บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 129 ข่าวการตาย
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็รับมาอย่างสุภาพเหมาะสม เปิดดูแวบหนึ่งก็ยิ้ม ‘โห! ผักสดเยอะขนาดนี้เลย เอาไปห่อเกี๊ยวกินได้สักมื้อหนึ่ง เหอะๆ…’
พอเห็นรอยยิ้มฟางเจิ้งรวมถึงในมุมของเด็ก พวกซูหงก็ยิ้มเหมือนกัน พริบตานั้นช่องว่างระหว่างฐานะไต้ซือกับคนธรรมดาพลันหายไป เหมือนกลับไปในตอนนั้น ฟางเจิ้งก็คือฟางเจิ้ง พวกเขาก็คือพวกเขา บรรยากาศกลมกลืนกันอย่างดี…
“แกอยากกินเกี๊ยวเหรอ? เดี๋ยวอาจะทำแป้งหมี่มาให้ ห่อเกี๊ยวแช่แข็งพันลูกไว้ให้! อยากกินเมื่อไรก็กิน!” ซูหงเอ่ยต่อทันที
ฟางเจิ้งยิ้มเบิกบานใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณโยมมาก แต่อาตมาไม่รีบ พวกโยมจัดการเรื่องหลังจากไฟไหม้ก่อนเถอะ ถ้าต้องการจริงๆ อาตมาจะช่วยอย่างเต็มที่”
เฉินจินกล่าว “ไม่ต้องสนใจหรอก เรื่องบ้านเดี๋ยวไอ้เด็กเหม็นโฉ่นี่จัดการเอง!”
เฉินจินเตะเฉินหลงไปทีหนึ่ง
เฉินหลงหัวเราะแหะๆ “มีพ่อแบบนี้ ก็คงไม่มีใคร…”
แต่แลกกลับมาเป็นโดนตบไปทีหนึ่ง…
หลังทะเลาะกันเสร็จ คนเหล่านี้เดินเข้าไปจุดธูปในวัด พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าไม่มีพระพุทธรูปพระแม่กวนอิมปางประทานบุตรแล้ว แต่มีผ้าใหญ่สีแดงเพิ่มมา ด้านบนวาดเป็นพระแม่กวนอิมปางประทานบุตรกับพระแม่กวนอิมปางพันเนตรพันกร พวกเขาต่างดีใจใหญ่ เดิมทีจะมาจุดธูปไปอย่างนั้นเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินค่าธูปให้ฟางเจิ้ง ถึงยังไงพวกเขาก็มีลูกแล้ว ไม่ได้จะมาขออะไรอีก
ตอนนี้มีพระแม่กวนอิมปางพันเนตรพันกรจึงต่างออกไป สามารถขออะไรได้มากมาย!
เฉินจินกับซูหงขอให้ครอบครัวปลอดภัย เฉินหลงขอให้การงานราบรื่น ภรรยาเฉินหลงขอให้ลูกเติบโตแข็งแรง ส่วนลูกขอขนมเยอะๆ…
หนึ่งคนธูปหนึ่งดอก เสร็จแล้วก็ลากลับ บ้านตนถูกไฟไหม้หนัก จากนี้คงมีอะไรให้ต้องทำอีกเยอะ พวกเขาต้องจัดการด้วยตัวเองทั้งนั้น ไม่เหมาะจะอยู่บนเขานานเกินไป
หลังส่งพวกเขาแล้ว ฟางเจิ้งมองหัวไชเท้า ผักกาดขาวและขึ้นฉ่ายถุงใหญ่…ก่อนเผยรอยยิ้ม “จึ๊ๆ ในที่สุดก็ได้กินผักใบเขียวสักที ถ้าไม่ได้กินก็จะลืมว่าผักพวกนี้รสชาติเป็นยังไง ระบบ ตอนนี้ฉันลงเขาได้อย่างอิสระแล้วใช่ไหม?”
