[นิยายแปล] ร้านป้ายแดงของสาวนักแปรธาตุมือใหม่ - ตอนที่ 40 [2] Prologue
“นี่ มัน… ภาพข้างนอกนี่ดูดีจังเลย!”
2-3 วันหลังจากการบุกเข้าโจมตีของเฮล เฟลม กริซลี
หลังจากที่ในที่สุด ฉันก็ได้เป็นอิสระจากอาการปวดกล้ามเนื้อทั่วทั้งตัวซักที ฉันก็เลยไปเดินตรวจดูความเสียหายที่เกิดขึ้นอีกรอบนึง
โลเรียจังที่กังวลแล้วตามฉันมาก็ยิ้มแหยๆ ให้ฉันที่กำลังรู้สึกหมดหวังหน่อยๆ
แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่นา จริงมั้ย?
ฉันเห็นสวนหลังบ้านกับป่าข้างหลังได้โดยไม่ต้องเปิดประตูหลังบ้านด้วยซ้ำเลยนะ
เพราะยังไงก็ไม่มีประตูให้เปิดอยู่แล้ว―――กำแพงก็ยังไม่มีเลย!
รั้วที่ล้อมสวนหลังบ้านเอาไว้ ประตูรั้วที่ติดอยู่ด้วย แล้วก็สวนสมุนไพรที่ฉันลำบากดูแลมันมาถูกเหยียบย่ำเละเทะหมดเลย! ฮ่าฮ่าฮ่า!
“เฮ้อ…”
ฉันเข้าใจนะ แต่ฉันก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับภาพความพินาศที่ฉันจินตนาการภาพนี้
ในใจเนี่ย ฉันเจ็บปวดเรื่องรั้วที่เพิ่งเสร็จใหม่ๆ กับสวนสมุนไพรนะ แต่ถ้าเป็นเรื่องเงินแล้ว ตัวกำแพงบ้านที่มีการฝังตราประทับไว้พังไปเนี่ย มันทำร้ายเงินในกระเป๋าของฉันสุดๆ เลย
ต้องจ่ายอีกขนาดไหนล่ะเนี่ย…
แค่คิดเรื่องวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการซ่อมแซมการฝังตราประทับแล้ว แล้วไหนจะเรื่องราคาอีก แค่นั้นก็ทำเอาฉันอยากเอามือขึ้นมากุมหัวแล้วล่ะ
“นายท่านผู้จัดการคะ พวกเราทำความสะอาดไปบ้างแล้ว แต่พวกเราไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับพวกสมุนไพรดี…”
“อา ไม่ค่ะๆ ไม่เป็นไร ขอบคุณนะคะ”
ฉันรีบส่ายหัวให้คุณไอริสที่พูดปลอบฉันที่ดูจะมีสีหน้าหมองๆ
ห้องครัวนี่เป็นซากปรักหักพังจนเละเทะเลย
ดีใจจังที่มันถูกทำสะอาดเรียบร้อยแล้ว
ก่อนอื่นเลย ทีนี้คือบ้านของฉัน
งานการจัดการและซ่อมแซมเป็นงานของฉัน
แต่ จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดีล่ะ…? กำแพง ถึงจะแค่ชั่วคราว แต่เอาอะไรมาปิดไว้ก่อนดีกว่ามั้ยนะ?
บ้านของฉันไม่ใช่แค่หลังเดียวในหมู่บ้านด้วยที่ได้รับความเสียหาย
ต่อให้ฉันไปขอคุณเกเบิร์ก ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะเริ่มงานทันทีซักหน่อย
“คุณซาราสะ นี่เป็นโอกาสดีเลยนะคะ มีสร้างห้องครัวกันเถอะค่ะ!”
ระหว่างที่ฉันคิดหนักอยู่ จู่ๆ โลเรียจังก็เงยหน้าขึ้นมา แล้วเสนอกับฉันแบบนั้น
“ห้องครัว? ตรงกำแพงนี่ เธอจะซ่อมห้องครัวก่อนเลยเหรอ?”
“เปล่าค่ะ ห้องครัวดีๆ ที่สามารถทำอาหารได้ จนถึงตอนนี้ คุณก็ยังทำอาหารในห้องครัวไม่ได้เลยไม่ใช่เหรอคะ?”
ก็นะ เตาพลังเวทก็ถูกเอาออกไปแล้ว เตาถ่านก็ไม่มีเหมือนกัน
เป็นห้องที่เป็นทั้งห้องทานอาหาร แล้วก็ห้องครัวเลย แต่ก็ทำอาหารไม่ได้
ตอนนี้ก็ไม่มีกำแพงด้วย การจะทำการก่อสร้างขนาดใหญ่ก็คงง่ายขึ้นล่ะมั้ง…
“แต่ ฉัน ทำอาหารไม่ได้ ขนาดนั้นนะ…?”
