บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 163
คนหัวทองอีกสามคนปรี่ตามเข้ามา กำหมัดชก ยกเท้าเตะ!
“ระวัง!” จิ่งเหยียนร้องตกใจ
ฟางเจิ้งรู้สึกถึงเสียงลมข้างหลัง ขณะเดียวกันยังมีหมัดเท้าก้อนหินมั่วไปหมด ข้างกายมีเด็กน้อย คนพวกนี้ยังเข้ามาทำร้ายอีก นี่มันไม่สนเลยว่าเด็กหญิงจะเป็นตายยังไง แค่อยากทำร้ายเขาเท่านั้น! ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมแบบนี้ คนจิตใจชั่วร้ายแบบนี้ ทำให้ฟางเจิ้งโกรธอย่างไม่มีเหตุผลอีกแล้ว!
ทว่าสิ่งที่ฟางเจิ้งทำกลับไม่ใช่การหันไปตอบโต้ แต่ดึงเด็กหญิงไว้ในอ้อมกอด ปกป้องเอาไว้ ตัวเขาฟันแทงไม่เข้า แต่เด็กหญิงตัวน้อยต่างกัน!
เสียงแก๊งๆ ตึงๆ ดังขึ้น หินกระแทกที่ตัวฟางเจิ้งแล้วกระเด้งออกไป…
เห็นดังนั้นจิ่งเหยียนเลยตาแดงแล้ว ตะโกนด้วยความโมโห “ไอ้พวกเวร มาสู้กับฉันนี่!” ก่อนจะหยิบมือถือออกมาขว้างไปอย่างลืมตัว แต่เมื่อขว้างไปแล้วกลับต้องเสียใจ “เฮ้ย คลิปของฉัน!”
ปึก!
เหมือนมันขานรับกับเธอ มือถือไม่โดนคน แต่เขวี้ยงโดนพื้น หน้าจอแตก…
ทว่ายังไม่ทันที่จิ่งเหยียนจะปวดหัว พวกคนหัวทองก็ปรี่ไปหาฟางเจิ้งแล้ว เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ จิ่งเหยียนไม่สนใจอะไรแล้ว ถอดรองเท้าส้นสูงมาถือไว้ด้วยมือข้างหนึ่งพลางปรี่เข้าไป ขวางอยู่ตรงหน้าคนหัวทองแล้วตวาดลั่น “พวกแกอย่าเข้ามานะ! ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่เกรงใจแล้ว!” ชั่วขณะที่กล่าว จิ่งเหยียนเห็นว่าตนเสียงสั่นเครือ นั่นเกิดจากความกลัว ความตึงเครียด ถ้าอีกฝ่ายเข้ามาจริงๆ จะทำยังไงดี เธอสู้ไม่ไหวหรอก!
วินาทีที่จิ่งเหยียนกำลังจะถูกต่อยตีนั้น พวกคนหัวทองพลันหยุดชะงัก ก่อนถอยหลังไปช้าๆ คนหัวทองตัวเตี้ยชี้จิ่งเหยียน “ถะ…ถือว่าพวกแกชนะ! คอยฉันก่อนเถอะ ไม่จบกันแน่!”
ฝากคำพูดร้ายๆ ไว้แล้ว ก็พาลูกสมุนหมุนตัววิ่งหนีไป
จิ่งเหยียนเห็นเข้าจึงยิ้มร่า “ฉันก็คิดว่าจะแน่ ที่แท้ก็พวกดีแต่เปลือกนี่หว่า พวกขยะดีแต่ข่มคนอื่น ผู้ชายตั้งหลายคนดันกลัวผู้หญิงอย่างฉันคนเดียวเนี่ยนะ กากจริงๆ กากมาก!” ว่าจบจิ่งเหยียนก็ปรบมือ หันไปมองจะพูดบางอย่างกับฟางเจิ้ง ทว่าก็ต้องตะลึงค้าง!
เห็นเพียงว่าข้างหลังเป็นชาวบ้านกลุ่มใหญ่ มีชายหญิงคนแก่และเด็ก ในมือถือจอบ ตะบอง เคียวเกี่ยวข้าว ชามหม้อกระบวยต่างๆ พวกเด็กๆ ถือก้อนหินยืนอยู่ตรงนั้น เรียงหน้ากันหลายแถว ไม่พูดไม่จา ทว่าแววตาอธิบายทุกอย่างแล้ว นั่นคือปกป้องฟางเจิ้ง!
