บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 16 สำนึกเสียใจภายหลัง
ฟางเจิ้งยิ้มเฝื่อนพลางพูดขึ้น “ไม่รู้ว่าพวกโยมจะมา อาตมาเลยหุงแค่คนเดียว จะแบ่งยังไงล่ะ?”
หวังโอ้วกุ้ย หยางผิง ถานจวี่กั๋วสามคนอึ้งงัน ก่อนวิ่งเข้าไปดูในหม้อ มีแค่สำหรับหนึ่งคนจริงๆ! อย่างมากก็เป็นข้าวชามใหญ่เท่านั้น
ตอนที่ได้ยินว่ามีแค่ชุดเดียว หวังโอ้วกุ้ยยังอยากพูดว่าให้หุงเพิ่ม แต่พอเห็นไอร้อนที่โชยมาจากในหม้อแล้ว กลับต้องกลืนคำพูดกลับไป น้ำลายไหลอย่างหยุดไว้ไม่ได้ “นี่มันข้าวอะไร? ทำไมถึงสวยแบบนี้?”
หยางผิงก็ชมเช่นกัน “พระเจ้า ทำมาจากผลึกรึไงเนี่ย?”
ถานจวี่กั๋วกล่าวขึ้นด้วยความตกตะลึง “ฉันรู้จักข้าวมาทั้งชีวิต ไม่เคยเห็นข้าวที่หอมแบบนี้มาก่อนเลย! ฟางเจิ้ง แกยังมีเมล็ดข้าวแบบนี้อยู่อีกรึเปล่า? ให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
หวังโอ้วกุ้ยกับหยางผิงมองฟางเจิ้งพร้อมกัน
ฟางเจิ้งยิ้มแห้ง เขามีข้าวพันธุ์นี้เมล็ดเดียว ตัวเขายังไม่รู้เลยว่ามื้อต่อไปอยู่ไหน จะเอาที่ไหนไปให้ถานจวี่กั๋ว? ดังนั้นฟางเจิ้งจึงส่ายหน้า “ขอโทษด้วยปู่ถาน อาตมาก็มีไม่มากเหมือนกัน พูดจริงๆ คือจะมีข้าวกินพรุ่งนี้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย การปลูกข้าวชนิดนี้ต้องศึกษาวิจัยอย่างมาก หากพลาดนิดเดียวจะมีโอกาสล้มเหลว อีกอย่างเหมือนว่าจะมีแค่ภูเขาเอกดรรชนีที่ปลูกข้าวแบบนี้ได้ เอาออกไปไม่ได้”
หยางผิงดวงตาเปล่งประกาย “ฟางเจิ้ง ข้าวนายทั้งอร่อยและดูดี หากส่งขายออกไปจะต้องสร้างเงินเป็นกอบเป็นกำแน่! พอมีเงินนายก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกินแล้ว กระทั่งยังขยายวัดได้ด้วย วัดใหญ่ขึ้น ผู้ใหญ่บ้านกับเสมียนจะช่วยนายป่าวประกาศข้างนอกเอง จะต้องมีคนมาจุดธูปบูชาเยอะแน่ วัดนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องแสงเทียนไม่สว่างไสวอีกใช่ไหมล่ะ?”