มื้ออาหารตามปกติของฉัน ฉันก็จะทานอาหารถนอมที่ซื้อได้จากร้านขายของชำ ไม่ก็ซื้ออาหาร [ใส่กลับบ้าน] จากที่โรงอาหารของคุณดีรัลเอา
จะแบบไหนมันก็ไม่เกี่ยวหรอกถ้าฉันไม่มีห้องครัว แล้วยิ่งใช้เวลาในการทำอาหารมากขึ้น เวลาที่ฉันใช้ในการเล่นแร่แปรธาตุก็จะน้อยลงไปด้วย
แถม อาหาร [ใส่กลับบ้าน] ก็ราคาถูก แล้วก็อร่อยด้วย ต่อให้ทำอาหารเอง ก็อาจจะจบที่ใช้เงินไปเยอะ แล้วก็ต้องใช้เวลาทานอะไรที่ออกมาไม่อร่อยเลยก็ได้
ฉันว่า ห้องครัวคงไม่จำเป็นหรอกมั้ง…?
“แต่ ถ้าพวกนักเก็บสะสมกลับกันมา ที่นี่ก็จะคนแน่นอีกรอบใช่มั้ยล่ะคะ? ไม่ใช่ว่าคุณเพิ่งพูดไปเมื่อกี้เอง ว่าคนจะเยอะแล้วมันจะยุ่งยากด้วยน่ะคะ? คุณซาราสะ”
“อูว…”
ปฏิเสธไม่ได้เลยแฮะ
เมื่อตอนที่ฉันมาถึงหมู่บ้านนี้ ฉันไม่ต้องรอเลย แล้วก็หาที่นั่งได้ตามปกติด้วย แต่ก่อนจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นเนี่ย เอาเรื่องหาที่นั่งออกไปก่อนนะ แค่จะซื้ออาหาร [ใส่กลับบ้าน] ก็ยังต้องรออยู่ซักพักนึงเลย
ถ้าฉันไปซื้อโดยเลี่ยงช่วงมื้ออาหารที่วุ่นวาย มันก็ไม่ได้ลำบากขนาดนั้น―――
“จะกลับกันมาใช่มั้ยนะ? พวกนักเก็บสะสมที่หนีเฮล เฟลม กริซลีไปกันน่ะ”
ฉันว่ามันก็ไม่ผิดหรอกนะ เรื่องที่นักเก็บสะสมเลือกจะไม่สู้ พิจารณาถึงเรื่องความสามารถของตัวเอง กับความแข็งแกร่งของศัตรูด้วยแล้วน่ะ
แต่ในหมู่บ้านนี้ที่ทุกคนแทบจะรู้จักกันหมด มลทินที่ [หนีไปเมื่อตอนที่เจออันตราย] ก็เลยค่อนข้างจะหนักอยู่
แค่ว่าฉัน คุณดาร์นาที่ร้านขายของชำ กับคุณดีรัลที่ดูแลเรียวกัง ปฏิเสธไม่ติดต่อค้าขายด้วย พวกเขาก็จะตกอยู่ในสภาวะไร้รายได้ ไร้ที่ซุกหัวนอน และไร้อาหารการกินให้ซื้อเลย
ไม่ว่าพวกเขาจะทำจริงๆ มั้ย แต่มันก็เป็นเรื่องน่าอายมากอยู่ดี
“นายท่านผู้จัดการคะ พวกนั้นอาจจะไม่กลับมา แต่นักเก็บสะสมคนอื่นๆ ก็จะกลับมาใช่มั้ยคะ?”
“อื~ม ถ้าปลอดภัยแล้ว ก็น่าจะนะคะ”
แต่เดิม เหตุผลที่จำนวนนักเก็บสะสมที่มาในหมู่บ้านนี้เพิ่มขึ้น ก็เพราะสามารถทำเงินที่ร้านของฉันได้นั่นแหละ
เรื่องนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปหรอก เพราะงั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่นักเก็บสะสมจะออกไปทำงานก็เมื่อเขาคิดว่ามันปลอดภัยแล้ว
“ไม่หรอกค่ะ คนที่หนีไปแล้วก็คงจะไม่กลับมาอีก ฉันคิดว่างั้นนะคะ? เพราะก็มีนักเก็บสะสมหลายคนเหมือนกันที่ไม่ได้สนใจสายคนผู้คนรอบข้างเลย”
“ใช่เลยค่ะ ให้ตายสิ! น่าเวทนาจริงๆ ทั้งๆ ที่ยังหนีไปตามที่ชาวบ้านต้องอยู่ในอันตรายแท้ๆ”
“เรื่องนั้นมันก็ช่วยไม่ได้นี่ ไอริส นักเก็บสะสมไม่ใช่อัศวินนะ”
“แต่ถ้าตัวเองมีพลังในการปกป้อง แล้วยังจะหนีอีกไปเนี่ย ต้องเป็นคนยังไงกันล่ะ?”
