บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 180 เลี้ยงอาหารสุนัขให้ไต้ซือ (2)
“พบและแยก สุขและทุกข์ล้วนแล้วแต่วาสนา?” เหอเฟยเฟยอึ้งงัน
ฟางเจิ้งกล่าว “สีกา มั่นใจนะว่าไม่อยากมองเมิ่งหย่วนอีกครั้ง?”
“ไม่แล้วค่ะ พบและแยกคือวาสนา จะไปแสวงหาภาพมายาทำไม?” เหอเฟยเฟยตอบ
ฟางเจิ้งมั่นใจแล้วว่าเหอเฟยเฟยปล่อยวางได้จริงๆ จึงถอนหายใจโล่งอก
“พระโพธิสัตว์ ทำไมท่านถึงถอนหายใจโล่งอกคะ?” เหอเฟยเฟยถามด้วยความไม่เข้าใจ
“เพราะมีคนคนหนึ่งรอมาพันห้าร้อยปีเพื่อเจอสีกา” ฟางเจิ้งถอนหายใจ
เขาไม่นึกเลยว่ามีมู่อวี๋กับเสริมอภินิหารจากพระพุทธรูปจะทำให้เขาเหนี่ยวนำสองคนเข้าสู่ความฝันที่ต่างกันได้ หนึ่งจิตใจใช้ถึงสอง! ด้านนี้เขาเหนี่ยวนำเหอเฟยเฟยเข้าฝัน ด้านนั้นก็ใช้วิธีแบบเดียวกันเหนี่ยวนำเฉินปินเข้าฝัน เพียงแต่ว่าความฝันของเฉินปินต่างกับเหอเฟยเฟย ในฝันเฉินปินแยกกับเหอเฟยเฟย แต่เขากลับหลงรักกว่าเดิม รอเหอเฟยเฟยมาพันห้าร้อยปี ซ้ำยังจะรอต่อไปอีก
“ใครคะ?!” เหอเฟยเฟยงุนงง
“ในเมื่อสีการู้อยู่แล้วจะถามทำไม?” ฟางเจิ้งถามกลับ
“พระโพธิสัตว์ ฉะ…ฉันขอไปดูได้ไหมคะ? ดูว่าเขารอฉันอยู่ที่ไหน” เหอเฟยเฟยถาม
ฟางเจิ้งพยักหน้าก่อนโบกมือ ฟ้าดินเปลี่ยนไป มาอยู่ใต้ภูเขาสูง บนเขามีธารน้ำแข็ง ธารน้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำเย็นเยือกเข้ากระดูกไหลลงไป ก่อตัวเป็นลำธารเล็กๆ ในลำธารมีหินใหญ่ก้อนหนึ่งตั้งอยู่ในนั้น นั่นคือเฉินปิน!
หลังกลายเป็นหิน เฉินปินผ่านความทรมานอย่างพายุน้ำค้างฝนตกและฟ้าผ่า เหอเฟยเฟยเห็นแบบนั้นก็ปิดปากเล็ก มีสีหน้าเหลือเชื่อ! เธอเองแทบจะทนความหนาวเหน็บไม่ไหว แต่เฉินปินยังคงยืนอยู่กลางน้ำเย็นเยียบ ทนน้ำเย็นตลอดทั้งปี นี่ต้องทรมานขนาดไหน ต้องมีความแน่วแน่ขนาดไหน ต้องรักเธอขนาดไหนถึงจะทนมาได้พันห้าร้อยปี?
เหอเฟยเฟยมองหินดื้อรั้นก้อนนั้น รู้สึกว่าในใจมีบางสิ่งแตกออก ดวงตาชื้นขึ้นมา
พระโพธิสัตว์กวนอิมร่างแปลงฟางเจิ้งเดินเข้าไป “เฉินปิน พันห้าร้อยปีแล้ว ประสกยังจะรออีกไหม?”
“พระ…พระโพธิสัตว์ อย่า…อย่าว่าแต่พันห้าร้อยปีเลย ตะ…ต่อให้หมื่นห้าพันปีผมก็จะรอ” เฉินปินพูดเสียงสั่น แต่น้ำเสียงกลับเด็ดเดี่ยว เขามองไม่เห็นเหอเฟยเฟย เห็นเพียงพระโพธิสัตว์กวนอิม
ฟางเจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นก็รอต่อไปเถอะ”
“ไม่…ไม่ต้องรอแล้ว! ฉันอยากเจอเขา!” ตอนนี้เองเหอเฟยเฟยพูดขึ้น พุ่งเข้ามาพูดด้วยความตื่นเต้น
ฟางเจิ้งถามด้วยความไม่เข้าใจ “ทำไม? สีการักเมิ่งหย่วน ทำไมอยากเจอเขา? สีกาก็รู้นี่ว่าถ้าเจอเขาตอนนี้มันหมายถึงอะไร?”
