บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 306 ใครได้กำไร
แต่ว่าหลายนาทีต่อมา หมอถอนหายใจ “ไม่ไหวแล้ว โรคของคนไข้สาหัสเกินไป แต่เดิมทีเหมือนว่าเขาจะทนจนจบการผ่าตัดไม่ไหว”
“แล้วจะทำยังไงคะ?” พยาบาลถาม
“ไม่รู้” หมอลำบากเล็กน้อยแล้ว
พยาบาลหันไปมองอวี๋เฟย เห็นว่าในมืออวี๋เฟยถือกล่องใบหนึ่ง จึงขมวดคิ้ว “อวี๋เฟย ทำไมเธอเอาของข้างนอกเข้ามา?”
พยาบาลเอ่ยปากพร้อมกับเอียงตัวเข้าไป เปิดช่องว่างระหว่างอวี๋เฟยกับชายชรา ดวงตาขุ่นมัวของชายชรามองเห็นกล่องในมืออวี๋เฟยในแวบแรก วินาทีนั้นชายชราดูฮึกเหิมขึ้นมาอย่างชัดเจน แม้จะถูกฉีดยาชา แม้จะมีความเลอะเลือนจากความชราภาพเล็กน้อย แม้ออกจากบ้านมาจะหาบ้านไม่เจอ เข้าห้องน้ำถอดกางเกงไม่ได้ แต่กล่องนั่น เขาไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต!
อวี๋เฟยตกใจสะดุ้ง อยากจะอธิบายบางอย่างแต่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ได้แต่พูดว่า “ญาติผู้ป่วยให้เอาเข้ามาค่ะ”
“นั่นเอาเข้าห้องผ่าตัดไม่ได้นะ!” พยาบาลร้อนใจแล้ว
ตอนนี้เองหมอพลันกล่าวขึ้น “เอามา!”
พยาบาลคิดโดยจิตใต้สำนึกว่าหมอบอกว่าให้เอาออกไป จึงอ้าปากว่า “ยังไม่รีบเอาออกไป…หืม? เอามา?”
หมอพูด “ผู้ป่วยน่าจะผูกพันกับกล่องนี่มาก มันทำให้เขาอยากมีชีวิตอีกครั้ง บางทีอาจสร้างปาฏิหาริย์ได้! นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าแค่กล่องธรรมดาจะทำให้เขายึดมั่นขนาดนี้” หมอพูดพึมพำก่อนรีบเอ่ยต่อ “อย่าพูดมาก อวี๋เฟยเอากล่องวางไว้ตรงจุดที่ผู้ป่วยเห็นได้ รีบช่วยกัน จบการผ่าตัดให้เร็วที่สุด!”
“ค่ะ!” อวี๋เฟยมองข้ามสายตาไม่พอใจของพยาบาลอีกคน วางกล่องไว้อย่างดีแล้วพร้อมกับลอบถอนหายใจโล่งอก สุดท้ายเธอเดิมพันถูกต้อง…ต่อไปไม่ต้องกังวลว่าจะถูกลงโทษแล้ว
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว นอกประตู ฟางเจิ้งนั่งอย่างสงบนิ่ง พลันพบว่าแสงทองในห้องผ่าตัดสว่างขึ้นเรื่อยๆ จึงยิ้ม
หวงเจิ้นหวาไม่ค่อยถูกชะตากับฟางเจิ้งมาตลอด เห็นฟางเจิ้งยิ้มก็โกรธขึ้นมา “หลวงจีน เวลาแบบนี้แกยังยิ้ม? จะมาหัวเราะพวกเรารึไง?”
หวงซิ่งหวาขมวดคิ้วเช่นกัน “หลวงพี่ เวลาแบบนี้ท่านยังยิ้ม?”
หลิวน่ากับเจี๋ยงหมิ่นไม่พอใจเล็กน้อย
ฟางเจิ้งพูดยิ้มๆ “เขาไม่เป็นอะไรแล้ว ทำไมอาตมาจะยิ้มไม่ได้?”