คุณไอริสขึ้นเสียงที่ดังจนขึ้นถึงจมูกเลย เหมือนว่าเธอจะระงับความโกรธของเธอเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
คุณเคทก็เอามือตบๆ ไหล่คุณไอริสให้สงบลงด้วย
ฉันก็เห็นด้วยกับคุณไอริสนะ แต่ฉันว่าฉันจะโน้มไปทางคุณเคทมากกว่า?
ขนาดฉันเอง ถ้าฉันไม่ได้รู้จักพวกโลเรียจัง กับถ้าศัตรูที่บุกมาแข็งแกร่งเกินไปจนรับมือไม่ไหว ฉันคิดว่าฉันก็คงจะหนีไปเหมือนกัน
“แต่ว่า เจ้าพวกผู้ชายตัวโตยังเผ่นแน่บไปเลยนะ! แม้แต่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างนายท่านผู้จัดการ-… ไม่สิ อืม นายท่านผู้จัดการเป็นข้อยกเว้นสินะคะ อื้อ”
คุณไอริสที่กำลังบ่นออกมาด้วยท่าทางรุนแรง เหลือบมามองทางฉันเร็วๆ ก่อนจะลดเสียงลงไปเลย
“ต้องขอพูดหน่อยนะคะ แต่ว่า ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้วใช่มั้ยล่ะคะ? แค่ตัวเล็กนิดหน่อยเท่านั้นเอง!”
“น- แน่นอนว่าฉันเข้าใจแบบนั้นค่ะ! ฉันไม่เคยมองว่านายท่านผู้จัดการเป็นเด็กเลยนะคะ!”
หลังจากที่พูดอึกอักไปนิดหน่อย เธอก็หลบสายตาฉันแล้วก็พูดแบบนั้นออกมา―――
“ก็คิดอยู่ชัดๆ เลยไม่ใช่เหรอคะ!”
ถ้าไม่ได้คิดแบบนั้น คำพูดเมื่อกี้นี้ก็คงไม่หลุดออกมาหรอกน่า!
ฉันก็เป็นห่วงเรื่องนั้นเหมือนกันนะ!?
แค่การเติบโตไม่ค่อยดีแค่นิดเดียวเอง! นิดเดียวเองนะ!
“น่าๆ ที่สำคัญกว่านั้น คุณซาราสะคะ ตอนนี้ ห้องครัวล่ะคะ ตรงที่ประตูพังไปจะทิ้งเอาไว้ยังงี้ก็ไม่ได้ด้วย ถ้างั้นก็ใช้โอกาสนี้ทำให้ออกมาดีๆ เลยสิคะ”
โลเรียจังเข้ามากอดแขนของฉันแทนคุณไอริส ช่วยปลอบฉันที่กำลังฮึดฮัดอยู่ลง
แต่ก็นะ
ความนุ่มที่ฉันรู้สึกได้ตอนนี้ มันเหมือนเติมน้ำมันลงไปในกองไฟในใจฉันเลยนะ?
จะทำให้ฉันโดนไฟไหม้จนเป็นขี้เถ้าเลยหรือไงเนี่ย?
“แล้วก็ ถึงคุณซาราสะจะไม่ค่อยได้ใช้ เดี๋ยวฉันจะใช้เองค่ะ”
“…โลเรียจังเหรอ?”
“ค่ะ อย่างทำข้าวเที่ยงหรืออะไรแบบนั้นไงคะ? ฉันเป็นแค่พนักงานในร้านเอง แล้วค่าจ้างก็ดูจะเยอะไปหน่อยด้วย”
“เรื่องนั้น… ขอบใจเรื่องนั้นมากนะ”
พอได้ยินเรื่องนั้น กองไฟในใจฉันก็สงบลงไปหน่อยนึงแล้ว
ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องความสามารถในการทำอาหารของโลเรียจังเท่าไหร่ แต่ในเมื่อเสนอตัวเองเลย เธอก็คงมั่นใจอยู่ระดับนึงนั่นแหละ… คิดว่านะ?
เอาเถอะ อาจจะซุ่มซ่ามไปบ้างนิดหน่อย แต่ถ้าไม่ต้องไปที่โรงอาหารที่มีคนแน่นๆ มันก็ง่ายขึ้นแล้วล่ะ
“แบบนั้นก็ดีกับคุณไอริสกับคุณเคทกว่าด้วยใช่มั้ยคะ? ตอนนี้ ทั้ง 2 คนก็มีปัญหาเรื่องอาหารการกินด้วยนี่คะ?”