“พระโพธิสัตว์ เมิ่งหย่วนเป็นเพียงความฝันในใจฉัน เฉินปินต่างหากคือความรักแท้จริงของฉัน ฉันรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ก่อนหน้านี้ฉันโง่เอง ฉันเข้าใจแล้ว…” เหอเฟยเฟยตอบอย่างกล้าหาญ
ฟางเจิ้งพยักหน้า “ได้ตามที่ปรารถนา สีกาไปพบเขาเถอะ”
พูดจบ ฟางเจิ้งโบกมือ ฟ้าดินเปลี่ยนไป
ต๊อกๆ…
เสียงมู่อวี๋ยังคงดังข้างหู เสียงสวดมนต์ยังคงขับร้อง เหมือนกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน
เหอเฟยเฟยกับเฉินปินลืมตาขึ้นพร้อมกัน สองคนสบตากันจากนั้นยิ้ม ยืนขึ้น โค้งตัวแสดงความเคารพไปทางอุโบสถ แสดงความเคารพฟางเจิ้ง ก่อนออกจากอุโบสถ ออกจากวัด จับมือกันลงเขาไป
ฟางเจิ้งเบะปากมองเงาแผ่นหลังสองคน “เป็นหมาโสดเลย เมื่อกี้ฉันน่าจะให้พวกเขาแยกกัน…อมิตาพุทธ อาตมาทำดีไม่ได้ดี แถมยังลำบากใจอีก ไปหาข้าวหมากินดีกว่า เฮ้อ”
“ข้าวหมาจากไหน?” เสียงดังขึ้นข้างๆ ฟางเจิ้งไม่ต้องมองก็รู้ว่าคนที่สนใจข้าวหมาก็มีแต่หมาป่าเดียวดาย
“อาตมากินแล้ว ถ้านายอยากกินก็วันหลัง หมาโสด!” ฟางเจิ้งทิ้งท้ายไว้สองคำ ไม่รู้ว่าพูดถึงหมาป่าเดียวดายหรือกำลังเย้ยเยาะตัวเอง ก่อนจะสาวเท้ายาวไปหลังลานวัด ได้กินข้าวหมาไป เขาไม่มีกระจิตกระใจสวดมนต์ต่อแล้ว ดูเวลายังเช้าอยู่ เข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว หรือควรออกไปเที่ยวเล่นดี?
“เจ้าอาวาส นายกินข้าวหมาของฉันก็ช่างเถอะ แต่จะมาด่าฉันว่าหมาโสดทำไม?! นายต้องชดใช้โดยการเพิ่มมื้อเย็น!” หมาป่าเดียวดายเอาหัวชิดเข้ามา วางมาดว่าถ้านายไม่เพิ่มข้าวก็คืนข้าวหมาฉันมา
“อยากเพิ่มข้าว? ได้ ตักน้ำเต็มโอ่งพุทธก่อนค่อยว่ากัน!” ฟางเจิ้งพูดจบก็ยิ้มโดยพลัน “ไม่ต้องพูดแล้ว ถ้าอยากเพิ่มข้าวจริงๆ ก็ไป ลงเขา!”