“ไม่เป็นไรแล้ว?” สี่คนตะลึงค้างไปพร้อมกัน
หวงเจิ้นหวาพูดต่อทันที “หลวงจีน แกคงไม่พูดจาซี้ซั้วอีกแล้วหรอกนะ”
เจี๋ยงหมิ่นว่า “หวังว่าพูดจาซี้ซั้วจะถูกนะ…”
ขณะที่หลายคนกำลังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่นั้น ประตูห้องผ่าตัดเปิดออก ตามด้วยพยาบาลสองคนกับหมอที่เหมือนเพิ่งตักขึ้นมาจากน้ำเข็นชายชราออกมา หมอดูเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด ออกมาแล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ พูดกับคนเหล่านี้ว่า “คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วอย่าเพิ่งคุยกับผม ให้ผมพักสักเดี๋ยว”
สี่คนได้ยินดังนั้นพลันยิ้มดีใจ เจี๋ยงหมิ่นมองฟางเจิ้งด้วยความตกใจ “หลวงพี่ ท่านรู้อนาคตเหรอคะ? ขอบคุณปากมงคลของท่านด้วยนะคะ”
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย “ขอบคุณหมอท่านนี้เถอะ ถ้าไม่ใช่เขา ต่อให้ปากอาตมามงคลกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์”
เจี๋ยงหมิ่นเดินไปหาหมอทันที สี่คนแบ่งออกเป็นสองคนตามชายชราไปห้องผู้ป่วย อีกสองคนไปขอบคุณหมอ…
เด็กแดงเห็นแบบนั้นก็เบะปาก “ช่วยคนเก็บเงิน มีอะไรต้องขอบคุณกัน ถ้าช่วยคนไม่เก็บเงิน นั่นถึงควรขอบคุณ…”
ฟางเจิ้งชำเลืองตามองเด็กแดงทีหนึ่ง “คุณค่าชีวิตนายเท่าไร?”
เด็กแดงชะงักงัน ก่อนเกาหัวตอบ “ไม่มีมูลค่าอยู่แล้ว! ฟ้าดินกว้างใหญ่ อะไรจะใหญ่กว่าชีวิตข้าได้”
“จ่ายเงินนิดหน่อยเพื่อช่วยชีวิตนาย ใครได้กำไร?” ฟางเจิ้งถามต่อ
เด็กแดงพูดไม่ออก…
“ถึงที่นายพูดจะมีเหตุผล แต่การจ่ายเงินก็ไม่แน่ว่าจะได้ชีวิตกลับมาแน่ๆ แต่ได้ชีวิตกลับมาแล้วก็ต้องขอบคุณเขาแหละนะ นั่นคือผลจากความพยายามของคนอื่น” ฟางเจิ้งพูดพลางตามฝีเท้าชายชราไปยังห้องผู้ป่วย
เด็กแดงเกาหัวแล้วรีบตามไป ภายในใจนึกถึงคำพูดของฟางเจิ้ง ดูเหมือนจะมีเหตุผลแบบนั้นจริงๆ…
เข้าไปในห้องผู้ป่วย ฟางเจิ้งเห็นหวงเจิ้นหวากับหลิวน่ากำลังดูแลชายชรา หลิวน่าห่มผ้าห่มให้ชายชรา หวงเจิ้นหวากำลังฟังพยาบาลพูดบางอย่าง เขาพยักหน้ารัวๆ สีหน้าดูดีใจมาก เห็นได้ว่าชายชราปลอดภัยดีแล้ว เขาจึงดีใจมาก
“จำไว้นะคะ ตอนนี้ห้ามรบกวนผู้ป่วยมากเกินไป ถ้าไม่มีเรื่องอะไรอย่าล้อมตัวเขาจะดีที่สุด พยายามให้เขาสงบลง เข้าใจไหมคะ?” อวี๋เฟยกำชับอีกครั้ง
หวงเจิ้นหวาพยักหน้ารัวๆ อวี๋เฟยถึงเตรียมออกไปอย่างพอใจ วันนี้ถือว่าเธอสร้างคุณูปการแล้ว กลับไปไม่แน่ว่าอาจได้รับการชมเชยจึงสุขสบายใจเป็นพิเศษ แต่หันกลับไปก็เจอกับหลวงจีนขาวสะอาดพาเด็กก้นน้อยเดินเข้ามา อวี๋เฟยมองฟางเจิ้งแวบหนึ่ง มองดวงตาสองข้างดั่งน้ำบริสุทธิ์ของฟางเจิ้งคู่นั้น เธอก้มหน้าโดยไม่รู้ตัว หน้าแดงด้วยความเขินอาย ไม่ใช่เขินเพราะความหล่อ แต่อายจริงๆ…เธอรู้สึกว่าฟางเจิ้งหล่อมาก แต่แววตาอีกฝ่ายกลับบอกเธอว่านั่นคือผู้สะอาดบริสุทธิ์ เลยหน้าแดงด้วยความละอายใจในตัวเอง
เห็นพยาบาลตรงหน้าพลันหน้าแดงขึ้นมา แถมก้มหน้ารีบเดินออกไป ฟางเจิ้งทำหน้าเป็นกังวล นี่มันเรื่องอะไรกัน?
