บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 238 ควบคุม
“ก็แค่ห้าหมื่นหยวนนี่? เพื่อนผมให้มากกว่านั้นอีก ให้เป็นแสนยังมีเลย!” เด็กชายร้องโวย
ฟางเจิ้งเลิกคิ้วขึ้น “โยมน้อย บ้านเพื่อนโยมทำอาชีพอะไร?”
“บ้านเพื่อนเขาทำอสังหาริมทรัพย์ค่ะ” หญิงวัยกลางคนถอนหายใจ ส่วนลึกในแววตาซ่อนความเจ็บปวดและน้อยเนื้อต่ำใจไว้ลึกๆ บุพการีคนอื่นมีความสามารถ แต่เธอไร้ความสามารถ ลูกเป็นแบบนี้อีก เธอจึงทุกข์ใจกว่าเดิม
ฟางเจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย นั่งยองลง “แล้วทำไมโยมถึงส่งของขวัญให้นักไลฟ์คนนั้นล่ะ?”
“ผมว่าเธอสวยมาก อีกอย่างผมชอบเวลาที่เธอขานชื่อผมต่อหน้าคนเยอะๆ ตอนที่เธอขอบคุณ ผมรู้สึกเหมือนประสบความสำเร็จเลย” เมื่อเด็กชายพูดถึงตรงนี้ นัยน์ตาเต็มไปด้วยจินตนาการ
ฟางเจิ้งเข้าใจความคิดนี้มาก ตอนเขายังเรียนหนังสือพื้นฐานเศรษฐกิจไม่ดี ตอนที่เห็นเพื่อนๆ กินของอร่อยเล่นของสนุกๆ นั้น เขาเฝ้าใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งจะมีเงินแล้วเติมเต็มในวัยนั้น ตอนนั้นเขาน้อยเนื้อต่ำใจบ้าง แต่ก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนเด็กคนนี้ที่หลงใหลในชื่อเสียงและเกียรติยศในโลกจอมปลอม เด็กคนนี้ไม่ได้โดนของ คิดว่าจิตใจป่วย
ขณะเดียวกันฟางเจิ้งก็ไม่พอใจนักไลฟ์คนนั้น คุณหาเงินจากเด็กคนหนึ่ง รู้จักบาปบุญคุณโทษบ้างไหม?
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงถาม “อีกฝ่ายก็เอาเงินโยมไปอย่างนั้นเลยเหรอ?”
“เปล่า เธอถามว่าผมทำอะไร อายุเท่าไร ผมบอกว่าผมเป็นผู้ใหญ่ ทำงานแล้ว เงินแค่นี้เล็กน้อย” เด็กชายตอบหน้าเรียบนิ่ง เหมือนเงินนี่เล็กน้อยสำหรับเขาจริงๆ
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นจึงถอนหายใจโล่งอก อย่างน้อยนักไลฟ์ก็ถามก่อน อีกฝ่ายหาเงินประทังชีวิต ได้เงินมาอย่างสมเหตุผล ไม่มีเหตุผลอะไรจะไม่รับ มองในมุมนี้จะโทษอีกฝ่ายไม่ได้
แต่ฟางเจิ้งก็ยังถาม “ในอินเทอร์เน็ตโยมใช้ชื่อว่าอะไร? อาตมาก็ชอบดูไลฟ์เหมือนกัน รู้จักนักไลฟ์คนหนึ่งด้วย ไม่แน่อาตมาอาจเคยได้ยินชื่อเสียงโด่งดังของโยม”
เด็กชายใช้สายตาประมาณว่านายมองว่าฉันโง่อย่างนั้นเหรอมองฟางเจิ้ง ทว่าภายใต้สายตาเด็ดขาดของหญิงวัยกลางคน จึงตอบไปอย่างว่าง่าย “ราชาสูงศักดิ์”
ฟางเจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย จำชื่อนี้ไว้แล้ว ถึงอาจจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่ก็จะพยายามอย่างเต็มที่
ฟางเจิ้งยืนขึ้นพูด “สีกา สีกาพาเขามาวัดอยากจะล้างของยังไงล่ะ?”