จิ่งเหยียนเห็นภาพนี้แล้วอึ้งไป ก่อนจะปวดใจ รู้สึกว่าในเบ้าตามีบางสิ่งจะไหลรินออกมา…นั่นคือความซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก!
“ไต้ซือท่านไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?” ผู้ชายที่ช่วยยกของตอนแรกสุดถาม
ฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้นยิ้มบอก “ไม่เป็นไร หนูไม่เป็นไรนะ?” ฟางเจิ้งถามเด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมอก
เด็กหญิงน้อยส่ายหน้า ตอบด้วยความซาบซึ้งใจ “ไม่เป็นไรค่ะ…”
“ไม่เป็นไรก็ดี” ฟางเจิ้งคลึงหัวเด็กหญิง ยืนขึ้นมองไปยังพวกคนหัวทองที่ขับรถหนีไปแล้ว คิ้วขมวดเล็กน้อย สิ่งที่คนพวกนี้ทำล้ำเส้นของศีลธรรม และก็ล้ำเส้นของฟางเจิ้ง!
ใช้จิตใจเมตตาของคนบนโลกเป็นเครื่องมือหาเงิน! ถ้าเรื่องนี้ถูกตีแผ่ความจริงจะสร้างผลกระทบที่น่ากลัวมาก! จากนี้ใครจะกล้าทำบุญ? หากทุกคนไม่ทำบุญ คนที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ ของโลกนี้จะทำยังไง? พูดให้แคบลงหน่อย นี่ส่งผลกระทบถึงหมู่บ้านสะพานบูรพาไม่น้อยเหมือนกัน คนที่นี่เป็นคนยากจนจริงๆ คนนอกมาทำบุญบริจาค ความจริงแล้วเป็นการปฏิเสธพวกเขาทางอ้อม ให้เป็นคนไร้เกียรติ ตอนที่พวกเขารู้ว่าความเมตตาของคนนอกเป็นของปลอม กระทั่งโหดร้ายและน่ากลัว พวกเขาจะกลัวคนนอกกว่าเดิม และกลัวโลกภายนอกไปด้วย! ผู้สูงอายุยังพอว่า แต่เด็กๆ จะเป็นยังไง? พวกเขาเพิ่งก้าวสู่โลก ถ้าทัศนคติบิดเบี้ยวนั่นเท่ากับหักปีกพวกเขา ทำให้บินออกจากภูเขาใหญ่ไม่ได้ เท่ากับทำลายทั้งชีวิต!
คิดได้ดังนั้น ในที่สุดฟางเจิ้งก็เข้าใจความหมายที่ระบบบอกก่อนหน้านี้ บางทีไม่ควรใช้พระโพธิสัตว์จัดการคนประเภทนี้ แต่ควรโต้ตอบด้วยอำนาจน่าเกรงขาม!
“หลวงพี่ฟางเจิ้ง คนพวกนั้นบอกว่าจะมาอีก เอาไงดี? แจ้งตำรวจไหม?” จิ่งเหยียนถาม
ฟางเจิ้งบอก “พวกเขาไปแล้ว แจ้งตำรวจตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร?”
จิ่งเหยียนหัวเราะแห้งๆ “ไม่มีประโยชน์จริงๆ นั่นแหละ พวกเขาทำแบบนี้ ฉันยังไม่รู้เลยว่าผิดกฎหมายข้อไหน แต่ถ้าว่ากันจริงๆ ก็คงเป็นทำร้ายร่างกาย แต่ว่านะ…ท่านไม่บาดเจ็บเลยนี่”
ฟางเจิ้งถูๆ มือ “ช่วยไม่ได้ รอเดี๋ยว”
“รอ? พวกเขาไปตามคนมาแล้ว ถ้ารอพวกเราก็…” จิ่งเหยียนทำหน้าสื่อว่าอาจจะถูกต่อยตีก็ได้
ฟางเจิ้งยิ้ม “ไม่เป็นไร วันนี้อาตมาจะพาคนกลับใจ”
พูดจบฟางเจิ้งนั่งขัดสมาธิลงหน้าหมู่บ้าน รอคอยอย่างสงบนิ่ง
จิ่งเหยียนงงงวยเล็กน้อย พวกชาวบ้านเห็นฟางเจิ้งจะอยู่ปกป้อง พวกเขาย่อมซาบซึ้งใจกันมาก แต่ก็พากันโน้มน้าวให้ฟางเจิ้งไปดีกว่า
