บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 303 ศิษย์อาจารย์ระบายความในใจ
“เพราะเขาเป็นคนที่น่าช่วย” ฟางเจิ้งตอบ
“ชิ โลกนี้นอกจากตัวเองแล้วใครจะมีค่าพอให้เคารพ?” เด็กแดงตอบโดยไม่คิดอย่างนั้น ก่อนถามต่อ “อาจารย์ ท่านรู้หรือว่าโรงพยาบาลนั่นอยู่ที่ใด?”
ดวงตาสองข้างของฟางเจิ้งสับสน ใช่ โรงพยาบาลนั่นอยู่ไหน? นี่คือปัญหาจริงๆ!
“อาจารย์ ดูท่าพวกเราต้องนั่งลงแล้วค่อยๆ คิดก่อน ข้าได้กลิ่นหอมมากลอยโชยมาจากในร้านพวกนั้น พวกเราไปนั่งกันก่อนดีหรือไม่?” เด็กแดงมองป้ายใหญ่ที่แขวนตรงข้ามถนน หม้อเหล็กชิดกับห่านตัวใหญ่บนป้ายทำให้น้ำลายเริ่มสอแล้ว
ฟางเจิ้งชำเลืองตามองเจ้าคนไร้อนาคตแวบหนึ่ง ส่ายหน้าแล้วเดินไปข้างนอก
ฟางเจิ้งกล่าว “เข้าร้านนั่นต้องจ่ายเงิน อาจารย์นายยากจนถึงขั้นไม่มีแม้แต่เหมาเดียว จะเอาอะไรมาให้นายกิน?” ฟางเจิ้งพูดความจริง ถ้าบอกว่ามีเงินก็ไม่น้อยเหมือนกัน แต่เป็นเงินจุดธูปทั้งหมด ดูแต่ใช้จ่ายไม่ได้ จึงยังเป็นคนยากจน
“เงิน…ธนาคารทองรึ?” เด็กแดงว่าต่อทันที
ฟางเจิ้งอึ้งไป “นายมีเงินเหรอ?”
เด็กแดงยกมือเล็กขึ้นมา “ท่านดูกำไลทองที่มือข้า เอาไปขายน่าจะได้เงินมาไม่น้อยนี่?”
ฟางเจิ้งมองบน ไอ้เด็กเวรนี่คิดจะใช้ลูกเล่นอีกแล้ว นั่นกำไลทอง? เป็นมนต์มงคลทองคำอยู่ในชุดเดียวกับมนต์มงคลรัดแน่นบนหัวซึงหงอคง พระโพธิสัตว์กวนอิมมีมนต์มงคลสามชุดคือแน่น ทองคำและผนึก แบ่งให้ซึงหงอคง เด็กแดงรวมถึงปีศาจหมีดำ นี่ก็เป็นรากฐานที่ฟางเจิ้งใช้ควบคุมเด็กแดง ถ้าปลดออก ด้วยนิสัยเด็กแดงแล้ว ต่อให้ฆ่าฟางเจิ้งไม่ได้ก็คงจะทำให้โลกมนุษย์เต็มไปด้วยควันดำ
ฟางเจิ้งยกมือขึ้นเขกหัวไปทีหนึ่ง แต่เกิดเสียงดังแก๊ง เด็กแดงไม่เป็นอะไรเลย ฟางเจิ้งจำใจเล็กน้อย หัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์เหมือนจะไม่พอใช้อยู่นิดๆ…ทว่าก็ยังสั่งสอนว่า “นายคิดว่าอาตมาไม่รู้ว่านั่นคืออะไรหรือ? เก็บลูกไม้ตื้นๆ นั่นไปซะ ตามอาตมาดูโลกให้ดีๆ ถ้าทำตัวดี วันข้างหน้าจะเป็นอิสระ ถ้าทำตัวไม่ดี เฮ้อ…นายต้องตามอาตมาไปอีกแสนนาน”
“อะไรนะ? ถ้าข้าไม่ตระหนักรู้แจ่มแจ้งก็จะไม่ได้กลับไปอย่างนั้นหรือ?” เด็กแดงร้อนใจแล้ว
ฟางเจิ้งชำเลืองตามองเด็กแดงแวบหนึ่ง “นายคิดว่ามีแค่นายที่ร้อนใจรึ? อาตมาก็อยากสึกเหมือนกัน…”
