บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 193 มานั่งทีละคน
ขณะเดียวกันห่างจากจุดที่ฟางเจิ้งสวดมนต์อยู่ไม่ไกล มีร่างเงาหนึ่งเพิ่มมา
“โง่ สวดมนต์ให้นาฟังเนี่ยนะ หรือว่าสวดมนต์จะทำให้เมล็ดต้านความหนาวได้?” หลี่เสวี่ยอิงมองทุกอย่างตรงหน้าอย่างหมดคำจะพูด
แต่ว่าภาพตรงหน้าสวยมากจริงๆ
คน…ประหนึ่งเจ้าปกครองโลก หมาป่า…สัตว์กินเนื้อที่มีนิสัยบ้าระห่ำยากจะให้เชื่อง กระรอกหลักแหลมน่ารัก และยังมีลิงกระปรี้กระเปล่าว่องไว รวมเข้าด้วยกันตามหลักแล้วน่าจะเป็นสงครามที่มั่วถึงจะถูก แต่ตอนนี้กลับกลมกลืนกัน ประกอบกับดวงตะวันนั้น นี่ไม่ใช่ทิวทัศน์ธรรมดาเลย แต่เป็นภาพหนึ่ง!
หลี่เสวี่ยอิงหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปนี้ไว้ พลางอยากจะลงในโซเชี่ยวตามจิตใต้สำนึก แต่ช่วงที่จะกดยืนยันนั้นกลับหยุดชะงัก
เธอมองหลวงจีนตรงหน้าก่อนมองเหล่าสัตว์ มองวัดที่เงียบสงัด หลี่เสวี่ยอิงส่ายหน้า “ความสงบเงียบที่หาได้ยากแบบนี้ทำไมต้องให้ความรุ่งเรืองมารบกวน?” ดังนั้นเธอเลยกดยกเลิกไป
แต่เธอกลับไม่รู้ว่าการกดครั้งนี้ทำให้ฟางเจิ้งพลาดโอกาสที่จะสำเร็จภารกิจไป ถ้าฟางเจิ้งรู้คงต้องร้องไห้แน่ๆ…
หลี่เสวี่ยอิงมาอยู่ตรงหน้าฟางเจิ้ง แต่ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าเธอมา เขายังคงสวดมนต์ต่อ
หลี่เสวี่ยอิงฟังสวดมนต์พลางมองตะวันลาลับสาดแสงลงในนาน้อยๆ สะท้อนเป็นแสงทองบนใบหน้าฟางเจิ้ง วินาทีนี้เองเธอเหมือนเห็นพระพุทธองค์กายทองคำ ในใจสงบลงโดยไม่รู้ตัว นั่งลงบนพื้น ไม่สนดินและความเย็นบนพื้น นั่งมองฟางเจิ้งอยู่แบบนี้ นัยน์ตาเรียบนิ่งและเป็นมงคล ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ บางทีอาจไม่ได้คิดอะไร เธอชอบความเงียบสงัด ไม่มีใครรบกวน ชอบความรู้สึกสบายๆ ที่ไม่ต้องคิดอะไร
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร หลี่เสวี่ยอิงพลันรู้สึกจั๊กจี้ตรงข้อเท้า ก้มหน้ามองก็ผงะไป! เห็นหญ้าต้นเล็กหลายต้นทิ่มเข้าไปในถุงเท้ายาว พอขยับนิดหน่อยก็ต้องพบสิ่งที่น่าตกใจ รอบตัวเธอ…พูดให้ถูกคือรอบตัวฟางเจิ้ง หญ้าเล็กๆ เหมือนจะเติบโตเร็วกว่าที่อื่นเล็กน้อย!
หลี่เสวี่ยอิงขยี้ตา รู้สึกเหลือเชื่อ เป็นไปได้เหรอ? นี่เป็นไปไม่ได้!
