บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 120 ความวุ่นวายเพราะธูปดอกแรก
ฟางอวิ๋นจิ้งฝากข้อความไว้ให้ฟางเจิ้ง ‘ไต้ซือ ท่านเขียนอักษรสวยจริงๆ อ้อ ขอภาพแบบแอ๊บแบ๊วด้วยค่ะ!’
ฟางเจิ้งเห็นข้อความที่คนพวกนี้ฝากไว้ให้ก็พูดไม่ออกเล็กน้อย หลวงจีนสง่างามอย่างเขาจะมีแต่ภาพแอ๊บแบ๊วรึไง? ไม่มีใครขอภาพที่หล่อเหลาเลยหรือ? ไร้ระดับจริงๆ ไม่มีความหมาย!
จากนั้นฟางเจิ้งชูสองนิ้ว ขยิบตาถ่ายภาพแอ๊บแบ๊วอีกรูปก่อนส่งไป พลันสร้างเสียงหัวเราะ
ฟางเจิ้งส่งภาพโคมไฟน้ำแข็งบนเขาไปอีกด้วย…
‘ว้าว! สวยมาก!’
‘พระเจ้า! ไต้ซือ ท่านทำคนเดียวเหรอ? นี่พระราชวังพญามังกร? บ้านผู้หญิง?’
ฟางเจิ้ง ‘@#Y…’
สี่คนนี้แชร์ภาพเหล่านี้ของฟางเจิ้งไปอีกครั้ง เรียกเสียงร้องด้วยความตกใจและคำถามต่างๆ หลังรู้ว่าเป็นเขาเอกดรรชนี แต่ละคนต่างค้นหาในแผนที่จนหาเจออย่างยากลำบาก ดูเส้นทางแล้วทุกคนล้วนล้มเลิกไป…
แต่ชื่อเสียงของวัดเอกดรรชนีกลับกระจายออกไปเล็กน้อย
ฟางเจิ้งเล่นอยู่ครู่หนึ่งก็ออฟไลน์ไป วัดต้องฉลองปีใหม่เหมือนกัน แต่จะมีแค่คำกลอนกับโคมไฟน้ำแข็งไม่ได้…
ฟางเจิ้งมาถึงอุโบสถ ปีนขึ้นที่สูงประดับตะเกียงน้ำมันไว้ข้างบนอุโบสถ ตะเกียงน้ำมันนี้มีแค่ตอนเทศกาลสำคัญเท่านั้นถึงจะประดับไว้ เวลาปกติฟางเจิ้งจะทำใจใช้ไม่ลง ก็น้ำมันตะเกียงมันแพงนี่…
จากนั้นเขาไปหลังลาน หยิบฐานดอกบัวที่ทำจากทองสัมฤทธิ์ไปวางไว้หน้าพระพุทธรูปในอุโบสถ ก่อนจะหยิบเทียนไปวางไว้เล่มหนึ่ง
ที่นี่ใช้น้ำมันตะเกียงไม่ได้ ได้แต่ใช้เทียน ซึ่งมีอยู่สองความหมายแฝง หนึ่งคือจุดไฟตัวเอง ส่องแสงคนอื่น เตือนผู้บำเพ็ญตนว่าต้องนึกถึงทุกสรรพสัตว์และควรพยายามบำเพ็ญเพียรอย่างเต็มที่ จะเหลวแหลกไม่ได้ สองคือมีแสงไฟสยบความมืด สติปัญญาของพระโพธิสัตว์สยบความกลัดกลุ้มได้ ผู้บำเพ็ญตนต้องหยั่งลึกถึงพระสุตตันตปิฎก[1] เรียนรู้สติปัญญาของพระโพธิสัตว์ คำนึงถึงทุกสรรพสัตว์
ฟางเจิ้งนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าแสงไฟ สวดมนต์อวยพร
ยังสวดมนต์ไม่จบ เสียงหมาป่าเดียวดายดังมาจากข้างนอก ทว่าฟางเจิ้งไม่สนใจ วัดเล็กขนาดนี้ จนแบบนี้ น่าจะไม่มีใครขึ้นเขามาปล้นหรอก ต่อให้มี จะผ่านด่านหมาป่าเดียวดายมาได้เหรอ?
หมาป่าเดียวดายอยู่ในวัดมานานขนาดนี้ กินข้าวผลึกทุกคืนวัน ดื่มน้ำบริสุทธิ์ คุณสมบัติร่างกายยกระดับขึ้นสูงมากแล้ว ถ้ากลับไปในพื้นที่ป่าเขาคงจะแย่งตำแหน่งจ่าฝูงกลับมาอย่างง่ายดาย เป็นจ่าฝูงหมาป่า แถมยังมีสติปัญญา คนธรรมดาจะเอาชนะได้ยังไง?
