทีนี้ จะเอาวัตถุดิบนี่ไปทำอะไรดีนะ?”
ฉันทำโพชั่นจากวัตถุดิบพวกนี้ก็ได้นะ แต่เพราะมันไม่ใช่ของจำเป็นขนาดนั้นด้วย ต่อให้ทำออกมาวางในร้าน ก็อาจจะไม่มีใครซื้อเลยก็ได้
แถมก่อนอื่นเลยเนี่ย มันก็ไม่ใช่ราคาที่ชาวบ้านทั่วๆ ไปจะซื้อได้ด้วย
“จะทำเพื่อเพิ่มประสบการณ์ก็ดีอยู่หรอก แต่… ถ้าไม่ขายมันเร็วๆ นี้ล่ะก็ อาจจะแย่จริงๆ ก็ได้นะ”
แน่นอนว่า ไม่มีทางที่วัตถุดิบที่ซื้อจากที่นี่ จะถูกใช้อยู่ที่นี่ที่เดียวอยู่แล้ว
เพราะงั้น สถานการณ์ตอนนี้ ร้านของฉันมีวัตถุดิบเพิ่มขึ้นๆ ส่วนเงินสดที่มีก็ลดลงๆ
ถ้าไม่รีบขายออกไปล่ะก็ ฉันชักจะหวั่นๆ เรื่องเงินสดที่ตัวเองมีแล้วสิ
ที่แรกที่เป็นทางเลือกของฉันคือเมืองที่ชื่อ [เซาว์ท สแตรก] ที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้านนี้ที่สุด
ถ้าเดินเท้าไป ก็ใช้เวลาประมาณ 2 หรือ 3 วัน ตอนที่ฉันมาที่หมู่บ้านนี้ เป็นทั้งการนั่งรถม้า แล้วต่อด้วยการเดินเท้า ฉันก็เลยรู้ว่านั่นเป็นเมืองแบบไหนอยู่บ้างนะ ถึงจะนิดหน่อยก็เถอะ
เทียบเมืองหลวงไม่ติดอยู่แล้ว แต่มันก็เป็นเมืองที่ใหญ่พอควร แล้วก็ยังมีประชากรพลุกพล่านในแถบชายแดนแบบนี้เลยด้วย
อ๊ะ จะว่าไป หมู่บ้านนี้ชื่อว่า [หมู่บ้านย็อค] นะ
ถึงจะไม่มีใครเรียกชื่อนี้กันเลยก็เถอะ
ฉันเคยเห็นชื่อนี้แค่ในเอกสารข้อมูลที่ร้านในโรงเรียนเท่านั้นเอง ไม่มีใครบอกฉันได้เลยตอนที่ฉันถามทางอยู่ในเมืองเซาว์ท สแตรก
มันไม่ได้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปเลย การจะทำให้คนเข้าใจว่า ‘อ๋า หมู่บ้านนั้นน่ะเอง’ ให้เพิ่มข้อมูลไปด้วยว่า ‘หมู่บ้านเล็กๆ ใกล้กับทะเลป่าใหญ่’
ฉันคิดว่าชาวบ้านในหมู่บ้านอาจจะไม่รู้ชื่อหมู่บ้านของตัวเองด้วยซ้ำเลยมั้ง
ว่าแล้ว ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะรู้ชื่อหมู่บ้านนี้ได้เลย แต่… ฉันก็รู้แล้วนี่เนอะ?
เอาเถอะ เพราะหมู่บ้านนี้ไม่ได้เป็นที่รู้จักกันขนาดนั้น ฉันเลยคิดว่า น่าจะดีกว่าถ้าฉันจะไปที่ร้านเล่นแร่ในเมืองเซาว์ท สแตรก แล้วติดต่อกันเรื่องการซื้อขายวัตถุดิบซักหน่อย
ถ้าฉันโผล่หน้าไปซักครั้ง ฉันอาจจะถามให้ใครซักคนช่วยพามาส่งได้ก็ได้นะ
อย่าง ถ้าฉันไปถามคุณดาร์นาที่ร้านขายของชำให้ช่วยซื้อของที่เอามาขายล่ะก็ ถ้าเขาเห็นว่าคุณเป็นแค่พวกมือสมัครเล่น คุณก็อาจจะโดนเอาเปรียบก็ได้ จริงมั้ยล่ะ?