“หลวงพี่ มาอีกแล้วเหรอ?” หวงเจิ้นหวาไม่ตะคอกฟางเจิ้งว่าหลวงจีนอีก ถึงหลวงจีนจะเป็นคำเรียกด้วยความเคารพ แต่ที่คนส่วนใหญ่รู้กันคือหลวงจีนเป็นคำเรียกตามอำเภอใจ เมื่อเจอกับฟางเจิ้ง หลวงเจิ้นหวามีความรู้สึกพูดไม่ออกจริงๆ อยากจะไล่? อีกฝ่ายก็ช่วยพวกเขาไว้จริงๆ ครั้งแรกคือกดกล่องใบนั้นไว้ที่หน้าอกพ่อตน ครั้งที่สองส่งกล่องเข้าไปในห้องผ่าตัด อีกทั้งเขายังเจาะจงถามพยาบาล พยาบาลบอกว่ากล่องนี่มีผลช่วยอย่างมาก ที่สำคัญที่สุดคือฟางเจิ้งพูดไม่กี่ครั้งล้วนถูกหมด ทำให้เขาต้องให้ความสำคัญกับหลวงจีนรูปนี้ แต่จากก้นบึ้งหัวใจแล้ว เขาไม่ถูกชะตากับนักบวชหรือนักพรตเต๋าอะไรพวกนี้ มักจะรู้สึกว่าคนเหล่านี้ไม่ทำงาน แต่วันๆ เอาแต่หลอกกินรอวันตาย ไม่ใช่คนดีอะไร ดังนั้นเลยรำคาญนิดๆ…
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย “อมิตาพุทธ ประสก เล่าให้อาตมาฟังหน่อยได้ไหมว่าทำไมพ่อประสกถึงสนใจกล่องใบนั้นขนาดนั้น?”
หวงเจิ้นหวาได้ยินดังนั้นคิ้วก็ขมวดขึ้นโดยพลัน ตอบ “ไม่ว่าท่านจะมีเป้าหมายอะไร อย่าถามเรื่องนี้เลย ความจริงอย่าว่าแต่ผมเลย ต่อให้เป็นพี่ใหญ่พี่สะใภ้ก็ยังไม่รู้ว่าทำไม พ่อพวกเราเดินทางไปทั่วประเทศตลอดเวลาหกสิบปี บอกว่าตามหาคน แต่ไม่เคยบอกว่าหาใคร หาทำไม พาครอบครัวเราผ่านอะไรมาเยอะ ลำบากกันสุดขีด ต่อมาเกิดเหตุสุดวิสัย พ่อเราสติเลอะเลือนจากความชรา จึงยิ่งบอกอะไรไม่ได้ไปใหญ่ เขาจะเหม่อลอย มีเพียงตอนที่อยู่กับกล่องนั่นถึงดูสดใสมีราศี เขาจะกอดกล่องนั่นทุกวัน บนกล่องมีแม่กุญแจอยู่ กุญแจแขวนอยู่ที่คอเขา ใครจะเอาไปเขาก็ไม่ให้ พวกเรากลัวว่าจะไปกระตุ้นเขาเลยไม่เคยมีใครเอากุญแจมาเปิดกล่อง”
…………………..