บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 253 มองทหารกลับมา
“ใช้เพียงใจเท่านั้น?” หลิวฟางฟางเอามือทาบหน้าอกตกอยู่ในห้วงความคิด หลายปีมานี้เขาจากเธอไปจริงๆ หรือ? เธอยืนอยู่ข้างแม่น้ำ ทุกวันที่เห็นเรือเป็นเรือเปล่าจริงๆ? เขาไม่เคยกลับมาเลย?
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลิวฟางฟางถึงเปิดประตูใหญ่วัด เดินออกไปเนิบๆ ลิงข้างหลังเกาหัว ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างเลย…
ขณะนี้เองฟางเจิ้งวางมาดไต้ซือลงไปนานแล้ว เขาหยิบมือถือขึ้นมาเล่าเรื่องทุกอย่างที่เห็นให้กับจิ่งเหยียนฟัง สรุป…
“ฮือๆๆ…กินใจชะมัด…ฮือๆ…” จิ่งเหยียนฟังจบถึงกับร้องไห้โฮ
ฟางเจิ้งหมดคำจะพูด จึงรีบเอ่ยไปว่า “อมิตาพุทธ สีกา ซาบซึ้งก็ซาบซึ้งเถอะ สีกายังมีเรื่องต้องทำอีก ฟังอาตมา จะรื้อท่าเรือนั่นไม่ได้! แล้วก็ช่วยเธอตามหาอวี๋กว่างหวา ช่วยลบล้างความเสียใจครั้งสุดท้ายของคนแก่เถอะ”
“วางใจค่ะ ฉันจะทำให้ได้ เอ่อ แล้วท่านไม่ได้โน้มน้าวให้เธอปล่อยวางท่าเรือนั่นเหรอคะ?” จิ่งเหยียนเช็ดน้ำตา
“เธอจะปล่อยวางหรือไม่มันสำคัญหรือ?” ฟางเจิ้งพูดจบก็วางสายไป มีบางคำที่อยากพูด ทว่าเขาพบว่าตนใช้ความสามารถที่มีจำกัดจนหมดสิ้นแล้ว ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร รู้สึกแค่หัวใจมันเศร้าๆ ส่วนหลิวฟางฟาง หลังเห็นความทรงจำนั้นของเธอแล้วก็เลิกคิดจะโน้มน้าวให้เธอปล่อยวางท่าเรือนั่น เขาแค่อยากให้ชีวิตที่เหลืออยู่ของเธอมีความสุขกว่านี้ สบายกว่านี้ก็เท่านั้นเอง
จิ่งเหยียนชะงักงัน จากนั้นเข้าสู่ความคิด สุดท้ายโทรศัพท์แล้วพูดบางอย่าง
“จิ่งเหยียน ผมคุยกับคุณแล้วนี่ คุณพูดกับทุกคนเถอะ ดูทุกคนจะว่ายังไง…พวกเรากำลังประชุมอยู่พอดี พูดที่คุณรู้ได้ยินมาให้หมด” ปลายสายเป็นเสียงน่าเกรงขาม
ณ รัฐบาลเมืองเฮยซาน ชายวัยกลางคนกดปุ่มลำโพงแล้ววางมือถือไว้บนโต๊ะ เอ่ย “ทุกคนฟังหน่อยเถอะ แล้วค่อยหารือกันว่าจะรื้อไม่รื้อ”
จิ่งเหยียนใจเต้นระรัว ไม่นึกเลยว่าสายนี้จะหนักหนาแบบนี้ ไม่อยากเชื่อว่ากำลังประชุมกันในเมือง!
แต่จิ่งเหยียนไม่ประหม่า สูดลมหายใจเข้าลึก ค้นข้อมูลจากสิ่งที่ฟางเจิ้งพูดในสมองอย่างรวดเร็ว จากนั้นเรียบเรียงเป็นเรื่องราวพูดออกมา…ตอนนี้จิ่งเหยียนทิ้งฐานะนักข่าวเป็นครั้งแรก ไม่ได้บรรยายแบบเรียบๆ แต่มองว่าตนเป็นหลิวฟางฟาง บรรยายอย่างมีอารมณ์ความรู้สึกถึงความรักที่ต้องหยุดลงเพราะสงคราม แต่เพราะหัวใจจึงยังเดินหน้าความรักต่อไป เล่าไปพลางร้องไห้ไปพลางจนเล่าจบ เธอพบว่าวันนี้ได้แสดงความสามารถเหนือกว่ามาตรฐาน! เมื่อก่อนเธอเล่าไม่ได้ดีขนาดนี้!
