บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 208 พิจารณาตัวเองสำนึกผิด
หมาป่าเดียวดายเห็นฟางเจิ้งเอาจริงจึงรีบหมุนตัววิ่งหนีไป ลิงวิ่งตาม แต่มันวิ่งบนพื้นไม่เร็วนัก
สุดท้ายฟางเจิ้งนำหน้ามาคุกเข่าอยู่หน้าพระพุทธรูปหน้าอุโบสถ หมาป่า ลิงและกระรอกคุกเข่าตาม กระรอกกับลิงยังดี คุกเข่าขาสองข้างน้ำหนักไม่เยอะ แต่หมาป่าจะร้องไห้ นี่สร้างความลำบากใจให้มันจริงๆ เลย!
ฟางเจิ้งกล่าว “พวกนายสามคนมีสติปัญญาแล้ว แต่ไม่เคยเปลี่ยนนิสัยสัตว์ โดยเฉพาะเจ้าลิง นายชอบขโมยของตอนอยู่วัดเมฆาขาว ตอนนั้นนายเป็นลิงป่า ไม่มีคนสนใจหรือสอนนาย แต่ตอนนี้เข้าวัดเอกดรรชนีแล้ว นายคือศิษย์ของอาตมา อาตมาสอนไม่ดีก็เป็นความผิดของอาตมา”
กองถ่ายไปแล้ว ทุกอย่างดูเหมือนจบแล้ว แต่ฟางเจิ้งพบว่าบางเรื่องยังไม่จบ
อย่างเช่นความฉงนที่ฆ่าหรือไม่ฆ่าที่ยังไม่ไข อย่างเช่นความผิดครั้งนี้คือความผิดของลิงหรือของเขากันแน่? สุดท้ายก็รู้ว่าความคิดไม่ได้อยู่ที่ลิง ถึงลิงจะฉลาดมีไหวพริบ แต่ก็ยังเป็นสัตว์ สัตว์มีความอยากรู้อยากเห็นมาก จะสนใจหรือว่าหยิบของอะไรมา? มันสนแค่ว่าสนุกน่าสนใจหรือไม่ก็เท่านั้น
ผู้ไม่รู้ไม่ผิด ฉะนั้นความผิดจึงเป็นของเขา สั่งสอนไม่ถูกต้องเดิมทีเป็นความผิด เกิดความผิดพลาดขึ้นกลับไม่ได้ตัดสินโดยเร็วโดยการส่งของกลับไป แต่เลือกซ่อนของเพราะความกระดากอายระหว่างชายหญิง แม้ต่อมาจะเข้าใจก็เถอะ แต่ก็สายเกินไป ผิดเป็นครู ผ่านประสบการณ์ครั้งนี้แล้วเขาได้เข้าใจหลักการอะไรมากมาย
แต่ความผิดก็คือความผิด จะปล่อยเพราะมันผ่านไปแล้วไม่ได้
ฟางเจิ้งกล่าว “พวกนายสามคนฟังให้ดี จากนี้ห้ามแตะของที่ไม่ใช่ของตัวเอง เข้าใจไหม?”
หมาป่าเดียวดายกับกระรอกพยักหน้ารัวๆ สื่อว่าเข้าใจและรู้สำนึกแล้ว
ลิงได้ยินดังนั้นจึงพูดด้วยความคับอกคับใจ “ตอนฉันอยู่วัดเมฆาขาวไม่เห็นมีใครบอกว่าหยิบไม่ได้ ทำไมมาที่นี่แล้วถึงถูกจำกัดเยอะแบบนี้ล่ะ?”
ฟางเจิ้งหันไปมองลิง “อาตมาแอบขโมยลูกท้อที่นายเด็ดมาได้ไหม?”
