บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 128 เฉินจินขอโทษ
ป้ายนี้ต่างกับป้ายที่เพิ่งหายไป นี่คือป้ายวัดตอนแรกที่เบี้ยวๆ พังๆ!
“ระบบ ฉันคิดว่านายทิ้งมันไปแล้วซะอีก…” ฟางเจิ้งถามด้วยความซาบซึ้งใจ
“ในป้ายนี้รวมบุญกุศลครั้งใหญ่ไว้ และยังมีข้อผูกมัดของคน ดังนั้นเลยเก็บไว้ให้นาย ถ้านายไม่ได้เรื่องฉันจะคืนให้นาย นายจะกลับไปจุดเริ่มต้น ถ้านายผ่านการฝึกจิตใจก็จะคืนให้นายเหมือนกัน” ระบบกล่าว
“ขอบคุณ” ฟางเจิ้งขอบคุณระบบเป็นครั้งแรก หลังสวดไปบทหนึ่งแล้วก็แขวนป้ายนี้ไว้บนผนังห้องอย่างระมัดระวัง นี่คือป้ายที่หลวงจีนหนึ่งนิ้วสร้างด้วยมือตัวเอง ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไรฟางเจิ้งก็พบว่าเขาคิดถึงหลวงจีนหนึ่งนิ้วมากขึ้นเท่านั้น วัดสร้างใหม่อยู่เรื่อยๆ ของในอดีตลดน้อยลง ในใจย่อมไม่เป็นสุขยิ่ง
ตอนนี้แขวนป้ายไว้ในห้องแล้ว ฟางเจิ้งเกิดความรู้สึกเหมือนหลวงจีนหนึ่งนิ้วอยู่กับเขา อารมณ์ดีขึ้นเยอะ ตอนนี้เองมีเสียงตะโกนดังแว่วมาจากข้างนอก
ฟางเจิ้งออกไปดู เดินไปหน้าวัดก็อึ้งไปโดยพลัน เห็นพวกเฉินจิน เฉินหลง ซูหงถือถุงเล็กถุงใหญ่ยืนอยู่หน้าประตูวัด พอเห็นเขาก็ยิ้มเบิกบาน ยิ้มจนฟางเจิ้งขนลุกเล็กน้อย”
“หลวงพี่ฟางเจิ้ง ขอบคุณนะ!” พอเห็นฟางเจิ้งซูหงก็ร้องไห้ วิ่งเข้ามาคุกเข่าบนพื้น ซูหงเป็นคนสมัยเก่า แม้จะเรียนหนังสือไปได้ไม่กี่ปี แต่กลับรู้จักทดแทนบุญคุณคน ฟางเจิ้งช่วยชีวิตครอบครัวตนไว้ จึงแค่อยากขอบคุณจากใจจริงเท่านั้น ทว่าเธอไม่รู้จะทำยังไง การคุกเข่าเป็นการกระทำโดยจิตใต้สำนึก แค่อยากบอกฟางเจิ้งว่าเธอขอบคุณจากใจจริง
เฉินหลงกับภรรยาเป็นคนสมัยใหม่ จะให้คุกเข่าก็ทำไม่ลง ทว่าก็พาลูกมาขอบคุณตรงหน้าฟางเจิ้ง
เฉินจินตามมาข้างหลัง ไม่ออกเสียง ใบหน้าแดงเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายมั่วไปหมด เห็นได้ชัดว่าเป็นคนหัวแข็งแถมยังเกิดการต่อสู้ดิ้นรนในใจ เขาไม่ยอมพูดเพราะศักดิ์ศรี จะให้อ้าปากขอโทษเหรอ…นี่ล่ะปัญหา
ฟางเจิ้งตกใจสะดุ้งที่ซูหงคุกเข่า จึงจะเบี่ยงตัวหลบ แต่ว่า…
“ติ๊ง! ช่วยคนมีค่ามากกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น นายช่วยคนก็ต้องรับการคุกเข่า ทำเรื่องดีนั้นสำคัญ แต่ทำเรื่องดีก็ต้องได้รับผลตอบแทน นี่ต่างหากคือเหตุและผล การให้โดยไม่รับผลตอบแทนใดๆ เท่ากับมอบคัมภีร์ให้ไปง่ายๆ ผลที่ตามมาจะตรงข้ามกัน”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็เข้าใจความหมายของระบบจึงไม่หลบ แต่ประนมสองมือสวดบทหนึ่ง “อมิตพุทธ โยมอย่าทำแบบนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ” กล่าวจบ ฟางเจิ้งประคองซูหงขึ้นมา