เล่าเรื่องจบ อีกฝ่ายกลับเงียบ หัวใจจิ่งเหยียนเต้นตาม พวกเขาจะฟังตนไหม? จะซาบซึ้งรึเปล่า?
ตอนนี้เองปลายสายส่งเสียงดังขึ้น “ไม่นึกเลยว่าผีแห่งแม่น้ำซงฮวาจะมีเบื้องหลังแบบนี้”
“วีรบุรุษไปแล้ว จะหมดหนทางกลับไม่ได้”
“ฉันขอเสนอให้เก็บท่าเรือเก่าไว้ เพื่อภรรยาทหารอย่างหลิวฟางฟาง และก็เพื่อภรรยาทหารทุกคนในจีน ทหารสละชีพ จะให้ญาติพี่น้องพวกเขาไม่มีความหวังไม่ได้”
“เห็นด้วย!”
“ฉันเห็นด้วย!”
……
จิ่งเหยียนได้ยินเสียงปลายสายก็ยิ้มทั้งน้ำตา รู้สึกแปลกใจนิดๆ
ไม่นานหลิวฟางฟางลงมา จิ่งเหยียนสูดลมหายใจเข้าลึก กลั้นน้ำตาไว้ ขณะเดียวกันไม่รู้ว่าจะพูดกับหญิงชราหัวแข็งตรงหน้าอย่างไร พูดซะดิบดีว่าจะพาขึ้นเขา แต่กลับถูกบิดไม่ทำตามคำพูด…
ทว่าสุดท้ายกลายเป็นรอยยิ้มและจบลง
ขึ้นรถมา จิ่งเหยียนถาม “ป้าหลิวจะไปไหนคะ?”
“ไปท่าเรือ ป้าอยากไปดู” หลิวฟางฟางตอบเสียงต่ำ
จิ่งเหยียนได้ยินแบบนั้นหัวใจเต้นตึกๆ หรือว่าหลิวฟางฟางยังคิดไม่ได้? ยังจะไปทุกข์ระทมอีก?
ตลอดทางสองคนไม่ได้คุยกัน ถึงท่าเรือ จิ่งเหยียนพูด “ป้าหลิว ถึงแล้วค่ะ” เห็นท่าเรือเก่าที่ยังสมบูรณ์ จิ่งเหยียนลอบถอนหายใจโล่งอก
“ใช่ ถึงแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถอะ” หลิวฟางฟางโพร่งขึ้น
จิ่งเหยียนมึนงง “ไป? ไปไหนคะ?”
“ป้าอยากกลับบ้านเกิด หมู่บ้านต้าหลิว ไม่รู้ว่าต้นเบิรช์ขาวนั่นยังอยู่ไหม” หลิวฟางฟางพูด
จิ่งเหยียนตะลึงงันอีกรอบ ก่อนพูดยิ้มๆ “ป้าหลิว คือจะกลับบ้านเหรอคะ?”
“อืม คนที่รอกลับมาแล้ว ก็ต้องกลับสิ” หลิวฟางฟางยิ้มเอาหลังพิงเบาะนั่ง จากนั้นหรี่ตาลง
จิ่งเหยียนยิ้มแล้ว คิดในใจ ‘เขาไม่ทำให้ฉันผิดหวังจริงๆ เก่งมาก…’
จิ่งเหยียนไปแล้ว แต่ประชากรไม่น้อยตรงท่าเรือเก่าต่างทำหน้างง นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ตอนเช้าตรู่มีพวกเครื่องมือเช่นเครื่องขุดเจาะกองใหญ่มา ประกาศว่าจะรื้อท่าเรือเก่า แต่ส่งเสียงถึงกลางวันกลับหายไปกันหมด นี่กำลังฝึกซ้อมรื้อกันอยู่รึเปล่า?