“ไม่ได้อยู่แล้ว” ลิงตอบ
“ทำไมถึงไม่ได้?” ฟางเจิ้งถามกลับ
“ก็เพราะฉันเด็ดมา มันเป็นของฉัน นายจะขโมยไปได้ยังไง” ลิงพูดอย่างมีเหตุผล
ฟางเจิ้งยิ้มนิดๆ “แล้วนายเอาของคนอื่นไปได้? อย่าทำในสิ่งที่เราไม่ชอบกับคนอื่น นายไม่อยากลำบาก แล้วทำไมถึงให้คนอื่นเขาลำบาก? เจ้าลิง นายอยากไปที่ไหนก็ถูกคนปารองเท้าใส่หรือว่าไปที่ไหนก็มีแต่คนส่งลูกท้อให้?”
ลิงอึ้งไป เกาก้นแล้วตอบ “ก็ต้องลูกท้อสิ”
“คนที่ให้ผู้อื่นมีความสุขถึงจะมีคนส่งลูกท้อให้ คนที่สร้างความลำบากให้คนอื่นจะถูกคนปารองเท้าใส่ วันนี้นายอยู่ในอุโบสถ อาตมาจะคิดเป็นเพื่อน คิดออกเมื่อไรก็ไปได้เมื่อนั้น” ฟางเจิ้งพูด
เจ้าลิงงงงวย เกาก้นพลางถาม “แล้วข้าวล่ะ?”
“คิดออกเมื่อไรก็กินข้าวเมื่อนั้น” ฟางเจิ้งตอบ
“หา…ได้ยังไงกัน?” ลิงร้อนใจแล้ว
ฟางเจิ้ง “นายคุกเข่าหนึ่งวัน อาตมาคุกเข่าสองวัน นายคุกเข่าสองวัน อาตมาคุกเข่าสี่วัน”
พอฟางเจิ้งลงโทษตัวเองเป็นสองเท่าแบบนี้ ลิงก็ไม่รู้จะโต้ตอบยังไง ได้แต่คุกเข่าอย่างว่าง่าย ตรึกตรองไป เพียงแต่ว่าถึงมันจะรู้ว่าตนทำผิด แต่ก็ยังดื้อรั้น ยังงึมงำอยู่ในใจ ‘เอาก็เอาไปแล้ว จะมาว่าฉันทำไม…’
ฟางเจิ้งไม่สนลิง เขาให้หมาป่าเดียวดายกับกระรอกคุกเข่าช่วงเช้าแล้วก็ให้เจ้าสองตัวนี้ออกไป ถึงยังไงสองตัวนี้ก็เป็นเพียงผู้สมรู้ร่วมคิด ทั้งยังสำนึกผิด มีทัศนคติดีน่าพอใจ แต่ลิงหัวแข็ง คุกเข่าช่วงเช้าจนปวดเข่าไปหมด ขยับไปมา แต่เป็นตายยังไงก็ไม่ยอมสำนึกผิด
ฟางเจิ้งไม่รีบ ลิงไม่สำนึกเขาก็จะอยู่เป็นเพื่อน มิหนำซ้ำตัวเขาเองก็กำลังใคร่ครวญถึงความผิดของตนด้วย…
‘การบำเพ็ญเพียรยังไม่พอ พอเจออะไรเข้าก็ตระหนก ปั่นป่วนเจตนาเดิม มักจะคิดแค่ปิดบังให้ผ่านๆ ไป แต่กลับลืมไปว่าสวรรค์รู้เห็นแต่ไม่เปิดเผย ทำผิดแล้วจะหลบได้ยังไง?’ คิดได้ดังนั้น ฟางเจิ้งก็พบว่าตนไม่ได้ทำผิดแค่อย่างเดียว!
นึกถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจ ยืนขึ้น “ลิง ไปเถอะ”
ลิงอึ้งไป กล่าว “เจ้าอาวาสจะไปไหน? ไม่ต้องคิดแล้วเหรอ?”