“ไต้ซือ เป็นนายจริงๆ เหรอ?” เฉินหลงมองฟางเจิ้งด้วยความตกใจ แม้ตอนนั้นเขาก็เห็นฟางเจิ้งเหมือนกัน แต่ว่าฟางเจิ้งไม่ยอมรับ เขาเลยไม่แน่ใจ ถ้าเป็นภาพหลอนจริงๆ ล่ะ? แม้ความเป็นไปได้จะไม่มากก็เถอะ…
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “อาตมาไม่ใช่ไต้ซือ เป็นเพียงนักบวชเท่านั้น ส่วนเรื่องเมื่อวาน นั่นคือผลตอบแทนความดีของโยม”
ฟางเจิ้งไม่ปริปากเด็ดขาด ไม่ได้บอกว่าเขาทำเรื่องเมื่อวานหรือไม่ ทั้งไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ บางเรื่องเขาไม่อยากอธิบาย เพราะอธิบายยาก ต่อให้อธิบายเข้าใจก็มีปัญหาเยอะอีก
ภรรยาเฉินหลงตกใจเหมือนกัน การวิเคราะห์ของเฉินจินมีเหตุผล ทว่าฟางเจิ้งลงเขายังไง? เหาะลงเขา? ขณะจะเอ่ยถาม…
กลับได้ยินเฉินจินต่อว่า “จะถามอะไร?!”
ภรรยาเฉินหลงตกใจสะดุ้งและเงียบไป เฉินจินตรงเข้าไปจ้องฟางเจิ้ง แววตาเคร่งขรึมอย่างยิ่ง
ฟางเจิ้งไร้กังวล แน่นอนว่าไม่กลัวจ้องตาอีกฝ่าย ซ้ำประนมสองมือ รอยยิ้มอ่อนโยนและโปร่งใส จ้องตอบอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
หลายนาทีต่อมาเฉินจินถอนหายใจ “ฟางเจิ้ง ขอโทษ ก่อนหน้านี้ฉันสับสน หน้าด้านหน้าทนเพราะเงินและชื่อเสียงนิดหน่อย ติดตามไอ้หลวงจีนสารเลวอู้หมิงก่อความวุ่นวายไปทั่ว ทำลายชื่อเสียงแก แทบจะทำลายความดีของแก ฉันยอมรับผิดเรื่องนี้ ถ้าแกไม่พอใจก็ต่อยฉันเถอะ…”
ฟางเจิ้งมองตาแก่หัวแข็งตรงหน้าแล้วพลันยิ้ม เขาสนิทกับเฉินจินไม่มาก แต่ก็รู้นิสัยตาแก่หัวแข็งนี่ ทั้งหัวแข็งและมีความโลภในเงินทองกับชื่อเสียง ไม่อย่างนั้นตอนนั้นคงไม่โยนจอบทิ้งแล้วตามกระแสน้ำลงทะเลไป ตอนที่ไม่ประสบความสำเร็จ เป็นตายยังไงก็ไม่ยอมกลับหมู่บ้าน จนกระทั่งสำเร็จอายุก็มากแล้วถึงกลับมา
อีกอย่างเฉินจินมีชื่อเสียงเรื่องตีให้ตายยังไงก็ไม่ยอมรับผิด ฟ้าผิด ดินผิด แต่เขาไม่มีผิด ดังนั้นเลยเกิดความขัดแย้งหลายครั้ง
ฟางเจิ้งไม่คาดคิดเลยว่าเฉินจินจะมาสำนึกผิดกับเขาเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เป็นประวัติการณ์จริงๆ เลยยังติดๆ ขัดๆ อยู่บ้างเป็นธรรมดา! ทว่าฟางเจิ้งก็ยังประนมสองมือ “โยม ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก โลกมีความทุกข์ยากมากมาย กิเลสบดบังดวงตา ยากจะเลี่ยงช่วงที่มองเห็นไม่ชัด”
เฉินจินพยักหน้า “แกเป็นเด็กดีนะ รู้ว่าฉันไม่ใช่คนดีแต่ก็ยังช่วยครอบครัวฉัน ชีวิตนี้ฉันไม่เคยติดค้างบุญคุณใคร นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ชดใช้ทั้งชีวิตก็ไม่หมด”
ซูหงด่ายิ้มๆ “คำพูดแบบนี้ออกมาจากปากตาแก่อย่างคุณได้นี่ หายากจริงๆ นะ เหอะๆ…”
เฉินจินแบะปาก “นั่นเพราะฉันไม่ยอมคนอื่นหรอก?!”