หลายวันต่อมาเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปตามท้องตลาด หลังทุกคนรู้อดีตของหลิวฟางฟางต่างต่อว่าตัวเอง หลายคนออกตามหาหลิวฟางฟาง แค่อยากบอกว่า ‘ขอโทษ’
น่าเสียดายหลิวฟางฟางออกจากเมืองเฮยซานไปนานแล้ว กลับไปบ้านเกิด แถมยังไม่มีใครปล่อยเรื่องที่อยู่บ้านเกิดเธอด้วย มีแค่ไม่กี่คนที่ไปเยี่ยมเธอ จนมั่นใจว่าชีวิตเธอมั่นคงแล้วก็ให้ความสงบแก่เธอ หลิวฟางฟางจะไปที่ป่าต้นเบิรช์ขาวทุกวัน มองอักษรที่สลักเหล่านั้น ยิ้มเหมือนเด็กน้อย
“ฟู่ว อายุมากแล้วจริงๆ ความจำคงไม่ดี เอาแบบนี้ไปก่อนแล้วกัน” ห่างออกไปไกล ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านต้าหลิวนั่งยองอยู่ในพุ่มหญ้า ปากพึมพำ
“ใช่ ไม่อยากเชื่อเลยนะว่าที่เราแกะสลักไว้ชั่วคราวจะได้ผล เหอะๆ…” อีกคนหัวเราะ
……..
แต่สองคนที่กำลังลำพองใจไม่ได้ยินเสียงพึมพำของหลิวฟางฟางที่ยืนหน้าต้นไม่ “ถึงจะเป็นของปลอม แต่ก็ขอบคุณ…”
สิบปีต่อมาหลิวฟางฟางได้รับจดหมายจากทางทหาร ในนั้นมีของสองอย่าง หนึ่งคือรูปที่เธอให้กับอวี๋กว่างหวา อีกหนึ่งคือตราทหาร! และยังมีจดหมายฉบับหนึ่ง เขียนไว้ถึงความกล้าหาญของอวี๋กว่างหวา และยังยืนยันด้วยว่าอวี๋กว่างหวาสละชีพแล้ว
สามปีต่อมาหลิวฟางฟางกอดตราทหารกับภาพถ่ายรูปนั้นลาจากโลกนี้ไป และตรงท่าเรือเก่ามีรูปปั้นแกะสลักทองสัมฤทธิ์เพิ่มมา เป็นผู้หญิงสวมกี่เพ้า มองทอดไกลไปทางตะวันออก คนท้องถิ่นเรียกว่า ‘มองทหารกลับบ้าน’
ทว่าฟางเจิ้งไม่รู้เรื่องในอนาคต เขารู้เพียงว่าตอนนี้เขากลัดกลุ้มมาก เพราะว่า…
“เจ้าหมาป่าเดียวดาย นายรู้ไหมว่าโต๊ะนี่มีค่ากับพวกเราแค่ไหน?” ฟางเจิ้งมองโต๊ะที่ขาหักไปข้างหนึ่งพลางกัดฟันพูดด้วยความโกรธ
“เจ้าอาวาส ฉันไม่ได้ตั้งใจ…” หมาป่าเดียวดายก้มหน้าลง ทำท่าทางเหมือนเด็กทำความผิด
ลิงกอดไม้กวาดอยู่ข้างๆ พูดขึ้นด้วยความสุขที่เห็นคนอื่นทุกข์ “เจ้าอาวาส ฉันเป็นพยานได้ว่าเจ้านี่กัดขาโต๊ะลับฟันจนขาโต๊ะหัก…”
หมาป่าเดียวดายพลันถลึงตามองลิง ลิงเชิดหน้าขึ้น ทำทีว่าไม่ได้พูดอะไร
ฟางเจิ้งมองหมาป่าเดียวดายอีกครั้ง มันไม่กล้าออกเสียงแล้ว
ฟางเจิ้งเงียบเช่นกัน เขากำลังตรึกตรองถึงปัญหาว่าโต๊ะพังแล้วจากนี้จะกินข้าวอย่างไร วันเวลาที่ได้มีโต๊ะกินข้าวเป็นของตัวเองอย่างมีความสุขหายไปแล้ว หรือว่าจะต้องถือชาม นั่งยองตรงมุมกำแพงกินข้าว?
ฟางเจิ้งไม่พูด หมาป่าเดียวดายรู้สึกถึงแรงกดดันดั่งภูเขาใหญ่ คิดว่าฟางเจิ้งกำลังคิดหาวิธีจัดการมัน จึงถามเสียงอ่อย “เจ้าอาวาส เอ่อ…จะทำยังไงดี?”
ฟางเจิ้งชำเลืองตามองหมาป่าเดียวดายแวบหนึ่งแล้วตอบด้วยความจนปัญญาเล็กน้อย “ถ้านายสบายดีฟ้าคงแจ่มใส”
“แล้วถ้าไม่สบายดีล่ะ?” หมาป่าเดียวดายถาม
…………………..