แต่ ตราบใดที่เขารู้ว่าคุณเป็นตัวแทนนักเล่นแร่แปรธาตุล่ะก็ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ…
เพราะฉันยังเด็กด้วย ก็เป็นไปได้อยู่นะว่าอาจจะโดนดูถูกก็ได้ แต่ถ้าเกิดเป็นแบบนั้น ฉันก็พร้อมจะยืมชื่อของอาจารย์มาใช้อย่างไม่ลังเลเลยล่ะ!
“อื้อ! เอาเลยแล้วกัน!”
พอฉันตัดสินใจได้แล้ว ฉันก็คว้าเป้ที่ได้จากอาจารย์มา ก่อนจะเริ่มเอาวัตถุดิบที่ฉันซื้อมาใส่ลงไป
ในย่านใกล้ตัวเมือง ณ ชายขอบของเมืองเซาว์ท สแตรก
เป้าหมายของฉันอยู่ที่หัวมุมนี้เอง
ใช่แล้ว ในคาเฟ่ที่ค่อนข้างทันสมัยนิดนึงไงล่ะ
ครั้งก่อน ฉันยั้งตัวเองเอาไว้ทั้งน้ำตาเลย เพราะคิดว่าตัวฉันเองยังอยู่ระหว่างการย้ายบ้านอยู่
เอ๊ะ? ขายส่งวัตถุดิบเหรอ? เอาไว้ทีหลังก็ได้ ขั้นแรก ก็ต้องหาอะไรทานก่อนสิ
“แพงนิดนึง แต่ก็ได้อยู่นะ?”
ฉันพึมพำโดยไม่พูดข้ออ้างกับใคร ก่อนจะเดินมุ่งไปที่ที่ฉันหมายตาเอาไว้
เพราะช่วงเวลานี้ คนก็เลยเยอะประมาณนึง ฉันถูกถามว่า ‘ต้องรอซักพักเลย ได้หรือเปล่าคะ?’ ซึ่งฉันก็เลือกที่จะรออย่างว่าง่ายตรงนี้
ร้านที่ฉันเลือกเป็นร้านที่ค่อนข้างใหญ่ แล้วก็มีหลายที่นั่งเลยด้วย ไม่นานก็ถึงคิวของฉันแล้ว
“ชาดำ… ว้าว! มีหลายแบบให้เลือกเลย! อื~~ม ตรงนี้ต้องพยายามแล้ว… เอาอันตรงกลางนี่แหละ!”
ถึงจุดนี้แล้ว จะไม่การมาพูดว่า ‘เอ๊ะ? นี่มันไม่แพงเหรอ?’ หรอกน่า
แค่เข้ามาในร้านแบบนี้ก็ยากพอควรแล้วนะ สำหรับฉันน่ะ!
“ฉันก็อยากทานขนมหวานด้วยนะ แต่อาหารกลางวันนี่… ฉันว่าฉันสั่งของอย่าง [ขนมปังอบแผ่นบางหน้าผักกับชีส] ดีกว่า”
TN: 薄焼きパン (Usuyaki pan) คือขนมปังบางๆ น่ะครับ อย่างในมังงะก็จะประมาณนี้
ฉันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ฉันแค่คิดว่ามันดูทันสมัยดีแค่นั้นเอง
“นี่ก็ 150 แรร์แล้ว ตื่นเต้นจังเลย แต่ว่า… อืมมมม เอาให้เต็มที่ตรงนี้ แล้วส่งเค้กผลไม้มาด้วยดีกว่า!”
เกือบ 5 เท่าจากค่าอาหารกลางวันปกติแหนะ ฉันขอเต็มที่เลย!
