บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 15 คุยโวด้วยมาดขรึม
“ฟางเจิ้ง นายอย่าทำให้ดูลึกลับไปหน่อยเลย บอกมาเถอะว่าวัดนี้ซ่อมใหม่ได้ยังไง? แล้วนายไปเอาเงินซ่อมใหม่มาจากไหน?” หยางผิงเป็นนักบัญชี ย่อมรู้ว่าวัดเอกดรรชนียากจนขนาดไหน และรู้ด้วยว่าการจะซ่อมวัดใหม่ต้องใช้เงินไม่น้อย รู้ๆ กันว่าฟางเจิ้งเป็นนักเรียนยากจน ไม่มีเงิน อีกทั้งหลวงจีนหนึ่งนิ้วส่งฟางเจิ้งเรียนจนย่ำแย่แบบสุดๆ แต่วัดนี้กลับซ่อมใหม่อย่างกะทันหัน เขาจึงรู้สึกว่ามันไม่ปกติ
หวังโอ้วกุ้ยก็พูดต่อ “ฟางเจิ้ง เรื่องนี้แกต้องพูดให้ชัดเจนนะ อาไม่ได้เห็นแก่ได้อะไรหรอก แค่รู้สึกว่าแปลกเกินไป กลัวจะมีคนใช้วิธีสกปรกกับแก”
ถานจวี่กั๋วไม่ได้พูดอะไร แต่ความกังวลในแววตาอธิบายทุกอย่าง
ฟางเจิ้งยิ้มตอบกลับ “นักบัญชีหยาง อาหวัง ปู่ถาน คิดมากกันเกินไปแล้ว ยังไงก็ขอบคุณมากนะ”
“ขอบคุณพวกเรา?” สามคนงุนงง
ฟางเจิ้งมองหยางผิงแล้วพูดขึ้น “เมื่อหลายวันก่อน พี่ใหญ่หยางส่งเอกสารราชการมาให้ผม ผมจึงได้เป็นเจ้าอาวาสอย่างถูกต้อง วันนั้น ผมฝันถึงพระพุทธองค์ ท่านบอกว่าผมเป็นผู้มีบุญสิบภพ ชาตินี้จึงจะเติมเต็มความปรารถนาที่ชอบธรรมให้ผมหนึ่งข้อ
ผมบอกว่าอยากให้หลวงตาหนึ่งนิ้วคืนชีพ พระพุทธองค์ไม่ยอม บอกว่าหลวงจีนหนึ่งนิ้วไปทางตะวันตกบรรลุอรหันต์แล้ว กลับมาเกิดในโลกไม่ได้อีก
พอได้ยินว่าหลวงตาบรรลุอรหันต์ก็มั่นใจว่าคงดึงกลับมาไม่ได้อีกแล้ว ผมเลยเปลี่ยนคำขอเป็นให้พระพุทธองค์ซ่อมวัดให้ พระพุทธองค์กลับให้ผมทำความสะอาดวัด หากทำเสร็จก็จะซ่อมวัดให้ วันที่สองผมเลยทำความสะอาดจนเกลี้ยง ไม่คิดเลยว่าพระพุทธองค์จะแสดงอภินิหารจริงๆ เกิดเสียงดังติ๊งๆ แล้ววัดก็เป็นแบบนี้”
ฟางเจิ้งพูดจริงปนโกหก เพียงแต่ว่าเปลี่ยนระบบเป็นพระพุทธองค์ ปิดบังเรื่องราวบางส่วนเท่านั้น นี่คงไม่ถือว่าโกหกหรอกมั้ง…
อย่างน้อยระบบก็ไม่โดดออกมาลงโทษ แค่นี้เขาก็สบายใจแล้ว
พอได้ฟังฟางเจิ้ง หยางผิง หวังโอ้วกุ้ย ถานจวี่กั๋วสามคนมองหน้ากัน พอจะเชื่อก็รู้สึกว่าไร้สาระอยู่เล็กน้อย พวกเขาไม่เชื่อเรื่องพวกปฏิรูปหรือความเชื่อต่างๆ เหล่านี้มานานแล้ว ถ้าจะบอกว่าไม่เชื่อ แล้วสองสามวันเปลี่ยนไปขนาดนี้ได้ยังไง ไม่มีทางที่กำลังคนจะทำได้ อธิบายตามหลักการทั่วไปไม่ได้!