“เอ่อ…อาจารย์ ท่านล้อเล่นรึ? อยากสึก? ถ้าอยากสึกจริงๆ ก็สึกตอนนี้เลยสิ สึกแล้วเราจะออกไปยึดครองโลกด้วยกัน เป็นราชาผู้ยิ่งใหญ่ ศิษย์จะหาหญิงงามให้ท่านเป็นร้อยเป็นพันคน อยากกินอาหารเลิศรสอะไรก็ได้กิน!” เด็กแดงพลันคึกคักขึ้นมา
แต่ฟางเจิ้งมองค้อนเขา “ถ้าสึกง่ายขนาดนั้นอาตมาสึกไปนานแล้ว ยังต้องให้นายสอนอีกรึไง? หนทางของอาตมาเดินยากกว่านายเยอะ”
“เดินยากแค่ไหน? ถ้าข้าไม่สำเร็จอรหันต์ก็จะกลับไม่ได้ ท่านล่ะ?” เด็กแดงไม่คิดว่าฟางเจิ้งอนาถากว่าเขา
แต่ฟางเจิ้งกลับเงยหน้าถอนหายใจยาว “ถ้าอาตมาไม่สำเร็จอรหันต์ก็จะสึกไม่ได้” พูดจบ น้ำตาแทบจะนองหน้า
เด็กแดงกระโดดขึ้นมาตบบ่าฟางเจิ้ง เอ่ยด้วยความเห็นใจ “อมิตาพุทธ ข้ายังมีหวัง ท่านอาจจะสิ้นหวังในชีวิตนี้แล้ว”
ฟางเจิ้ง “…”
“อาจารย์ ท่านเองไม่ยังอยากสำเร็จอรหันต์เลย แล้วจะให้ข้ากลับใจ? จะให้ข้ากลับใจได้หรือ?” เด็กแดงถาม
ฟางเจิ้ง “ให้นายกลับใจ? ทำไมอาตมาต้องให้นายกลับใจ?”
เด็กแดงงุนงง “หรือว่าท่านไม่ได้ควบคุมข้าเพราะจะให้ข้ากลับใจ?”
“บอกนายไปนานแล้วไง อาจารย์ไม่สนใจเรื่องให้นายสำเร็จอรหันต์ ที่ควบคุมนายไว้ก็เพื่อให้นายลดการสร้างปัญหาลงเท่านั้นเอง ส่วนเหตุผลที่มาดูโลกกับนายก็เพื่อให้นายดูด้วยตัวเอง ได้ฟัง สุดท้ายจะตระหนักอะไรได้นั้น นั่นคือเรื่องของนายเอง ทุกคนต่างมีจิตวิญญาณของตัวเอง มีนิสัยของตัวเอง ถ้าฝืนพานายกลับใจ นั่นจะต่างอะไรกับปีศาจกินคน? แน่นอนอาตมาไม่รู้ว่าจะทำยังไง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม…นายกับอาตมาต่างประสบเรื่องที่ไม่ดีกันทั้งนั้น อาตมาไม่บังคับให้นายเป็นพระอาจารย์หรอก” ฟางเจิ้งพูดจากใจจริง ระบบช่วยให้เขากลับใจก็ช่วยแบบนี้ การบีบบังคับเป็นเพียงแค่การควบคุมการกระทำที่น่ารังเกียจไปจริงๆ อย่างเช่นด่าคน…ด่าคนไม่ว่าจะเป็นพระอาจารย์หรือไม่ ไปอยู่ในกลุ่มไหนล้วนเป็นสิ่งที่ถูกทิ้งจากกองขยะ
เหมือนคำกล่าวที่ว่าไม่ชอบสิ่งใดก็อย่าทำสิ่งนั้นกับคนอื่น ฟางเจิ้งไม่ชอบถูกก้าวก่ายและถูกเปลี่ยนมากเกินไป เขาย่อมไม่ใช้วิธีการนั้นกับเด็กแดง
เด็กแดงแสยะปาก ไม่พูดอะไร ผ่านไปนานถึงพูดตอบ “อาจารย์ คือว่า…พวกเราจะไปที่ใดกัน?”
ฟางเจิ้งว่า “อาจารย์เคยบอกแล้วนี่ ใต้จมูกมีปาก เส้นทางออกจากประตู หาไม่เจอก็ถาม”
ทว่าผ่านไปพักใหญ่ฟางเจิ้งยังไม่ทันเปิดประตู เด็กแดงอดใจถามขึ้นไม่ได้ว่า “อาจารย์ ทำไมปากใต้จมูกท่านถึงไม่ถามทาง?”