หญิงวัยกลางคนได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าสับสน ส่ายหน้า “ฉัน…ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน…”
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย “สีกา ในเมื่อไม่รู้ว่าจะล้างของยังไง ให้อาตมาจัดการดีไหม?”
“คือ…” หญิงวัยกลางคนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยไว้ใจฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งเห็นดังว่าจึงยิ้ม “สีกาวางใจนะ วัดอาตมาไล่ของไม่คิดเงิน”
เธอถึงโล่งอก พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นขอรบกวนเจ้าอาวาสด้วยนะคะ”
ฟางเจิ้งพยักหน้า ก้มหน้ามองเด็กชาย “มากับอาตมา”
“ผมไม่ไป! ผมไม่อยากไป! ผมไม่ป่วย!” เด็กชายตะโกนเสียงดัง หมุนตัววิ่งหนีไป
หญิงวัยกลางคนไม่ได้จับไว้ ลูกชายวิ่งหนีไปจริงๆ จึงตะโกนเสียงดังด้วยความโกรธ ซ้ำจะไล่ตามไป
ฟางเจิ้งกลับพูดว่า “ไม่ต้องตามไป ถ้าสีกาวางใจก็ให้อาตมาจัดการเอง”
เธอจะยอมฟังได้ยังไง แต่จะไล่ตามไปโดยไม่สนฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งยิ้มมองเงาแผ่นหลังเด็กชาย ปลายนิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วก้อยขัดกัน นิ้วกลางหักกลับ นิ้วนางไขว้กัน พึมพำคาถาเงียบๆ ในใจ เอ่ยเบาๆ คำหนึ่ง “เจ่อ!”
เด็กชายที่กำลังวิ่งพลันรู้สึกว่าร่างกายเสียการควบคุม เขาอยากจะวิ่ง แต่ร่างกายกลับหยุดลงอย่างไร้การควบคุม จากนั้นหมุนตัววิ่งกลับไปทางวัด
เด็กชายทำหน้าราวกับเห็นผี มองฟางเจิ้งที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
หญิงวัยกลางคนอึ้งไปเช่นกัน ไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เด็กชายอยากจะร้องเสียงดังให้ช่วย แต่พออ้าปากกลับกลายเป็น “แม่ ผมเข้าใจแล้ว ผมจะขอลองกับเจ้าอาวาส”
หญิงวัยกลางคนได้ยินแบบนั้นพลันโล่งอก กอดหัวลูกชายไว้ “ดีๆๆ…ลูกคิดได้ก็ดีแล้ว” แต่แววตาที่มองฟางเจิ้งกลับมีความตกใจเพิ่มมาหลายส่วน เขาบอกว่าลูกจะกลับมาก็กลับมาจริงๆ นี่มหัศจรรย์เกินไปรึเปล่า? หรือว่าเขาจะรู้อนาคต?
คิดได้ดังนั้นความเชื่อใจต่อฟางเจิ้งเพิ่มมาไม่น้อย
แต่เด็กชายกลับมองหลวงจีนจีวรขาวตรงหน้าด้วยความตื่นกลัวอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้อะไรกับฟางเจิ้ง แต่ตอนนี้กลัวจริงๆ แล้ว ควบคุมร่างกายเขาได้อย่างเงียบสงัด นี่ยังเป็นคนอีกเหรอ? หรือว่าปีศาจ? คงไม่กินเขาหรอกนะ?
ฟางเจิ้งหมุนตัวกลับเดินเข้าไปในวัด เด็กชายเดินตามข้างหลัง ส่วนหญิงวัยกลางคนตามไปทันที
ฟางเจิ้งถามหญิงวัยกลางคน “สีกาชื่ออะไรเหรอ?”