สุดท้ายสามคนนี้ก็ยังยอมรับคำพูดฟางเจิ้งไปโดยนัย ถึงอย่างไรก็ไม่มีคำพูดที่ดีกว่านี้
ถานจวี่กั๋วว่า “ฟางเจิ้ง แกรู้เรื่องนี้ดี อย่าบอกกับคนอื่น ถ้ามีคนถามให้บอกไปว่าหมู่บ้านออกเงินซ่อมให้ ที่เหลือฉันจะช่วยแกแก้ปัญหาเอง”
หยางผิงเบะปากพูดต่อ “เสมียนถาน นี่มันสมัยไหนแล้ว เขาไม่เชื่อเรื่องผีเทพเจ้ากันแล้ว พระพุทธองค์เป็นสิ่งที่ยอมรับให้เชื่อ ถึงผมจะเชื่อมั่นในวัตถุนิยม แต่ก็ไม่คัดค้านความเชื่อคนอื่นหรอก”
“พูดจาเหลวไหล” หวังโอ้วกุ้ยถลึงตามองหยางผิงแล้วเบี่ยงประเด็นไป “ฟางเจิ้ง แกทำอะไรกินในครัวน่ะ? ทำไมหอมจัง?”
ฟางเจิ้งยิ้มตอบ “ผม…” พูดถึงตรงนี้ฟางเจิ้งอึ้งไป เหมือนว่าตอนนี้เขาจะใช้คำว่าผมไม่ได้แล้ว จึงเปลี่ยนคำพูดใหม่ “นี่คือข้าวที่อาตมาปลูกเอง”
“เฮอะๆ…เจ้าเด็กนี่ หัดใช้คำพูดนักบวชแล้วเรอะ ดี ตอนนี้แกเป็นเจ้าอาวาส ต้องทำแบบนี้เป็นธรรมดา นั่นอะไรน่ะ ตักข้าวใส่ชามมาให้อาซิ อาจะลองชิมดูหน่อย” หวังโอ้วกุ้ยหัวเราะ
หวังโอ้วกุ้ยพูดจบก็วางมาดรอกิน
หยางผิงรีบพูดขึ้น “ฉันด้วย ฉันก็จะกินด้วย! อ่อ ให้อาถานชามนึงด้วย!”
สามคนนี้มองฟางเจิ้งด้วยแววตาลุกโชน ช่วยไม่ได้ กลิ่นข้าวหอมแบบนี้มันยั่วยวนจริงๆ หอมจนน้ำลายไหล ปั่นป่วนท้องไปหมด ถ้าไม่กินคงอึดอัดใจจนต้องลนลาน
แต่ว่าฟางเจิ้งกลับส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่ได้”
“อะไรนะ?” หวังโอ้วกุ้ยร้อนรนแล้ว ซ้ำยังกล่าวต่อ “ฟางเจิ้ง พวกเราเป็นญาติกันไม่ใช่เรอะ? ตอนแกเข้าเรียนยังเคยกินข้าวในบ้านพวกเราเลยไม่ใช่เหรอ? ข้าวชามใหญ่ขนาดนี้แกยังกินไปไม่น้อย ตอนนี้ฉันขอกินข้าวชามเดียวก็ไม่ได้รึไง?”
หยางผิงเองก็ไม่สบายตัวเหมือนกัน จึงแค่นเสียงหึหึ “ฉันไม่ได้กินไม่เป็นไร แต่ตอนนั้นอาถานช่วยนายไว้เยอะ ให้กินข้าวชามเดียวจะเป็นอะไร?”
ฟางเจิ้งตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วชี้ไปยังวัดพลางพูดขึ้น “ทุกคนอย่าเพิ่งใจร้อน ดูวัดอาตมาก่อน ต่างกับวัดอื่นยังไง?”
หยางผิงมองอยู่นานก็ไม่เห็นอะไร จึงส่ายหน้า “ไม่เห็นมีอะไรต่างเลย หรือไม่ได้นับถือพระพุทธเหรอ?”