“ตามอาตมาลงเขา” ฟางเจิ้งตอบ
“ลงเขา?” ลิงงง
“ลงเขาไปสำนึกผิด” ฟางเจิ้งพูดพลางเดินออกจากอุโบสถ
ลิงพูดด้วยความไม่เข้าใจ “มันเป็นอดีตไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ผ่านไปแล้วก็จริง แต่จิตใจยังผ่านไปไม่ได้ เจ้าลิง นายคิดว่าสิ่งที่ทำมันถูกเลยจิตใจสงบอย่างนั้นหรือ?” ฟางเจิ้งถาม
ลิงเกาก้นโดยไม่รู้ตัว “ก็ประมาณนั้น…”
ตรงตีนเขา พวกคนกองเก็บของกันแล้ว เตรียมจะออกเดินทางตอนเย็น แต่ละคนนำอุปกรณ์การแสดงและพวกเสื้อผ้าขึ้นรถไปแล้ว หลินตงสือคำนวณข้าวของ หลัวลี่นับจำนวนคน อวี๋กว่างเจ๋อกับหลี่เสวี่ยอิงกำลังคุยกันเรื่องบท
ตอนนี้เองเหล่าเถาพลันร้องขึ้น “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ท่านมาได้ยังไง? หรือว่าทำใจจากพวกเราไม่ได้?”
ทุกคนได้ยินดังนั้นจึงมองตามไปโดยจิตใต้สำนึก เห็นฟางเจิ้งมีหน้าตาไร้กังวลเดินมาด้วยรอยยิ้มหลุดพ้น ข้างหลังเป็นลิงเขินอายตัวหนึ่ง เดินไปทีปิดหน้าไปที
“หลวงพี่ฟางเจิ้ง มาส่งพวกเราเหรอคะ?” ผู้หญิงคนหนึ่งยิ้ม
หลี่เสวี่ยอิงกับอวี๋กว่างเจ๋อได้ยินก็มองมา หลี่เสวี่ยอิงเห็นฟางเจิ้งทำหน้าไร้กังวลจึงเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี คิดในใจว่า ‘เขาคงไม่ทำอะไรแปลกๆ หรอกนะ?’
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “อมิตาพุทธ อาตมามาขอโทษ”
“ขอโทษ?” ทุกคนมึนงง อยู่ด้วยกันมาหลายวัน ฟางเจิ้งเป็นคนยังไงทุกคนรู้ดี นี่คือหลวงจีนที่สุภาพมาก ยิ้มเจิดจรัส ดีกับทุกคน ไม่มีใครมองเขาในภาพลบเลย…
หลี่อิงเสวี่ยคิดในใจว่าแย่แล้ว! ขณะจะลุกขึ้นไปห้ามกลับเห็นฟางเจิ้งมองมา แววตาใสสะอาด ไม่มีสิ่งเจือปนใดๆ เธอมองดวงตาคู่นั้นพลางถอนหายใจ รู้แล้วว่าถ้าไม่พูดเรื่องนี้ ฟางเจิ้งจะไม่ใช่ฟางเจิ้งอีก ที่เขาให้ความรู้สึกที่สะอาดแบบนั้นก็เพราะใจเขาสะอาด ไม่มีผงทราย ถ้าไม่พูด นั่นจะเป็นความผิดในใจเขา…
ฟางเจิ้งเห็นหลี่เสวี่ยอิงไม่ขยับจึงพูดต่อ “เรื่องเมื่อหลายวันก่อนที่พวกโยมของหาย จริงๆ แล้วเป็นความผิดอาตมาเอง”
“อะไรนะ?!” หลายคนร้องด้วยความตกใจ โดยเฉพาะพวกผู้ชายร่วมชาติ มีสีหน้าตกตะลึงแล้วต่างมองฟางเจิ้งด้วยแววตาแปลกๆ ไม่ได้รังเกียจ แต่กลับมีความเคารพและขบคิด
กระทั่งหลินตงสือปิดหน้าบ่นเงียบๆ “เวร ไต้ซือนี่แหละคือแบบอย่างในชีวิตฉัน แม่ง เอากางเกงในมาแบ่งฉันสักตัวสิ คนอื่นช่างมัน แต่ถ้าของเสวี่ยอิงฉันยอมทุ่มหมดตัวเลย…”
หลัวลี่ข้างๆ มองค้อน “แกนี่มันน่าผิดหวัง…ฉันขอของเสี่ยวหลิวก็พอ”
หลินตงสือ “#¥%¥#…”