หวังโอ้วกุ้ยพยักหน้าพูดเสริม “หยางผิงสมกับเป็นนักบัญชี พูดได้ดี”
ทว่าฟางเจิ้งกลับส่ายหน้า “อาตมาเป็นนักบวช จะต้องการเงินขนาดนั้นไปทำไม? วัดไม่ใหญ่ จิตใจใหญ่ก็พอแล้ว ส่วนเมล็ด อาตมาเหลือไม่มากจริงๆ”
หยางผิงเห็นฟางเจิ้งเป็นพวกหัวโบราณ ไม่สนใจความรุ่งเรืองจึงไม่มีทางเลือก ได้แต่ถลึงตาและลนลาน
แต่ว่าถานจวี่กั๋วเข้าใจฟางเจิ้ง เอ่ยกู้หน้าให้ “เอาล่ะๆ วัดเป็นของฟางเจิ้ง เขาอยากทำอะไรก็เรื่องของเขา พวกแกเองก็ออกความเห็นบ้าบออะไรก็ไม่รู้ ฟางเจิ้ง ถึงข้าวจะมีไม่เยอะ แต่พวกเราก็อยากลองสักหน่อยน่ะ กินกันคนละนิดแค่ลองรสชาติก็พอแล้ว”
หยางผิงได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าเล็กน้อย ในใจไม่ยินดีอยู่บ้าง ทั้งยังกล่าวด้วยเจตนาไม่ดี “ดมจากกลิ่นข้าวแล้วไม่เห็นว่าจะน่าอร่อยเลย! ข้าวนี่ต้องธรรมดาแน่…”
อีกด้านหนึ่งฟางเจิ้งไม่รู้ว่าหยางผิงกำลังคิดอะไร แต่ก็แบ่งเป็นสี่ส่วนตามที่ปู่ถานว่า หนึ่งคนหนึ่งถ้วยเล็ก จากนั้นสี่คนก็กินกันในครัว หลักๆ คือหนึ่งคนกินได้สองสามคำ จะยอมหรือไม่นั้นก็แล้วแต่
ทว่าหยางผิงกลับไม่ยอม ถามขึ้น “ฟางเจิ้ง มีแค่ข้าวเหรอ? ไม่มีกับข้าวรึไง”
ฟางเจิ้งชี้ไปยังผักป่าที่แช่อยู่บนเตา “มีตรงนั้น จะกินเหรอ?”
หยางผิงชำเลืองตามองแวบหนึ่ง ก่อนส่ายหน้าอย่างรังเกียจ “ช่างเถอะ กินข้าวก็ได้ แต่มันก็หอมมาก ไม่รู้ว่ากินแล้วจะเป็นยังไง…เอ่อ เสมียนถาน ผู้ใหญ่บ้านหวังเป็นอะไร? ติดคอรึเปล่า?”
หยางผิงยังพูดไม่จบก็เห็นว่าพอเสมียนถานกินข้าวไปคำนึงแล้วก็ปิดปากอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นหน้าแดงก่ำ น้ำตาไหล
หวังโอ้วกุ้ยไม่ต่างกัน กินไปแล้วเหมือนกับหิวมาสิบปี
พอได้ยินหยางผิงถาม พวกเขาสองคนกลับไม่สนใจ
ฟางเจิ้งกลัวสองคนนี้ติดคอจึงถามขึ้น “ดื่มน้ำหน่อยไหม?”
สองคนส่ายหน้าพร้อมกัน แถมยังมองค้อนฟางเจิ้ง ทำเอาเขาเหงื่อตก นี่ไม่เห็นความหวังดีของคนอื่นเกินไปรึเปล่า? แต่ดูจากใบหน้าแดงก่ำของสองคนแล้ว ฟางเจิ้งก็ยังกังวลจริงๆ แต่ไม่ว่ายังไงสองคนนี้ก็ไม่ยอมดื่มน้ำ เขาก็ช่วยไม่ได้
หยางผิงมองข้าวในชามอย่างสงสัย ภายใต้แสงตะวันส่องสะท้อน ข้าวเหมือนกับผลึกจริงๆ ส่องประกายวาววับราวกับคลุมด้วยแสงตะวันดั่งเทพเจ้าหนึ่งชั้น งดงามอย่างยิ่ง
หยางผิงกำลังจะกล่าวชมก็ได้ยินหวังโอ้วกุ้ยพูดขึ้น “เสี่ยว…หยาง ถ้าแกไม่กินก็ให้ฉัน อย่าเอาแต่มองสิ”
ถานจวี่กั๋วก็เช่นกัน “ให้ฉันเถอะ”
หยางผิงเห็นประกายเหมือนหมาป่าหิวโหยของสองคนนี้แล้วก็รีบกินเข้าไป กลัวว่าขืนช้าจะถูกแย่งไปจริงๆ
หนึ่งคำเข้าปาก ดวงตาหยางผิงพลันเปล่งประกาย ขยายใหญ่ขึ้น! เม็ดข้าวเล็กๆ สดใสอิ่มเอิบ เรียบเนียนเป็นมันวาวเข้าปาก กัดไปทีหนึ่ง เปลือกอ่อนนุ่มนอกเม็ดข้าวแตกออก ส่งกลิ่นหอมเข้มข้น ในความหอมมีความหวาน! ในปากตอนนี้ไม่ใช่ข้าวแล้ว แต่เป็นรสชาติแห่งความสุข!
จากนั้นหยางผิงอดใจไม่ไหวกินเข้าไปคำใหญ่ กินอย่างว่องไวจนหมดชาม! ก่อนเขาจะพบสิ่งที่น่าอนาถ เขาติดคอเหมือนกัน!