“ได้ แต่ว่า นายมั่นใจนะว่าจะไม่ให้ใครเฝ้าวัด?” ระบบถาม
ฟางเจิ้งตอบ “ก็มีนายไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันดูแลเรื่องพวกนี้ไม่ได้ อีกอย่าง ถ้าวัดถูกปล้นหรือถูกทำลาย จะหักคะแนนบุญกุศลของนาย อีกทั้งยังส่งผลถึงการประเมินทุกภารกิจของนายด้วย ดังนั้น คิดให้ดีๆ ก่อนค่อยลงเขา” ระบบว่า
ฟางเจิ้งเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ถึงวัดฉันจะมีของมีค่าเพิ่มมา แต่คนที่มาก็เป็นคนในหมู่บ้านกันทั้งนั้น ใครจะมาขโมยของ? อีกอย่างวัดเราก็มีผู้ปกปักด้วย”
แม้จะพูดแบบนี้ แต่หมาป่าเดียวดายเอาแน่เอานอนไม่ได้ วิ่งเล่นไปทั่วทั้งวัน มักจะไม่อยู่บ้าน ดังนั้นจะหวังพึ่งมัน? ฟางเจิ้งคิดว่ากระรอกน่าพึ่งพากว่าอีก พอเงยหน้ากระรอกก็ไม่อยู่บ้านเหมือนกัน ไม่รู้ไปวิ่งเล่นที่ไหน
ฟางเจิ้งเก็บคำพูดที่เพิ่งพูดไปเมื่อครู่กลับมา ตัวเขาเองพึ่งพาได้ที่สุดแล้ว!
ตรงตีนเขา เฉินจินกลับมาอยู่หน้าซากบ้าน มองซากพลางขมวดคิ้วเป็นปม
เฉินหลงกล่าว “พ่อ ไหม้ก็ไหม้ไปแล้ว อย่าเสียใจเลย เดี๋ยวผมจะหาบ้านที่ดีกว่านี้ให้”
“แกจะรู้อะไร ปู่ย่าแกเป็นคนสร้างบ้านหลังนี้ ในนั้นมีของต่างหน้าเยอะเลย ฉันถึงทำใจรื้อสร้างใหม่ไม่ได้ไง ตอนนี้ไปหมดแล้ว…เฮ้อ…” เฉินจินถอนหายใจ บนใบหน้ามีความแก่ชราเพิ่มมาหลายส่วน
ซูหงจับมือเฉินจิน “ไหม้ก็ไหม้ไปแล้ว อย่าคิดมากน่า”
“ให้หยุดคิดได้เหรอ? ไฟไหม้นี่มันผิดปกติเกินไปรึเปล่า? คนในหมู่บ้านขึ้นเขากันหมด แล้วไฟจะมาจากไหน?” เฉินจินแค่นเสียงขึ้นจมูก
เฉินหลงร้องด้วยความตกใจ “พ่อจะบอกว่ามีคนวางเพลิงเหรอ?”
“ไม่รู้ แต่ก็มีความเป็นไปได้! ก่อนหน้านี้ที่ไฟไหม้เป็นเพราะพวกเด็กซนจุดประทัด แต่ครั้งนี้ฉันว่ามันไม่ง่ายแบบนั้น พวกแกรออยู่นี่ ฉันจะไปคุยกับเสมียนและผู้ใหญ่บ้าน ไม่ว่ายังไงจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้ จะต้องมีคำอธิบาย!” กล่าวจบเฉินจินก็เดินไป
พวกซูหงมองหน้ากัน สีหน้ามืดทะมึนลงเล็กน้อยพร้อมกัน ถ้ามีคนวางเพลิงจริงๆ นั่นก็…
ฟางเจิ้งไม่รู้เรื่องตรงตีนเขา ตอนบ่ายเขานำผักสดออกมา เด็ดล้างให้สะอาดแล้วทำซุปผักสดหม้อหนึ่ง ใส่น้ำบริสุทธิ์เข้าไป ฟางเจิ้ง หมาป่าเดียวดายและกระรอกที่ซดน้ำซุปที่ตุ๋นเสร็จต่างอยากหยุดแต่ไม่อาจรั้งไว้ได้ สุดท้ายนอนแผ่ขี้เกียจบนพื้น
หนึ่งคืนผ่านไปเงียบๆ…