ฟางเจิ้งมองคนสองข้างทางแล้วก็หน้าแดง ไม่ใช่ว่าไม่อยากถาม ทว่าแต่ละคนสวมกระโปรงสั้น ขาเรียวยาว เขากระดากอายที่จะถาม! ไม่ง่ายเลยกว่าจะหาผู้ชายเจอและก็มีท่าทีเร่งรีบด้วย ฟางเจิ้งหน้าบาง ปากพูดง่าย แต่เวลาจะถามทางจริงๆ กลับอ้าปากไม่ขึ้น บอกกับตัวเองตลอดว่ารอคนต่อไปๆ ผลคือรอจนถึงตอนนี้
“อาจารย์ ท่านอายที่จะถามหรือ?” เด็กแดงทำท่าทีเย้ยเยาะ
ถูกศิษย์เย้ยเยาะ? จะไปได้อย่างไรกัน? ฟางเจิ้งจึงกัดฟันเดินไปทางผู้หญิงที่ยืนอยู่นอกประตูร้านคนหนึ่ง ฟางเจิ้งยังไม่ทันพูด
ผู้หญิงคนนั้นยิ้มก่อน “ไต้ซือ สระผมหรือคะ? พวกเราเป็นร้านมาตรฐานเลยนะ ให้บริการสระผมชั้นหนึ่ง รับรองว่าท่านสบายแน่ๆ…”
ฟางเจิ้งหน้าแดงฉาด เพราะผู้หญิงคนนี้เข้ามาใกล้ โค้งตัวเล็กน้อย วินาทีนั้นในหัวเขามีเพียงความคิดเดียว…ปิดประตู ปล่อยเด็กแดง ตบปีศาจตนนี้ให้ตาย!
เห็นฟางเจิ้งหน้าแดง ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะทันที เธอเพิ่งเคยเจอกับผู้ชายที่หน้าแดงง่ายแบบนี้เป็นครั้งแรก แม้จะเป็นหลวงจีนก็ตาม…เธอว่าต่อ “ไต้ซือคะ เกือบลืมไปแล้วว่าท่าน…เหมือนจะไม่มีผม”
ฟางเจิ้งรู้ว่าตนถูกหยอกล้อจึงประนมสองมือ สวดไปบทหนึ่ง “อมิตาพุทธ สีกา ขอถามหน่อยว่าโรงพยาบาลใจกลางมณฑลไปทางไหน?”
“อ๋อ ที่แท้ก็ถามทาง เลียบถนนเส้นนี้ไปเรื่อยๆ ผ่านไปสามทางแยกแล้วเลี้ยวขวาเดินไปถึงทางแยกหนึ่ง จะอยู่ทางซ้ายมือของถนน ไต้ซือ ท่านมั่นใจนะว่าจะไม่ลองนวดหัวอะไรพวกนี้?” ผู้หญิงพูดจบก็เริ่มหยอกเย้าฟางเจิ้งอีก ช่วยไม่ได้ เจอแต่คนไม่จริงใจในเมือง พลันมาเจอกับหญ้าอ่อนแบบนี้จึงเหมือนกับคุณอาเจอกับสาวโลลิน้อย จะอดใจอยากแกล้งไหวได้หรือ
ฟางเจิ้งยิ้มแห้งๆ “อมิตาพุทธ ขอบคุณความหวังดีของสีกามาก แต่อาตมามีเรื่องด่วนต้องไปก่อน”
พูดจบฟางเจิ้งก็รีบลากเด็กแดงที่กำลังศึกษาว่าในร้านมีอะไรบ้างไป
“อาจารย์ จะไปแล้วรึ? ข้ายังดูไม่เสร็จเลย ท่านว่าไหม แค่สระผมเอง เหตุใดต้องคิดเงิน?” เด็กแดงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เธอเปิดร้านทำผม เป็นมืออาชีพ ทำออกมาดูดี”
“ถ้าอย่างนั้นทำทรงผมสวยๆ ให้ข้าได้หรือไม่?” เด็กแดงถาม
“นายเหรอ? กลับไปเดี๋ยวอาจารย์จะทำให้”
“ท่านเองก็เป็นมืออาชีพ?”
“มืออาชีพมากๆ!”
“แล้วท่านจะทำผมทรงอะไรให้ข้า?”
“เหมือนกับอาจารย์!”
เด็กแดง “…”
………………………