“ดื่มน้ำไหม?” ฟางเจิ้งยกน้ำมาให้
หยางผิงมองค้อนฟางเจิ้งก่อนส่ายหน้าอย่างสุดชีวิต
ฟางเจิ้งไม่สบายใจแล้ว สามคนนี้เป็นอะไร? ติดคอแล้วยังไม่ดื่มน้ำอีก?
ตอนนี้เองฟางเจิ้งเห็นสามคนมองมาที่เขาพร้อมกัน! ให้พูดจริงๆ คือมองชามข้าวในมือเขา!
ฟางเจิ้งพลันเกิดความรู้สึกเหมือนถูกหมาป่าหิวโหยจ้องมอง จึงรีบส่ายหน้า “ไม่ได้! นี่ของอาตมา! อาตมายังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย อย่าหวัง”
พูดจบฟางเจิ้งก็นั่งลงข้างๆ หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบผักป่าที่เตรียมไว้เรียบร้อย กำลังจะกินอย่างไม่รีบร้อน
ทว่าพอคีบข้าวขึ้นมายังไม่ทันเข้าปากก็ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายลงคอสามเสียงดังแว่วมา
ฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นสีหน้าสำนึกเสียใจภายหลังของสามคน สีหน้านั้นเหมือนเด็กกำลังจะตาย!
ฟางเจิ้งถาม “พวกโยมเป็นอะไรกัน?”
หยางผิงพูดตอบด้วยเสียงสะอื้น “ฉันไม่ควรมอง ผู้ใหญ่บ้าน เสมียน เอ่อ ผมมีธุระต้องขอตัวก่อนนะ มองไม่ลงแล้ว รับไม่ได้”
พูดจบหยางผิงก็ออกไป
หวังโอ้วกุ้ยกับถานจวี่กั๋วมองตากันแล้วก็บอกลากันทันที เพียงแต่ว่าก่อนไป ถานจวี่กั๋วพูดขึ้นจากใจจริง “ฟางเจิ้ง จากนี้ไปแกจะยังมีข้าวแบบนี้อีกไหม?”
ฟางเจิ้งตอบกลับอย่างไม่เข้าใจ “ก็ต้องดูว่าแสงธูปเทียนในวัดเป็นยังไง ถ้าแสงสว่างไสว อาตมาก็มีกำลังปลูก หากแสงไม่สว่างไสว อาตมาจะปลูกเยอะๆ ไปทำไม? อยู่คนเดียวคงไม่ได้กินเยอะขนาดนั้น”
หวังโอ้วกุ้ยพูดต่อทันที “แกปลูกเพิ่มเถอะ พวกเรากลับไปแล้วจะช่วยแกป่าวประกาศ แต่คงไม่มากมายอะไรนัก อย่างน้อยคนในหมู่บ้านก็จะมาจุดธูปกัน อีกอย่างอาได้ยินมาว่าในเร็วๆ นี้ประเทศเรากำลังสนับสนุนให้สร้างวัด ถ้ายื่นเรื่องรายการขอเงินบริจาคได้ วัดนี้จะขยายใหญ่ได้เร็วขึ้นอีก”
ฟางเจิ้งรีบยืนขึ้น ประนมมือคารวะ “ขอบคุณอาหวังมาก”
หวังโอ้วกุ้ยยิ้มตอบกลับ “ไม่ต้องขอบคุณอาหรอก อาก็ทำเพื่อของกินนั่นแหละ”
ฟางเจิ้งยิ้ม เขาไม่คิดว่าเป็นเรื่องจริง การขยายวัดไม่ใช่เรื่องเล่นๆ จะทำแค่เพื่อของกินได้ยังไงกัน สร้างวัดเหรอ? เล่นเป็นเด็กๆ ไปได้
หลังส่งหวังโอ้วกุ้ยกับถานจวี่กั๋วกลับไปแล้ว วัดเอกดรรชนีก็กลับมาเงียบอีกครั้ง
ในที่สุดฟางเจิ้งก็ได้กินข้าวอย่างสงบ แต่พอหยิบชามข้าวขึ้น กลับมีดวงตาเปล่งประกายคล้ายหิมะจ้องเขาตาเขม็ง! ทำเอากินไม่ลง พอก้มหน้ามองก็พบว่าเป็นหมาป่าเดียวดาย
………………………