“ฉันหลิวไต้เฟินค่ะ นี่ลูกชาย หลี่เฮ่าเผิง” หลิวไต้เฟินตอบ
“พ่อเขาล่ะ?” ฟางเจิ้งถามโดยจิตใต้สำนึก
หลิวไต้เฟินได้ยินแบบนั้น สีหน้าเต็มไปด้วยความหงอยเหงา…ตอบไปว่า “ไปแล้วเมื่อสามปีก่อนค่ะ”
ฟางเจิ้งประนมสองมือสวดบทหนึ่ง “อมิตาพุทธ สีการะงับความโศกเถอะ”
หลิวไต้เฟินส่ายหน้า “ผ่านมาหลายปีก็ชินแล้วค่ะ เจ้าอาวาส ท่านรักษาลูกคนนี้ได้จริงๆ ใช่ไหมคะ?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “อาตมาทำได้แค่สุดความสามารถ จะเปลี่ยนได้ไหมต้องดูที่เด็กคนนี้ และก็สีกา”
“ฉันเหรอคะ?” หลิวไต้เฟินงุนงง
ฟางเจิ้งพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร จนเดินมาอยู่หน้าอุโบสถ ฟางเจิ้งเอ่ยกับหลี่เฮ่าเผิง “เข้าไปคุกเข่าไหว้พระเงียบๆ เถอะ”
หลิวไต้เฟินได้ยินเข้าก็อยากจะพูดบางอย่าง เธอรู้จักลูกตัวเองดี ถ้าหลี่เฮ่าเผิงชื่อฟังขนาดนั้นก็คงดี แต่สิ่งที่เธอตกใจคือหลี่เฮ่าเผิงเข้าไปจริงๆ คุกเข่าลงอย่างว่าง่าย เธอที่มองอยู่ตาค้างอ้าปากกว้าง แววตาที่มองฟางเจิ้งมีความเหลือเชื่อและเคารพเพิ่มมาหลายส่วน
ฟางเจิ้งให้หลิวไต้เฟินรอที่หน้าประตู ส่วนตนเข้าไปในอุโบสถ เคาะมู่อวี๋ สวดมนต์
ความจริงฟางเจิ้งแสร้งทำให้ดูลึกลับ เด็กเทียบไม่ได้กับผู้ใหญ่ ความฝันยามต้มข้างฟ่างต้องอาศัยพลังจิตวิญญาณของทุกคนอย่างมาก ถ้าอีกฝ่ายอ่อนแอมากหรือจิตใจเปราะบาง เขาฝืนเข้าฝันไปจะเป็นอันตรายมาก ดังนั้นจึงไม่คิดจะฝืนดึงหลี่เฮ่าเผิงเข้าฝันยามต้มข้าวฟ่าง
แต่เมื่อหลิวไต้เฟินวางใจแล้ว เขาจะใช้มุทราราชสีห์ในอีกครั้ง พ่นอักขระเจ่อจากปาก คำสั่งจิตใต้สำนึกเข้าไปในจิตสำนึกของหลี่เฮ่าเผิงก่อนสวดมนต์ต่อ
หลี่เฮ่าเผิงไม่รู้สึกแปลกอะไร ที่เป็นทุกข์เพียงอย่างเดียวคือควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้! ซึ่งมันน่ากลัวกว่าฆ่าเขาอีก
หนึ่งชั่วโมงต่อมาฟางเจิ้งดูเวลาแล้วต้องกินข้าว จึงลุกขึ้นพาหลี่เฮ่าเผิงออกมา
หลิวไต้เฟินมองฟางเจิ้งด้วยความตึงเครียดและกังวล “หลวงพี่ เป็นยังไงบ้างคะ?”
ฟางเจิ้งยิ้ม “อมิตาพุทธ อาตมาได้แค่ช่วยสวดมนต์ให้เขาเท่านั้น จะเปลี่ยนได้ไหมต้องดูที่ตัวเขาเอง สีกา เที่ยงแล้ว อย่าให้ลูกหิวข้าว รีบลงเขาไปเถอะ”
หลิวไต้เฟินได้ยินดังนั้นจึงรีบขอบคุณ ลูบกระเป๋ากางเกง หน้าตาเผยความเสียดายเสี้ยวหนึ่ง ฟางเจิ้งยิ้มกล่าว “เงินจุดธูปไม่ขึ้นอยู่กับว่าเท่าไร เพียงแค่มีน้ำใจ ปกติวัดอาตมาเก็บประมาณหนึ่งหยวน”
ครั้งนี้ฟางเจิ้งโกหก แต่เขาก็รู้ว่าการโกหกด้วยเจตนาดีจะไม่ถูกลงโทษ เขาจึงโกหกได้อย่างเต็มที่