หมาป่าเดียวดายไม่ทำร้ายคนอื่นตามอำเภอใจด้วย ดังนั้นฟางเจิ้งเลยเบาใจมาก สวดมนต์อย่างสงบ!
ฟางเจิ้งสงบ แต่มีคนไม่สงบ!
“เฉินจิน พูดจริงเหรอ?” อู้หมิงได้ยินเสียงจากปลายสายก็แทบจะตะโกน
“จริงครับ! ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นถูกอะไรมอมเมากันถึงได้รวมกันไปแย่งจุดธูปดอกแรกที่เขาเอกดรรชนี ไต้ซืออู้หมิง เอ่อ…ท่านจะจัดการรึเปล่าครับ?” ตอนนี้เฉินจินไม่พอใจฟางเจิ้งมาก เห็นชาวบ้านจะขึ้นเขาไปจุดธูปจึงรายงานอู้หมิงทันที
อู้หมิงได้ยินดังนั้นก็โกรธ! ตอนล่าปาวัดผาแดงถูกแย่งแสงไฟธูปไปยังพอว่า วันนี้จะมาแย่งคนจุดธูปไปอีกหรือ? วัดเอกดรรชนีจงใจทำแบบนี้กับวัดผาแดง!
ทว่าอู้หมิงโกรธไปก็ไร้ประโยชน์ ทุกคนจะไปไหนก็ได้ เขาจะจัดการได้ยังไง?
ทว่าอู้หมิงตรึกตรอง เณรรูปหนึ่งจะมีบุญกุศลพอที่ทุกคนจะกราบไหว้? ในนี้มีแปดส่วนที่มีเรื่องแอบแฝง! ตอนเทศกาลล่าปาเขาตกลงไปในหลุม ตอนนี้ยังไม่ทันขึ้นมา ไต้ซือหงเหยียนเรียกเขาไปคุยน้อยครั้งลง เขาจึงร้อนใจอย่างที่เห็น…
ดังนั้นอู้หมิงจึงเงียบ แต่ออกจากวัด ขับรถจักรยานยนต์ฝ่าลมบึ่งไปเขาเอกดรรชนี!
เฉินจินรออยู่ที่นี่นานแล้ว
อู้หมิงลงรถก็ถาม “สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”
“ขึ้นเขาไปแล้ว ตอนนี้ยังตามทัน!” เฉินจินตอบ
อู้หมิงพยักหน้า รีบเดินขึ้นเขากับเฉินจิน ตามชาวบ้านไป
ส่วนตามทันไหมอู้หมิงยังไม่ได้คิด แค่ขึ้นไปดูลงมือตามโอกาสก็พอ สรุป ฟางเจิ้งไม่ให้เขาฉลองปีใหม่สงบๆ เขาก็จะไม่ให้ฟางเจิ้งสงบเหมือนกัน!
ในเวลาปกติอู้หมิงซ้อมร่างกายไม่น้อย จึงไม่ต้องพูดถึงการขึ้นเขา แต่พวกชาวบ้านมีคนชราและเด็ก พูดคุยหัวเราะกันตลอดทาง ไม่นานอู้หมิงก็ตามทัน
“หลวงพี่อู้หมิง ท่านมาทำไมกัน?” หยางผิงที่อยู่ข้างหลังเห็นอู้หมิงเลยถามขึ้นอย่างตกใจ
อู้หมิงปาดเหงื่อตรงหน้าผาก ประนมสองมือสวดไปบทหนึ่ง จากนั้นทำหน้าเศร้าสลดน่าสงสาร กล่าวด้วยความอบอุ่นและมีเมตตา “โยมหยาง ไม่ได้เจอกันนานนะ”
“นานจริงๆ ครับ หลวงพี่อู้หมิง ท่านเอ่อ?” หยางผิงเป็นนักบัญชี แตกฉานเข้าใจโลกและนิสัยคน พอเห็นอู้หมิงกับเฉินจินจึงร้องเวรในใจ นี่คงจะเกิดเรื่องแล้ว! ดังนั้นเลยรีบเรียกอู้หมิงไว้
อู้หมิงหัวเราะเหอะๆ “ไม่มีอะไร แค่เร็วๆ นี้ได้ยินว่าวัดเอกดรรชนีเกิดเรื่องมากมาย ตอนนั้นหลวงจีนหนึ่งนิ้วกับอาจารย์รู้จักกัน เลยตั้งใจมาเยี่ยมเยือน” ปากบอกแบบนี้ แต่ในใจไม่ใช่เลย ก่อนหน้านี้หยางผิงเรียกเขาไต้ซืออู้หมิง! วันนี้กลับเรียกหลวงพี่ รู้สึกว่าตัวเตี้ยลง ในใจย่อมไม่สุขสบาย!