“ไต้ซือ พวกเรารับเจตนาดีของท่านไว้แล้ว แต่คนพวกนั้นไม่ใช่คนดี มีคนอยู่เบื้องหลัง ท่านอยู่เดี๋ยวจะเจอเรื่องซวยเอาได้” ผู้สูงอายุคนหนึ่งพูดโน้มน้าว
ฟางเจิ้งยิ้มบอก “อมิตาพุทธ ประสกพูดไม่ถูกทั้งหมดนะ พุทธศาสนามีภาษิตว่าไว้ว่า ถ้าเราไม่ลงนรกแล้วใครจะลง[1]? ในเมื่ออาตมามาแล้วจะไม่ถอยไปดูอยู่เฉยๆ แน่” ความจริงเมื่อครู่นี้ ถ้าฟางเจิ้งจะรั้งพวกคนหัวทองไว้ก็ไม่ยาก แต่ว่าเขาคิดๆ ดูแล้วเบื้องหลังคนพวกนี้ต้องมีใครอีกแน่ ถ้าไม่ทำก็ช่าง แต่ในเมื่อลงมือแล้วก็ต้องจัดการให้เรียบร้อย จะได้ไม่เหลืออันตรายไว้ให้พวกชาวบ้าน และสร้างปัญหาที่ใหญ่กว่าตามมา
พวกชาวบ้านโน้มน้าวอยู่นาน ฟางเจิ้งยังไม่มีทีท่าว่าจะไป เวลาผ่านไปทีละนาที
ตอนนี้เอง มีเสียงเครื่องยนต์รถดังแว่วมาแต่ไกล จากนั้นรถสองคันขับเข้ามาในหมู่บ้าน
ในรถมีคนหัวทองตัวเตี้ยนั่งอยู่ข้างชายสูงใหญ่ เอ่ยขึ้นว่า “พี่หูจื่อ ครั้งนี้พี่ต้องช่วยผมนะ ไอ้ชาวบ้านเวรพวกนั้นแม่งไม่รู้ความ ผมสั่งสอนคนอื่น แต่พวกมันดันกล้าจะทำร้ายผม! ไม่เห็นพี่หูจื่ออยู่ในสายตาเลยสักนิด”
“เอาเถอะ อย่าพูดมาก อีกเดี๋ยวจะจัดการให้เอง แต่แกจำไว้นะ จากนี้ก็ไปตามหมู่บ้านให้มันน้อยลงหน่อย” หูจื่อกล่าว
“พี่หูจื่อ พี่ไม่รู้หรอกว่าผมเจอลู่ทางหาเงินแล้ว ไม่อย่างนั้นผมจะไปหมู่บ้านโทรมๆ ทำไมกัน สู้อยู่บนรถกับพี่ไม่ดีกว่าเหรอ” คนหัวทองยิ้มเอ่ย
“เหมียวหลง ฉันก็ว่าทำไมแกเลิกหาเงินบนถนนแล้ว ที่แท้ก็มีลู่ทางใหม่นี่เอง ไหนมันเป็นยังไง? บอกพี่หน่อยซิ” หูจื่อยิ้ม
“เหอะ ทางนี้หาเงินง่าย ที่สำคัญคือตำรวจจัดการพวกเรายากด้วย” คนหัวทองยิ้มพลางกดเสียงต่ำกระซิบ
คนขับรถเอ่ยขึ้น “หูจื่อ ถึงแล้ว ให้พี่น้องเราเตรียมตัวยึดหมู่บ้านพวกมัน! ฉันอยากรู้นักว่าใครกันกล้าทำพี่น้องเรา”
“พี่เฉียวของจริงเหมือนเคยเลย กลับไปผมจะเลี้ยงข้าวพวกพี่นะ” คนหัวทองยิ้มเช่นกัน
ระหว่างคุยกัน ทุกคนลงจากรถ คนพวกนี้เป็นอันธพาลในละแวกนี้ ไม่มีงาน เที่ยวเล่นไปวันๆ ปกติจะลักขโมยบ้าง รวมกลุ่มกันแล้วก็คิดว่าตนเป็นเจ้ายุทธภพ วันนี้คนหัวทองถูกทำร้าย พี่น้องที่ปกติรวมตัวกันดื่มสุราคุยโม้เป็นประจำย่อมต้องมาเป็นธรรมดา
……………………………………..
[1] ถ้าเราไม่ลงนรกแล้วใครจะลงนรก มีที่มาจากคณะสงฆ์ในจีนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งปลุกระดมให้คนลุกขึ้นมาต่อต้านการรุกรานของทหารญี่ปุ่น โดยถือว่าต่อให้ต้องศีลขาด ต้องฆ่าคน ต้องตกนรก ก็ยอมเสียสละเพื่อปกป้องผู้อื่นที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้