ฉันพอมีเงินอยู่นะ แต่ฉันรู้สึกว่าตัวเองควรจะเก็บเอาไว้ซักพักนึงดีกว่า มั้งนะ?
หลังจากที่สั่งอาหารให้คุณบริกร แล้วนั่งรอซักพัก ฉันก็มองดูไปรอบๆ ร้านอีกครั้งนึง
บางที พวกเขาอาจจะให้ความสำคัญกับบรรยากาศก็ได้นะ ในร้านก็เลยสะอาดดี ทั้งกระถางต้นไม้ ทั้งภาพวาด แล้วก็ยังมีผ้าม่านสวยๆ ห้อยอยู่ตรงหน้าต่างด้วย
ตามปกติ ของแบบนี้ไม่มีในร้านอาหารปกติหรอกนะ
แน่นอนว่า การตกแต่งภายในก็ต้องใช้เงิน แต่ถ้าอยากให้สะอาดขนาดนี้ ดูแล้ว ก็คงต้องเลือกลูกค้าแล้วล่ะ
ฉันพยายามรักษาความสะอาดที่ร้านของคุณดีรัลอย่างเต็มที่เท่าที่ตัวเองจะทำได้เลย แต่บางที นักเก็บสะสมก็เข้ามาพร้อมกับโคลนเกรอะขาด้วย เพราะงั้น ก็ต้องมีขีดจำกัดของมันอยู่ล่ะนะ
ถ้าเกิดสกปรกเกินไป ก็จะโดนเตะออกจากร้าน แถมตะโกนใส่ว่า ‘กลับไปล้างเนื้อล้างตัวซะ!’ ด้วย
“อยากทำแบบนี้บ้างจัง เพราะมันดูดีมากเลย แต่… ทั้งหมดที่ฉันทำได้ มีแค่เพาะต้นไม้เท่านั้นเองนี่นา?”
ลูกค้าของฉัน หลักๆ ก็เป็นนักเก็บสะสม จะสร้างบรรยากาศแบบนี้ก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วล่ะ
ผ้าม่านก็ติดไปแล้วเรียบร้อย แล้วถึงฉันจะเอาภาพวาดมาตกแต่งในร้านก็คงโดนถามว่า ‘นี่เป็นอาร์ติแฟกต์ (อุปกรณ์แปรธาตุ) หรือเปล่า?’ แหงๆ เลย
“แต่ว่า โต๊ะเล็กๆ นี่ เอาเข้ามาใส่ได้อยู่ล่ะมั้ง?”
ช่วงนี้ โลเรียจังก็แวะมาหาที่ร้านบ่อยๆ เลยด้วย
ตั้งแต่ที่ฉันเริ่มรับซื้อวัตถุดิบ ก็ดูเหมือนว่าคุณดาร์นาก็ไม่จำเป็นต้องเอาของเข้าไปขายในเมืองแล้ว เขาก็เลยใช้เวลาอยู่ในหมู่บ้านมากขึ้น
เพราะยังงั้น โลเรียจังก็เลยไม่จำเป็นต้องอยู่เฝ้าร้านแล้ว ตอนที่เธอแวะมาหา พวกเราก็จะคุยกันเรื่องเมืองหลวงอยู่ซักพัก จากนั้น เธอก็กลับบ้าน
ฉันมีเก้าอี้ที่คุณเกเบิร์กให้มาอยู่นะ แต่ถ้ามีโต๊ะด้วย ก็อาจจะผ่อนคลายได้มากขึ้นอีกหน่อย หรือจิบชาด้วยก็ได้
ถ้าเธอยังแวะมาเล่นด้วยเรื่อยๆ แบบนี้ ฉันซื้อเอาไว้หน่อยจะดีกว่ามั้ยนะ…?
พูดคุยกันเรื่องของเมืองหลวง นี่ถ้าคุยกันหมด ก็คงไม่จำเป็นต้องมาแล้วล่ะมั้ง แบบนั้นเธอก็จะไม่แวะมาแล้วงั้นสินะ
อีกเรื่องนึงก็ ฉันควรจะซื้อของฝากกลับไปเพื่อเพิ่มระดับความเป็นเพื่อนกันดีมั้ยนะ?