แม้อู้หมิงจะรู้ว่าใครที่เป็นไต้ซือได้ แต่เขาที่หยิ่งยโสมากยังหวังจะให้ชาวบ้านโง่เขลาในสายตาตนเรียกเขาว่าไต้ซือ…
“เป็นอย่างนี้เอง หลวงพี่อู้หมิง ผู้ใหญ่บ้านอยู่ข้างหน้า ให้ผมพาไปไหม?” หยางผิงกล่าว
อู้หมิงพยักหน้า “ก็ดี รบกวนโยมด้วย”
หยางผิงให้ภรรยากับลูกตนเดินช้าหน่อย ส่วนตนพาอู้หมิงขึ้นไป เฉินจินตามอยู่ข้างหลัง เงียบกันตลอดทาง
“อ้าว หลวงพี่อู้หมิง ท่านมายังไงล่ะ?” หวังโอ้วกุ้ยเห็นอู้หมิง คิ้วก็ขมวดเป็นปม อู้หมิงเป็นหลวงจีนที่ต่างกับรูปอื่นในวัดผาแดง พวกหลวงจีนหงเหยียนจะลงเขาน้อยครั้งมาก ทว่าอู้หมิงกลับลงเขาประจำ ไปเยี่ยมเยือนผู้ใหญ่บ้าน เสมียนอะไรพวกนี้ตามที่ต่างๆ ทุกครั้งที่วัดมีงาน เขาจะไปป่าวประกาศ และมักจะมีเหตุผลให้ทุกคนเกรงใจเขา ช่วยกันป่าวประกาศด้วย
ในสายตาหวังโอ้วกุ้ย อู้หมิงไม่เหมือนนักบวช แต่เหมือนพ่อค้า! ทว่าเขาพูดไปไม่ได้ ถึงยังไงอู้หมิงก็ยังไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายอะไร แค่ประกาศวัดตนเท่านั้น เลยได้แต่ปล่อยผ่าน
“โยมหวัง พวกโยมขึ้นเขากลางคืนแบบนี้จะไปไหนกันหรือ?” อู้หมิงไม่ตอบ แต่แสร้งถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว
“จะปีใหม่แล้ว ทุกคนอยากจะแย่งจุดธูปดอกแรกกัน อวยพรให้ปีหน้าฝนตกมาทันช่วงฤดูเพาะปลูก พวกเราเลยขึ้นเขาไปด้วยกัน” หวังโอ้วกุ้ยตอบ
“เป็นแบบนี้เอง…เส้นทางเขาเดินยาก มีคนชราและเด็ก ไม่มีไฟ มันอันตรายไปหน่อยไหม” อู้หมิงพูดต่อทันที
หวังโอ้วกุ้ยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นหลวงพี่อู้หมิงว่ายังไงล่ะครับ?”
อู้หมิงยิ้มไม่ตอบ แต่เฉินจินข้างหลังตอบแทน “ฉันว่านะ ภูเขาเอกดรรชนีสูงเดินยาก ไม่เหมาะจะเดินกลางคืนหรอก กลับกันไหมยังทันนะ ไปวัดผาแดงด้วยกัน ที่นั่นน่ะเดินง่าย แถมขับรถไปได้ด้วย”
หวังโอ้วกุ้ยถลึงตามองเจ้านี่ที่ไม่หันเข้ามากันเองแต่หันหาคนนอก “ช่างเถอะ ในหมู่บ้านไม่มีรถใหญ่ ทุกคนต้องขี่รถมอเตอร์ไซค์ไป อากาศหนาวแบบนี้ไม่ไหวหรอก อีกอย่างมันอยู่ไกลขนาดนั้น เรามีทั้งคนแก่และเด็กเดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุเอาง่ายๆ”
หยางผิงพูดเสริม “ใช่ เดินมาครึ่งทางแล้ว มีเหตุผลอะไรต้องถอยล่ะ เฉินจิน ถ้านายคิดว่าวัดผาแดงสะดวกสบายก็ไปสิ ขับรถเล็กที่บ้านนายไปก็สะดวกดี”
……………………………………………………
[1] พระสุตตันตปิฎก เป็นบันทึกเรื่องเล่าต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล