บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 195 รักษาม้าตายดุจม้าเป็น
ซ่งเอ้อโก่วเอ่ยด้วยความลำพองใจ “ใช่ครับ ดูหนังมาหลายสิบปี เหอะๆ ฝันอยากถ่ายหนังมาตลอด ไม่นึกเลยว่าครั้งนี้จะสมหวัง ฮ่าๆ…ท่านดู กองถ่ายให้เสื้อผ้านี่มา เมื่อวานตอนแจกยังสกปรกอยู่เลย ผมซักทั้งคืน อังเตา ตากแห้ง เป็นยังไง? หล่อไหม? เหมือนคนป่วยรึเปล่า? จะบอกให้นะ ผมน่ะเกิดผิดยุค ถ้าอยู่ยุคโบราณจะเป็นยอดวีรบุรุษแห่งยุค”
ซ่งเอ้อโก่ววางมาดยอดวีรบุรุษ
แต่…
ป้าบ!
“ซ่งเอ้อโก่ว คุยโม้อะไรอยู่ได้? แกเนี่ยนะยอดวีรบุรุษ? ในยุคโบราณแกน่ะเป็นสือเชียน[1]” หวังโอ้วกุ้ยตบเข้าที่หมวกซ่งเอ้อโก่วจนหมวกลอยไป
ซ่งเอ้อโก่วรีบเก็บหมวกมาเป่าฝุ่นด้านบน ก่อนแสยะยิ้ม “นั่นก็เป็นวีรบุรุษแห่งเขาเหลียงซานเหมือนกัน สามสิบหกดาวฟ้ากับเจ็ดสิบสองสหายดิน กลุ่มดาวยี่สิบแปดดวงสี่สัตว์เทพ เป็นยอดฝีมือเลยนะ!”
“เอาล่ะๆ รีบไปรวมได้แล้ว ถ้ามัวคุยโม้จะให้กองถ่ายตัดแกออก” หวังโอ้วกุ้ยยิ้ม
ซ่งเอ้อโก่วหันไปมอง ทุกคนเริ่มรวมตัวกันแล้วจริงๆ จึงบอกลาฟางเจิ้งแล้ววิ่งไปรวมอย่างว่าง่าย
ฟางเจิ้งมองไปยิ้มๆ “ทุกคนดูอารมณ์ดีกันมากเลยนะ”
“แน่นอน ก็เป็นพวกคอหนังกันทั้งนั้น จู่ๆ ได้ถ่ายหนังไม่ดีสิแปลก อีกอย่างยังไม่ต้นฤดูใบไม้ผลิเลยมีแต่คนว่างงาน ถ้าจะให้คุยเล่นสนุก คุยโม้ เล่นไพ่นกกระจอกกันไปวันๆ สู้มาแสดงหมู่ดีกว่ายังได้เงินด้วย ทุกคนเลยยอมมากัน…” หวังโอ้วกุ้ยหัวเราะเหอะๆ แม้กองถ่ายจะมาแค่สองสามวัน แต่หลายวันนี้การกินดื่มกระจายไปในหมู่บ้าน พวกชาวบ้านได้ประโยชน์กันไม่น้อย บางทีเงินอาจไม่เยอะ แต่ขอแค่มีรายรับทุกคนก็ดีใจแล้ว โดยเฉพาะการแสดงหมู่ครั้งนี้ได้ค่าตัวคนละร้อยหยวนเลย ในหมู่บ้านนี่ไม่ถือว่าไม่น้อย ทำให้ชาวบ้านร่ำรวยกัน นี่ก็เป็นคำสาบานตอนที่เขาเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน ตอนนี้เดินก้าวแรกในหมื่นลี้ เขาย่อมดีใจ
ฟางเจิ้งยิ้ม “ก็ถูก เห็นทุกคนมีความสุขขนาดนี้อาตมาชักอยากรู้แล้วว่าจะถ่ายหนังกันยังไง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปดูเถอะ แค่เก็บเป็นความลับไม่บอกข้างนอกน่าจะไม่มีปัญหา” หวังโอ้วกุ้ยตอบ
ฟางเจิ้งสนใจจริงๆ เลยให้หมาป่าเดียวดายเฝ้าวัด ลิงกวาดใบไม้ ส่วนตนตามทุกคนออกไปดู
ทุกคนร่าเริ่ง แต่มีคนปวดหัว
ผู้กำกับอวี๋มองกลุ่มนักแสดงที่ไม่มีคุณสมบัติแม้แต่นิดด้วยความจำใจ ช่วยไม่ได้ ดันอยากเพิ่มหน่วยกล้าตายอย่างกะทันหัน นักแสดงไม่พอ เลยได้แต่เชิญชาวบ้านมา
คิดถึงตรงนี้ ผู้กำกับอวี๋ยืนอยู่บนที่สูง ถือโทรโข่งตะโกนว่า “พี่น้องทุกท่าน ทุกคนเงียบหน่อย อีกเดี๋ยวจะมีคนบอกว่าพวกคุณต้องถ่ายกันยังไง อธิบายเรื่องคนและเวลาอย่างละเอียด ทุกคนต้องให้ความร่วมมือ พวกเราจะพยายามให้ผ่านในเทคเดียวโอเคไหม?”