หลี่เสวี่ยอิงเคยเห็นมาหลายรูปแบบในสังคม เพราะถ่ายหนังก็ดี ความชอบส่วนตัวก็ดี เธอเลยไปมาเกือบทั่วโลก เคยไปเยี่ยมเยือนทุกศาสนาใหญ่ๆ เคยเห็นพระอาจารย์และคนมีฝีมือมานับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยเห็นใครที่มีความสามารถแบบนี้มาก่อน
‘ต้องเป็นภาพลวงตาแน่ๆ อาจจะเป็นเพราะน้ำนี่ หญ้าเลยโตเร็วกว่าเดิม’ หลี่เสวี่ยอิงคิดในใจ แต่เธอก็ยังจับตามอง จำความสูงของหญ้าเล็กๆ ใกล้ตัวไว้ จากนั้นหยิบมือถือออกมาเริ่มบันทึกวิดีโอพลางฟังสวดมนต์ต่อไป ไม่นานจิตใจก็สงบนิ่งลงโดยไร้ความคิดอื่นๆ
ดวงตะวันลับภูเขา ดวงจันทร์ลอยขึ้น แสงเงินหนึ่งชั้นอาบไล้บนยอดเขา
ห่างไปไกลมีกลุ่มคนเพิ่มมา ผู้กำกับอวี๋พาคนกองมาตั้งนานแล้ว เห็นหลี่เสวี่ยอิงอยู่ตรงนี้ก็วางใจ กลับไปกินข้าวกันต่อแล้วกลับมาอีกรอบ แต่หลี่เสวี่ยอิงยังคงนั่งนิ่งตรงหน้าเณรรูปนั้น
เณรสวมจีวรขาว คลุมด้วยแสงจันทร์สีเงิน เหล่าสัตว์อยู่ข้างกาย ราวกับเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ ไม่ว่าใครมองจะอดออกปากชมว่าสวยไม่ได้
หลี่เสวี่ยอิงสงบนิ่งเช่นกัน สวมชุดดำทั้งตัว นั่งตรงหน้าฟางเจิ้ง ขาวกับดำเป็นสีที่ต่อต้านกันอย่างรุนแรง แต่ไม่รู้ทำไมทุกคนกลับรู้สึกว่านักแสดงนานาชาติที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในระดับสากลอยู่ต่อหน้าเณรรูปนี้แล้ว กลับมีความรู้สึก…เตี้ยกว่า
เหมือนกับว่าเณรเป็นพระพุทธองค์ หลี่เสวี่ยอิงเป็นเพียงสาวกที่มารับการสั่งสอน ความรู้สึกนี้ทำให้ทุกคนไม่สบายใจมาก ไอดอลของตนเตี้ยกว่าคนอื่น แบบนี้จะได้ยังไงกัน?
มีคนจะไปเรียกหลี่เสวี่ยอิง แต่ผู้กำกับห้ามไว้ เพียงแค่ให้เสี่ยวหลิวหยิบเบาะรองนั่งหนาๆ ไปให้ แต่พอเสี่ยวหลิวเข้าไปใกล้กลับนั่งลงตามแน่นิ่งไป
ผู้กำกับทำหน้ามึนงง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงเอ่ยอย่างไม่เชื่อ “ฉันก็จะไปฟังเหมือนกัน ดูซิว่าหลวงจีนนี่สวดมนต์อะไรถึงมีเวทมนตร์ขนาดนี้”
ผู้กำกับเพิ่งเดินไป เหล่าเถาก็เข้าไปใกล้ “ผู้กำกับ เอาเบาะนั่งไปด้วยครับ เกิดคุณไม่กลับมาจะได้มีที่นั่ง”
“แกน่ะสิจะไม่กลับมา” ผู้กำกับอวี๋ด่ายิ้มๆ ก่อนรับเบาะนั่งเดินเข้าไป
ผู้กำกับอวี๋อยากรู้จริงๆ ว่าจะมหัศจรรย์ขนาดนั้นจริงๆ ไหม ไพเราะขนาดนั้นเลยเหรอ?
พอเข้าไปใกล้เรื่อยๆ ผู้กำกับอวี๋ได้ยินเสียงสวดมนต์ก็ไม่รู้สึกแปลกอะไร แต่เมื่อเข้าไปใกล้อีก เขามองฟางเจิ้งข้างหน้า รู้สึกแค่ว่าหลวงจีนรูปนี้แผ่เอกลักษณ์เฉพาะอย่างหนึ่ง ทำให้จิตใจสงบลง ความรู้สึกที่ว่าความคิดวุ่นวายในหัวถูกกวาดจนเกลี้ยง ความรู้สึกที่ว่าความกลัดกลุ้มที่กวนใจเหลือคณานับพลันถูกฉีกขาดจนหมดสิ้น และความรู้สึกที่เหมือนภูเขาใหญ่ที่กดทับในใจถูกเคลื่อนย้าย ทำให้เขารู้สึกเป็นสุขหลุดพ้นราวกับชาวนาพลิกกลับเอาชนะได้รับอิสรภาพ รู้สึกสบายทั้งตัวขึ้นมาก
เขาหันไปมองพวกเหล่าเถา หลินตงสือและหลัวลี่ จากนั้นโบกมือสื่อว่าให้พวกเขาไสหัวไป ส่วนเขาวางเบาะลงนั่ง ฟังสวดมนต์เงียบๆ สัมผัสถึงช่วงเวลาความสงบที่หาได้ยาก
“แปลกๆ แม้แต่ผู้กำกับอวี๋ยังเป็นแบบนี้ด้วย คงไม่โดนของล่ะมั้ง?” เหล่าเถาว่า
หลินตงสือมองหลัวลี่ “หลัวลี่ นายเลือดลมแข็งแรงไม่กลัวผีสางนี่ ไปลองหน่อยไหม?”