เฉินหลงรีบกล่าว “ใช่ๆๆ พ่อเราเจ๋งที่สุด หลวงพี่ฟางเจิ้ง เอ่อ ขอถามหน่อยสิ นายลงเขายังไง? ทำไมถึงเร็ว…”
“อะไรๆๆ…มีอะไร? ควรถามก็ถาม ไม่ควรถามก็อย่าถาม” เฉินจินต่อว่าทันที เฉินหลงยิ้มหน้าเหยเกย เข้าใจความหมายของเฉินจิน
เห็นได้ชัดว่าฟางเจิ้งไม่อยากพูด พวกเขาก็จะไม่ถาม อย่างเช่นทำไมฟางเจิ้งถึงไม่กลัวไฟ ทำไมถึงแบกคานบ้านได้…คำถามเหล่านี้ถามไปจะรังแต่สร้างปัญหามากมาย
ส่วนเฉินจิน ตอนอยู่ตีนเขาเอะอะโวยวายอยู่ตลอดว่าจะขึ้นภูเขามาถาม ความจริงแล้วเขาก็พูดไปอย่างนั้น คนอื่นไม่เชื่อ แต่ภรรยาลูกตนเขาจะไม่เชื่อได้เหรอ? ไฟเผาไม่ตาย คนที่เขียนอักษรปกป้องคนได้ จะเป็นคนธรรมดาได้เหรอ? บินลงเขามาก็ถือว่าไม่แปลก
เขาคิดอะไรหลายอย่างระหว่างทาง คิดถึงสิ่งต่างๆ มากมาย ฟางเจิ้งเป็นคนมีความสามารถอย่างแท้จริง และยังเป็นผู้มีพระคุณกับเขา แน่นอนว่าเขาจะต้องปกป้อง จะไปสร้างปัญหาให้ฟางเจิ้งอีกได้ยังไง? ถ้าอย่างนั้นเขาคงเป็นตาแก่เลอะเลือนที่แยกแยะถูกผิดอะไรไม่ได้จริงๆ!
นี่ถึงได้มีคำพูดอย่างตอนนี้
ถึงเฉินหลงจะตำหนิเฉินจินอยู่เล็กน้อยที่ตอนอยู่ตีนเขาอีกอย่าง บนเขาเปลี่ยนไปอีกอย่างก็ตาม แต่พอเห็นว่าในที่สุดพ่อตนตาสว่างสักทีก็ดีใจมากกว่า
ซูหงกล่าว “เอาละๆๆ เรื่องผ่านไปแล้ว หลวงพี่ฟางเจิ้ง เอ่อ…ข้าวของบ้านอาถูกเผาไปหมดแล้ว เลยเอาของดีๆ มาให้แกไม่ได้ พวกเราก็เลยรีบไปซื้อของมาให้น่ะ เป็นสินน้ำใจช่วยรับไว้เถอะนะ” ซูหงพูดจบ เฉินหลงรีบส่งถุงผักสดกับของจำเป็นในชีวิตต่างๆ ให้ฟางเจิ้ง
……………………