“โอเค!” พวกชาวบ้านกำลังตื่นเต้น อยากผ่านในเทคเดียวกันทั้งนั้น เพราะจะทำให้นักแสดงพวกนี้ได้เห็นว่าชาวบ้านก็ถ่ายหนังได้
ผู้กำกับอวี๋ไม่หวังอะไรเลย ผ่านในเทคเดียว? นักแสดงอาชีพยังยาก ที่พูดก็เพื่อให้กำลังใจทุกคน ตอนที่ถ่ายซ้ำไปๆ มาๆ จะได้ไม่ร้องไห้หนักมาก
พูดจบผู้กำกับอวี๋กระโดดลงมาแล้วให้ทุกคนเตรียมตัว
ตอนนี้เองหลินตงสือเข้ามา เดิมทีหน้ายาวอยู่แล้ว ตอนนี้หน้ายาวกว่าเดิม เอ่ยด้วยความขมขื่น “ผู้กำกับ เกิดเรื่องครับ”
“เกิดอะไรขึ้น?” ผู้กำกับอวี๋ขมวดคิ้ว กำลังจะเปิดกล้องแล้ว มาเกิดเรื่องอะไรตอนนี้?
“ผู้อาวุโสที่แสดงเป็นพระอาจารย์ถงเปยมีปัญหาที่ก้านสมองเข้าโรงพยาบาลแล้วครับ มาไม่ได้ อีกอย่างคงต้องเปลี่ยนตัวแล้ว” หลินตงสือว่า
“เปลี่ยนคนตอนนี้? จะเอาใครมาเปลี่ยนวะ? ถึงคนในกองถ่ายจะเยอะ แต่แกต้องเข้าใจนะว่าวันนี้มันวันอะไร! เปิดกล้องโว้ย! ฝ่ายลงทุนมาแล้ว พวกเราจะบอกพวกเขาว่าถ่ายไม่ได้?” ผู้กำกับอวี๋แทบจะตะโกน
“ถ้าอย่างนั้นหาคนมาแทนสิครับ” หลินตงสือพูดด้วยยความเศร้า เรื่องนี้โทษเขาได้เหรอ? ใครจะไปคิดวะว่านักแสดงอาวุโสจะล้มป่วยกะทันหัน?
“แทน หาใครมาแทน? แกเหรอ? หน้ายาวอย่างแกเนี่ยนะ ไม่เหมาะกับบท! ยิ่งยุ่งยิ่งวุ่นวายจริงๆ…แกโทรไปหาคนที่แสดงดีๆ มา วันนี้ก่อนเที่ยงใครมาก่อนก็เอาคนนั้น!” ผู้กำกับอวี๋กล่าว
“ผมโทรไปแล้วครับผู้กำกับ แต่ละคนอยู่ไกลๆ ทั้งนั้น นั่งเครื่องบินยังมาไม่ทันเลยครับ” หลินตงสือตอบ
“นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้…เวลาแบบนี้แกจะให้ฉันหาพระอาจารย์จากไหน…พระ…เฮ้ย หาพระอาจารย์ทำไมเล่า! ที่นี่ก็มีอยู่คนหนึ่งไม่ใช่เหรอ!” ผู้กำกับอวี๋ตบเข้าที่หน้าผาก พลันตั้งสติกลับมาได้
หลินตงสือมองวัดเอกดรรชนี ดวงตาพลันเปล่งประกาย “หลวงพี่ฟางเจิ้งจะตกลงเหรอครับ?”
“ถามดูก็รู้เอง อีกอย่างนี่ก็เพื่อถ่ายหนัง แถมครั้งนี้เป็นหนังให้แรงบันดาลใจ นี่เป็นเรื่องดี” ผู้กำกับอวี๋ว่า
หลินตงสือพยักหน้าก่อนไปหาฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งหาง่ายมาก หลินตงสือมองปราดเดียวก็เห็นหัวโล้นมันวาวยืนอยู่หลังกลุ่มคน ช่วยไม่ได้ ฟางเจิ้งเด่นตาเกินไปจริงๆ สวมจีวรขาว แถมยังสวมวงแหวนแสงตะวันอีก เดินไปไหนก็บดบังเขาไม่ได้ หลินตงสือจึงวิ่งเข้าไปโดยพลัน “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ท่านสนใจถ่ายหนังไหมครับ?”