“ไปให้พ้นเลย นายบอกมาตรงๆ เลยดีกว่าฉันตัวใหญ่ ไม่มีสมอง หลอกง่ายว่าอย่างนั้น?” หลัวลี่ด่ายิ้มๆ แต่เขาก็อยากลองจริงๆ เลยบิดแขนพร้อมเดินเข้าไป
“ลมหนาวแม่น้ำอี้พัดมา ผู้กล้าไปลับมิกลับคืน…” หลินตงสือเตบ็งเสียงดัง
หลัวลี่ได้ยินจึงหันมาถลึงตามองแวบหนึ่ง “ถ้านายกล้าตะโกนอีก ฉันกลับมาจะหักขานายซะ!”
หลินตงสือหัวเราะเหอะๆ ไม่พูดอะไรอีก
หลัวลี่สูดลมหายใจเข้าลึก เดินไปทางฟางเจิ้งพลางคิดในใจ ‘บนโลกนี้จะมีเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้จริงๆ เหรอ? ไม่มีทางหรอกมั้ง…’
หลัวลี่เข้าไปใกล้พร้อมกับความคิดสงสัยและระแวงซึ่งจะถอยตลอดเวลา พอเข้าไปใกล้เรื่อยๆ สุดท้าย…นั่งลงข้างผู้กำกับอวี๋ ขยับเบาะนั่งเล็กน้อย เลือกท่านั่งสบายๆ ฟังสวดมนต์
“เวร ไอ้โง่ตัวใหญ่แรงเยอะยังเป็นแบบนี้ นี่มันเหนือธรรมชาติไปรึเปล่า?” หลินตงสือกับเหล่าเถาพูด
“ถ้าอย่างนั้นเข้าไปดูด้วยกันไหม? คนเยอะต้องมีพลังมากกว่า ลุยฝ่าแม่งไปให้หมดเลย” เหล่าเถาว่า
หลินตงสือกัดฟัน “ไป ไปดูกัน”
ดังนั้นกลุ่มคนจึงเดินเข้าไป ระหว่างทางทำใจกล้าหาญตลอด จนเข้ามาใกล้จริงๆ แล้วพวกหลินตงสือถึงกับผงะ
สุดท้ายคนพวกนี้ถูกไล่ไปด้วยความไม่เต็มใจ ไม่นานก็เอาผ้าห่มกับเตาไฟเข้ามา ต่อมาทุกคนล้อมรอบฟางเจิ้ง นั่งฟังสวดมนต์กันทั้งหมด ระหว่างนี้ไม่มีใครกล้าส่งเสียง กลัวว่าจะรบกวนการสวดมนต์
ขณะนี้เองฟางเจิ้งไม่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายนอก เขากำลังสัมผัสอยู่ในขั้นตอนการมองสิ่งมีชีวิตเติบโตทั้งกายและใจ นั่นคือความรู้สึกที่สิ่งมีชีวิตนั้นท้าสู้กับสิ่งกีดขวางทุกอย่างและทะลวงดินออกมา เขาประทับใจจิตใจที่ไม่หวั่นเกรงนั้นอย่างลึกซึ้ง จิตใจจมอยู่ภายใน การสวดมนต์กลายเป็นการสวดโดยไม่รู้ตัว และในความรู้ตัวนี้แฝงไว้ด้วยการมองในใจ ขบคิดในใจ ทำให้การสวดมนต์มีความเงียบสงัดของสิ่งมีชีวิตและพลังของการเติบโต ประกอบกับผลของจีวรขาวจันทร์รวมถึงกลิ่นอายพุทธที่แผ่มาตอนข้าวผลึกเติบโต เลยทำให้ทุกคนถูกดึงเข้าไปกลางการตระหนักอารมณ์ความรู้สึกของฟางเจิ้ง