ถานจวี่กั๋วพลันเอ่ยขึ้น “เจ้าเด็กนี่ ตอนแรกคิดว่าไปเรียนแล้วจะมีความลื่นไหลเอาบ้าง ทำไมถึงยังหัวแข็งเหมือนกับหลวงจีนหนึ่งนิ้วกันนะ? เรียนเสียเปล่าจริงๆ…” ถึงถานจวี่กั๋วกำลังต่อว่า แต่กลับยิ้มไปด้วย ดูแล้วไม่ได้โกรธอะไร
“อาถานพูดอะไรผมไม่เข้าใจ?” หยางผิงสงสัย
ถานจวี่กั๋วตอบ “วัดนี้เป็นวัดเล็ก พระเวทโพธิสัตว์ตรงปากประตูอุโบสถใช้สองมือจับคทาสยบมาร นั่นบอกพวกเราว่าวัดนี้เล็กเกินไป ไม่ดูแลเรื่องอาหารและที่พัก นี่คือกฎ เขาฝ่าฝืนกฎไม่ได้ ตอนนั้นหลวงจีนหนึ่งนิ้วก็ปฏิเสธทุกคนที่จะมาพัก เลยทำให้คนไม่พอใจไม่น้อยเลยล่ะ”
หวังโอ้วกุ้ยได้ยินดังนั้นก็พูดจากใจจริง “ฟางเจิ้ง เป็นคนมีหลักการมันก็สำคัญ แต่จะต้องพลิกแพลงกันบ้าง แกจะพัฒนาวัด ตอนนี้จำเป็นต้องพลิกแพลงเรื่องสังคมนะ”
ฟางเจิ้งประนมมือโค้งตัวคารวะพร้อมพูดขึ้น “อมิตพุทธ ขอบคุณอาหวังที่สั่งสอน แต่ว่า ในเมื่ออาตมาบวชเป็นนักบวชแล้วก็ควรจะปฏิบัติตามกฎ จะไปเกินเลยตามอำเภอใจได้ยังไง?”
หยางผิงพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด “พูดอะไรมากมาย ยังไงก็ไม่ให้กินใช่ไหมล่ะ? ถ้าไม่ให้ฉันกิน ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!” หยางผิงหิวจริงๆ แล้ว ไม่ได้กินข้าวแต่เช้าก็ต้องปีนเขา ตอนนี้ได้กลิ่นหอมโชยขนาดนี้ หนอนตะกละในท้องใกล้จะก่อกบฏ ยึดสมองเขาไปแล้ว
หวังโอ้วกุ้ยมองฟางเจิ้งอย่างประจบ ถานจวี่กั๋วเงียบ ความหมายชัดเจนมากคือเขาอยากกิน!
ฟางเจิ้งหัวเราะแห้งๆ ก่อนถามระบบในใจ ‘จะทดแทนบุญคุณในอดีตตอนนี้ได้ไหม?’
“วันอื่นเป็นเหตุ วันนี้เป็นผล ไม่ทดแทนก็ยังมีเหตุและผล ทดแทนก็ตัดเหตุและผล”
ฟางเจิ้งเข้าใจแจ่มชัด ยิ้มเล็กน้อย “ในเมื่ออย่างนั้น พวกเราต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อน มื้อในวันนี้จะถือว่าเป็นการทดแทนคุณ กินได้ แต่วันหน้าจะมาขอกินอีกไม่ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นอาตมาจะทำผิดกฎจริงๆ แน่นอนว่าหากวัดใหญ่ขึ้นแล้วก็จะต้อนรับได้ ถ้าพวกอามา อาตมาจะต้อนรับอย่างดี”
“นี่ก็พอแล้ว อย่าพูดมากหน่า รีบเอาข้าวมา!” หวังโอ้วกุ้ยมีสีหน้าดีใจ ยิ้มเบิกบาน
ฟางเจิ้งกลับเข้าไปในครัว ตอนนี้ข้าวสุกพอดี
พอเปิดฝาหม้อ ไอร้อนสีขาวโชยขึ้น กลิ่นหอมข้าวสวยฟุ้งกระจายตาม กลิ่นหอมจางๆ ในตอนแรกกลายเป็นเข้มข้น ให้กลิ่นหอมหวานประหนึ่งในอากาศมีน้ำหวาน!
ทุกคนกลืนน้ำลายลงคอโดยไม่รู้ตัว ยืดคอมองไปข้างในเพราะรอไม่ไหวแล้ว
ตอนนี้ฟางเจิ้งถึงพบสิ่งที่น่าเศร้า เขาหุงแค่สำหรับคนเดียว! จะแบ่งยังไงดี?
หวังโอ้วกุ้ยเห็นฟางเจิ้งกำลังเหม่อจึงพูดเร่ง “ฟางเจิ้ง ทำอะไรน่ะ? เร็วๆ หน่อย อาหิวจะแย่แล้ว!”
………………………….