“น่าแปลกใจจริงๆ ประสก มีเรื่องอะไรรึเปล่า? ถ้าดูไม่ได้ อาตมากลับก็ได้นะ” ฟางเจิ้งไม่อยากฝ่าฝืนกฎของคนอื่น
“ไม่ใช่ครับ ท่านเป็นพระอาจารย์ ถ้าท่านอยากดูนั่นถือเป็นเกียรติของพวกเราครับ” จะขอร้องคน หลินตงสือก็ต้องปากหวาน
ฟางเจิ้งรีบส่ายหน้า “อาตมาเป็นเพียงนักบวชธรรมดา ไม่คู่ควรกับพระอาจารย์หรอก ถ้าพูดถึงพระอาจารย์ก็ต้องหลวงจีนหงเหยียนวัดผาแดงกับหลวงจีนไป๋อวิ๋นวัดเมฆาขาว”
“หลวงพี่ฟางเจิ้งอย่าถ่อมตัวเลยครับ พวกเราเข้าเรื่องกันดีกว่า พวกเราถ่ายหนังครั้งนี้มีฉากที่สำคัญมากอยู่ คือพระอาจารย์โปรดสัตว์นักรบที่สู้จนตัวตาย แต่ว่านักแสดงอาวุโสที่รับบทเป็นพระอาจารย์ป่วยเข้าโรงพยาบาลกะทันหัน ไม่ว่ายังไงคงมาในช่วงหลายวันนี้ไม่ได้ ท่านว่า…” หลินตงสือมองฟางเจิ้งด้วยแววตาปริบๆ สีหน้าแบบนี้ทำให้ฟางเจิ้งนึกถึงตอนที่หมาป่าเดียวดายมองข้าวผลึกในชามเขา
ฟางเจิ้งยังไม่ทันตอบ หวังโอ้วกุ้ยชิงเอ่ยด้วยความตกใจขึ้นก่อน “คุณจะให้ฟางเจิ้งแสดงเป็นพระอาจารย์นั่นเหรอ?”
ฟางเจิ้งตกใจเหมือนกัน รีบส่ายหน้า “ประสก อาตมาแสดงไม่เป็น ถ้าแสดงไม่ดีจะทำให้พวกโยมเสียเปล่าๆ อาตมาคิดว่าพวกโยมหยุดถ่ายก่อนชั่วคราวดีกว่า รอนักแสดงที่เหมาะสมมาแล้วค่อยถ่าย”
หลินตงสือพยักหน้า “ไม่มีทางเลือกแล้วครับ วันนี้คนสำคัญมากันหมด โดยเฉพาะคนจากฝ่ายลงทุน พวกเขาต้องเห็นฉากแรก ถ้ามาแล้วถ่ายไม่ได้ ฝ่ายลงทุนโกรธ ไม่แน่ว่าอาจจะถอนทุน หลวงพี่ฟางเจิ้ง ขอร้องล่ะครับ ต้องช่วยนะครับ”
จริงๆ แล้วหลินตงสือโกหก หนังเรื่องนี้เป็นหนังฟอร์มยักษ์แห่งปี ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงของผู้กำกับใหญ่อย่างอวี๋กว่างเจ๋อหรือความนิยมจากหลี่เสวี่ยอิง ล้วนมีฝ่ายลงทุนกลุ่มใหญ่มาขอลงทุน แต่บางครั้งหน้าตาสำคัญกว่าเงิน ถ้าฟางเจิ้งแก้ปัญหานี้ได้จริงๆ ก็จะดีที่สุด แน่นอนถ้าฟางเจิ้งไม่ไหวจริงๆ ก็ช่วยไม่ได้ คงต้องปล่อยวางชั่วคราวเพื่อคุณภาพและหน้าตา นี่เรียกว่ารักษาม้าตายดุจม้าเป็น[2] …แต่ว่าหลินตงสือพูดออกไปไม่ได้ก็เท่านั้น
…………………………………………
[1] สือเชียน หนึ่งในร้อยแปดวีรบุรุษแห่งเขาเหลียงซาน มีความว่องไวสูงกระโดดไปมาอย่างรวดเร็วจึงได้ฉายาว่าตัวหมัดบนกลอง
[2] รักษาม้าตายดุจม้าเป็น หมายถึง หมดหวังแล้วแต่ก็หวังอยู่นิดๆ