วันที่สองฟางเจิ้งตื่นเช้ามาทำความสะอาดอุโบสถ ขณะเดียวกันก็ตรึกตรองถึงเรื่องราวหลังจากนี้ ตอนนี้ลงเขาได้แล้ว เขาก็อยากออกไปบ้าง พอกรงเปิด นกน้อยย่อมอยากบิน
ตอนนี้เอง…
“ไต้ซือ สวัสดีค่ะ” ตอนนี้เองมีเสียงแฝงไว้ด้วยความเศร้าหลายส่วนดังแว่วมาจากประตู
ฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้นก็ตะลึงงัน คนที่มาเป็นคนรู้จัก! เป็นผู้หญิงหน้าเศร้าหมองอุ้มเด็กหญิงผมสั้น เด็กหญิงผมสั้นมีสีหน้าเศร้าบางๆ เหมือนกัน
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจ เดินมาอยู่หน้าสองคน ประนมสองมือ “อมิตพุทธ โยมทั้งสอง ระงับความโศกเถอะ”
“ไต้ซือ ต้องมารบกวนท่านแล้ว” หลู่ซวงซวงตาแดง
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “โยมทั้งสองเข้ามา”
หลู่ซวงซวงอุ้มเด็กหญิงหมี่ลี่เข้ามา ตอนนี้ฟางเจิ้งก็เป็นคนที่มีม้านั่งแล้ว ย่อมไม่ให้แขกนั่งบนหินหรือพื้นอีก เขายกกระถางไฟมาวางไว้ ก่อนพวกเขานั่งลง
หลู่ซวงซวงส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้ฟางเจิ้ง “ตอนหานเซี่ยวกั๋วไปได้ฝากจดหมายฉบับนี้ไว้ให้ฉัน ให้ฉันเอามาให้ไต้ซือ”
นั่นคือซองจดหมายหนัง ด้านบนไม่มีแสตมป์ มีเพียงอักษรหกตัวใหญ่ ‘ไต้ซือฟางเจิ้งเปิดด้วยตัวเอง’!
ฟางเจิ้งเปิดดูก็เห็นกระดาษไร้อักษร! เขาจึงเข้าใจแจ่มแจ้ง ประนมสองมือ “อมิตาพุทธ”
ไร้อักษรคือไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้พูดอะไรก็คือไม่เสียใจ
ทว่าหลู่ซวงซวงพาเสียวหมี่ลี่มา นี่อธิบายได้ว่าหานเซี่ยวกั๋วไม่ได้ไม่เสียใจจริงๆ อย่างน้อยเขาก็ยังไม่วางใจเรื่องสองคนนี้
“ไต้ซือ เซี่ยวกั๋วไปแล้ว จิตใจฉันว้าวุ่นไปหมด อยากจะอยู่วัดบนเขาสักสองสามวันเงียบๆ ได้ไหมคะ?” หลู่ซวงซวงถาม
ฟางเจิ้งตะลึงงัน จากนั้นส่ายหน้ายิ้มๆ “ขอโทษด้วยโยม โยมก็เห็นวัดอาตมาแล้ว เป็นเพียงวัดเล็ก อีกอย่างที่นี่มีแค่อาตมาคนเดียว ไม่เหมาะจะต้อนรับสีกา”
“อย่างนั้นเองเหรอ…” หลู่ซวงซวงดวงตามัวหมอง เห็นได้ชัดว่าหลังหานเซี่ยวกั๋วถูกตัดสินประหารแล้ว จิตใจเธอแย่มาก
ฟางเจิ้งถอนหายใจ “โยม ถ้าไม่กลัวเหนื่อย อาตมาจัดให้โยมพักอยู่หมู่บ้านเอกดรรชนีตรงตีนเขาได้ชั่วคราว ถ้าอยากมาไหว้พระ ก็มาช่วงกลางวันได้ตลอด”
“ขอบคุณค่ะไต้ซือ” หลู่ซวงซวงได้ยินดังนั้นดวงตาพลันเปล่งประกาย มีราศีขึ้นมา
เสียวหมี่ลี่พูดตาม “ขอบคุณค่ะหัวโล้นใหญ่”
…………………………