“พ- พวกฉันเหรอ? ป- เปล่านะ พวกฉันก็ทานกันอย่างปกติดีนะ อื้อ”
“ช- ใช่ ร่างกายของนักเก็บสะสมน่ะ สำคัญนะ”
ทั้ง 2 คนตอบคำถามของโลเรียจังว่าไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่บรรยากาศมันน่าสงสัยแบบชัดมากๆ เลย
สายตาที่ฉันมองไปก็กระพริบปริบๆ
“จริงเหรอคะ? ระหว่างที่ฉันหลับอยู่ ทั้งคู่ทานอะไรกันงั้นเหรอคะ?”
เพราะระหว่างที่นอนอยู่บนเตียง ฉันก็ทานอาหารที่โลเรียจังซื้อมาให้ ฉันก็เลยไม่รู้เลยว่าพวกคุณไอริสทานอะไรกัน
พอฉันถามซ้ำไปอีกรอบ ความเงียบก็เข้ามาแทรกอีกพักนึง ก่อนที่จะเป็นคุณไอริสที่เปิดปากพูดออกมาแบบคลุมเครือ
“ขนมปัง หรืออะไรแบบนั้น…?”
“ขนมปัง? อย่างอื่นล่ะคะ?”
“เออ…”
“คือว่า…”
โลเรียจังเอาความเป็นไปของทั้ง 2 คนที่กำลังงึมงำพูดไม่ออก ออกมาเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาเลย
“ฉันไม่เห็นกินอย่างอื่นนอกจากขนมปังเลยนะคะ”
“ป- เปล่านะ! ฉันแค่ไม่ได้ออกไปเก็บรวมรวมเลยช่วง 2-3 วันที่ผ่านมานี้น่ะ! อือ”
เพราะเป็นห่วงฉันที่นอนติดเตียงอยู่ ทั้งคู่ก็เลยอยู่ที่บ้านด้วยงั้นสินะ
ไม่ได้ทำงาน แล้วก็ไม่ได้ขยับตัวเท่าไหร่นักด้วย
แถมยิ่งกว่านั้น ก็ต้องคอยเก็บเงินเอาไว้เพราะยังมีหนี้อยู่ด้วย… แต่แบบนี้ไม่ดีแน่
“เข้าใจแล้ว! งั้น มาทำห้องครัวให้เป็นชิ้นเป็นอันกันเลย! แล้วอาหารทุกมื้อ ก็มาทานด้วยกันเลยนะคะ!”
“ไม่ได้หรอกค่ะ แบบนั้น―――”
ฉันพูดขัดคุณไอริสที่กำลังงงๆ แล้วเหมือนกำลังจะพูดอะไรซักอย่าง
“แน่นอนว่า! ทั้งคู่ต้องจ่ายค่าอาหารด้วยนะคะ ยังไง ถ้าโลเรียจังเป็นคนทำเอง มันก็ถูกกว่าออกไปทานข้างนอกอยู่แล้วค่ะ อย่างที่คุณเคทว่าเลยค่ะ สิ่งสำคัญของนักเก็บสะสมก็คือร่างกาย ถ้าเกิดป่วยไม่สบายขึ้นมา ผลก็จะทำให้การจ่ายหนี้ช้าลงไปด้วย ดีมั้ยล่ะคะ?”
“เรื่องนั้น ฉัน ซาบซึ้งมากนะคะ แต่…”
“ใช่ค่ะ แต่ คุณผู้จัดการ แบบนั้นจะดีเหรอคะ?”
“ไม่มีปัญหาเลยค่ะ ยังไงซะ วันนึง ฉันก็คิดเรื่องจะทำห้องครัวให้ดีอยู่แล้วล่ะค่ะ อ๊ะ โลเรียจังไม่ต้องจ่ายค่าอาหารนะ เพราะชดเชยด้วยการเป็นคนทำอาหารเรียบร้อยแล้ว”
“แต่ว่า แค่เงินค่าจ้างที่ฉันได้ตอนนี้ก็ดีแล้วนะคะ…”
“ไม่ได้ๆ มันเป็นงานที่อยู่นอกสัญญาเดิม ฉันจะทำให้ดีเลยล่ะ”
เรื่องมุบมิบแบบนั้นน่ะ ทำไม่ได้เด็ดขาดเลย
ร้านเล่นแร่ของซาราสะ จะเป็นต้องบริษัทที่ขาวสะอาดนะ
จริงๆ ฉันจะให้ค่าจ้างเพิ่มก็ได้ แต่โลเรียจังไม่อยากจะรับเท่าไหร่
“ถ้างั้น จากนี้ พวกเราทุกคนมาทานด้วยกันนะคะ เอาล่ะ! ตัดสินแล้วนะคะ! ใช้อำนาจของเจ้าของบ้านเลย!”