แต่ คุณดาร์นาก็มาที่เมืองนี้บ่อยๆ เลยด้วย จะมีอะไรทำให้โลเรียจังดีใจบ้างมั้ยหนอ?
“ขอโทษที่ให้รอนะคะ”
ระหว่างที่ฉันกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ คุณบริกรหญิงก็เอาอาหารที่สั่งมาให้
หลังจากที่เธอเอาจานเรียงบนโต๊ะ เธอก็ยิ้มให้ก่อนจะโค้งศีรษะ
“ขอให้อร่อยกับมื้ออาหารนะคะ”
“อะ ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
โห สมกับเป็นของแพงเลยแฮะ การบริการลูกค้าสุภาพมากเลย
มาตรฐานนี่ ต่างจากโรงอาหารที่พูดแค่ว่า ‘ได้แล้ว!’ แล้วก็วางจานลงบนโต๊ะเลยนะ
ที่ร้านของฉันไม่จำเป็น… ต้องมีการบริการลูกค้าแบบนั้นหรอก ฐานลูกค้าเราต่างกันนี่เนอะ
ทานดีกว่า ทานดีกว่า
“นี่คือขนมปังอบแผ่นบางสินะ บางจริงๆ ด้วยแฮะ แต่ได้กลิ่นอบใหม่ๆ เลย”
ฉันเอาชากับเค้กไว้ทีหลัง ก่อนจะค่อยๆ สังเกตขนมปังอบแผ่นบางที่เพิ่งเคยได้ทานเป็นครั้งแรกนี่ดู
ตัวขนมปังเองน่ะไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอก แค่รีดก้อนขนมปังให้บางๆ แล้วก็อบมันใช่มั้ยนะ?
ต่อให้ไม่มีเตาอบ ฉันว่ามีกระทะก้นแบนก็ทำได้แล้วนะ
―――ไม่สิ ขนาดตัวเตา ฉันยังไม่มีเลยนี่นา
“ผัก, ชีส แล้วก็เนื้อหั่นบางๆ โรยบนหน้างั้นเหรอ… ซอสแดงๆ นี่แปลกดีจัง”
นอกจากซอสแล้ว ที่เหลือก็ดูธรรมดาๆ นะ ฉันตัดชิ้นพอดีคำออกมา แล้วก็จิ้มเข้าปาก
“ง่ำๆ… อื้ม! อร่อย! แถม นี่มื้อกลางวันพอสำหรับ 2 คนเลยนะ!”
ไม่รู้เลย! แต่ว่า นี่อร่อยกว่าที่จินตนาการเอาไว้อีกนะเนี่ย
ความเข้มข้นของชีส, ความเปรี้ยวของซอส แล้วก็ความหวานนิดๆ ที่ตัดกันของผักกับเนื้อ
ถึงตัวขนมปังจะไม่ได้ฟูขึ้นมา แต่มันก็เข้ากับอาหารจานนี้สุดๆ เลย
“ซอสนี่ มะเขือเทศกับเครื่องเทศงั้นเหรอ? อื~ม เรื่องเครื่องเทศนี่ยากไปหน่อยแฮะ”
ฉันเลียชิมแค่เฉพาะซอส แล้วคิดถึงวัตถุดิบที่ใช้ แต่ฉันไม่ค่อยได้ทำอาหารเท่าไหร่ ก็เลยแยกออกยากอยู่ ถ้าได้ทานที่หมู่บ้านก็คงดีนะ แต่…
“อื้อ ถ้าวัตถุดิบนี่ขายได้ราคาดี ก็ซื้อเครื่องเทศทั้งหมดเท่าที่หาได้ในเมืองนี้ แล้วกลับบ้านแล้วกัน”
แล้วก็ ชีสด้วย มันหาไม่ค่อยได้ในหมู่บ้านน่ะ