“ไปทำอะไร?” หมาป่าเดียวดายเดินตามมา
“ขุดผักป่า แล้วจะทำอะไรอร่อยๆ กินตอนเย็น” ฟางเจิ้งตอบ
“ฮ่าๆๆ? ไหนมีอะไรอร่อยบ้าง?!” กระรอกที่เพิ่งกลับมาได้ยินว่ามีของกินก็กระปรี้กระเปล่าขึ้นมา
แต่เห็นเพียงหัวโล้นกับหมาป่าก้นใหญ่วิ่งลงเขาหายวับไปกับตา หมาป่าเดียวดายคาบตะกร้าไว้ในปาก ไม่รู้ว่าจะทำอะไร กระรอกจึงตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ย่ำเท้ากระฉับกระเฉง ฟังเสียงนกร้องร่าเริง คน หมาป่าและกระรอกลงเขาไปแล้ว
แม่น้ำหนึ่งสายมีชื่อเรียกว่าหนึ่ง ตอนแรกหลวงจีนหนึ่งนิ้วเป็นคนตั้งให้ เรียกว่าแม่น้ำ แต่ความจริงเป็นลำธารเล็กตามฤดูกาล หน้าหนาวจะเป็นน้ำแข็ง ใบไม้ผลิจะกลายเป็นสายน้ำ เดิมทีแม่น้ำนี้มีชื่อว่าหนึ่งแม่น้ำ แต่ฟังแล้วมันไม่รื่นหู ไม่คล้องจอง พวกชาวบ้านเลยเรียกมันว่าแม่น้ำหนึ่งสาย แม่น้ำหนึ่งสายไม่ได้มีต้นน้ำมาจากภูเขาเอกดรรชนี แต่เป็นเทือกเขาฉางไป๋ข้างหลัง มีคนบอกว่าต้นน้ำหนึ่งสายคือน้ำพุร้อน ตอนที่ไหลมายังร้อนอยู่ น่าเสียดายระยะทางไกลเกินไป มาถึงหมู่บ้านก็เย็นแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องที่นายพรานเฒ่าเล่าในอดีต ส่วนเป็นความจริงไหมไม่เคยมีใครไปตรวจสอบ ถึงยังไงต้นน้ำหนึ่งสายก็อยู่ตรงผาสูงชัน ทั้งยังไม่มีพืชหญ้า ไม่มีอะไรให้เก็บเกี่ยวเลยไม่มีคนไป
ลงเขามา ฟางเจิ้งเห็นหยางหวาเดินออกมาจากบ้านอย่างมีความสุข ครั้นเห็นฟางเจิ้งก็ยิ้ม “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ลมอะไรหอบท่านลงเขามาเนี่ย?”
ฟางเจิ้งแสดงความเคารพ “ลมระบายอากาศน่ะ โยมดูมีความสุขนะ…” เพิ่งพูดจบ ฟางเจิ้งก็พูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “โยม อาตมามีเรื่องจะคุยด้วย”
หยางฮวากำลังดีใจ พลันเห็นสีหน้าจริงจังของฟางเจิ้งแล้วก็อึ้ง หรือว่าจะมีเรื่องอะไร? เลยถาม “อะไรเหรอ?”
“โยม ช่วงเร็วๆ นี้…” ฟางเจิ้งหยุดชะงักครู่หนึ่ง
พอหยุดชะงักครู่หนึ่ง หยางหวาร้อนใจแล้ว ฟางเจิ้งมีความสามารถ คนในหมู่บ้านรู้กันหมด อีกทั้งหลวงจีนทั่วไปกับนักพรตเต๋าน่าจะทำนายชะตาได้ ใช้ยันต์แปดทิศเสี่ยงทาย มองปราดเดียวก็เห็นเคราะห์ดีร้าย คนอื่นพูดเขาจะบอกว่าเป็นคนโกหก แต่ถ้าฟางเจิ้งพูดเขาเชื่อแปดส่วน ขนาดตนยังขึ้นเขาไปขอลูกได้มาแล้ว จะไม่เชื่อได้ยังไง ดังนั้นหยางหวาเลยกลัวนิดๆ
ฟางเจิ้งพูดอย่างเคร่งขรึมมาก “โยมจะร่ำรวยแล้ว”
“เอ่อ…หมายความว่ายังไง?” หยางหวาเตรียมใจไว้อย่างดีแล้ว แต่ฟางเจิ้งตอบมาแบบนี้ทำเขาตะลึงตาค้าง
ฟางเจิ้งหัวเราะเสียงดัง “อีกเดี๋ยวก็รู้เอง สรุปจะมีเรื่องดีเข้ามา เอาล่ะ โยม อาตมาขอยืมใช้จอบบ้านโยมหน่อยได้ไหม”
หยางหวาตั้งสติกลับมา ยิ้มตอบ “ท่านเป็นคนตลกแบบนี้เหรอเนี่ย แต่ผมก็ชอบฟังนะ อ้อ จะเอาจอบไปทำอะไรล่ะ?” หยางหวาคิดว่าฟางเจิ้งพูดอวยไปอย่างนั้น ถึงจะหวังอยู่บ้างนิดๆ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาไม่รู้ว่าหลังจากเนตรสวรรค์ของฟางเจิ้งยกระดับถึงขั้นสองแล้ว จะเห็นเคราะห์ดีและร้ายในหนึ่งสัปดาห์ของคนอื่น เห็นเรื่องดีเรื่องร้ายทั้งหมด
…………………………