บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 315 หมู่บ้านไต้หลี่
เด็กแดงชำเลืองตามอง “พวกเขายากจน ตอนนี้ดีเลวอย่างไรศิษย์ก็เป็นมหาราชาหนึ่งดินแดน จะไปเหมือนเด็กคนธรรมดาได้อย่างไร?”
ฟางเจิ้งก็แค่หยอกล้อเขาเท่านั้น มองเด็กสองคนที่อยู่มาไกลแล้วเดินเข้าไป ประนมสองมือกล่าว “อมิตาพุทธ โยมน้อยทั้งสอง อาตมาฟางเจิ้งเจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนี ขอถามหน่อยว่านี่ที่ไหน?”
ต้าเฉิงจื่อได้ยินแบบนั้นพลันหัวเราะ รอยยิ้มมีความบ้าระห่ำนิดๆ แต่ที่มากกว่าคือร่าเริ่งและใจกว้าง ยิ้มเอ่ยว่า “หลงทางจริงๆ ด้วย”
ฟางเจิ้งยิ้มแต่ไม่ตอบ หลงก็หลงเถอะ ถึงอย่างไรตอนนี้เขาไม่ต่างอะไรกับหลงทางอยู่แล้ว
ต้าเฉิงจื่อพูด “ผมหลี่ต้าเฉิง นี่หวังเอ้อหู่ นี่คือหมู่บ้านเรา หมู่บ้านไต้หลี่”
ฟางเจิ้งประนมสองมือ “อมิตาพุทธ ขอบคุณโยมน้อยทั้งสอง”
ฟางเจิ้งก็รู้ว่าถามเด็กสองคนนี้คงไม่ได้อะไร สู้เข้าไปดูในหมู่บ้านดีกว่า เลยเอ่ยลา พาเด็กแดงเดินเข้าไปข้างใน เด็กแดงเงียบมาตลอด ในมุมมองเขา เด็กดินสองคนนั่นไม่มีคุณสมบัติพอจะพูดกับราชาปีศาจผู้สูงศักดิ์อย่างเขา เลยขี้คร้านจะสนใจ เพียงแต่ช่วงที่เดินผ่านเด็กสองคนนั้น เขาเห็นดวงตาโตที่มีการเฝ้ารอคอยบางอย่างของสองคนนี่ หลังเขาเดินผ่านไปก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสลด ความรู้สึกนั้นปวดใจนิดๆ จริงๆ
ทว่าเด็กแดงหันหน้าไปทันที แค่นเสียงหึๆ ในใจ ‘ข้าคือมหาราชาปีศาจ จะสนใจเด็กจนๆ สองคนทำไม?’
“พี่ต้าเฉิง เจ้าอาวาสคืออะไรครับ? ทำไมเขาอ้าปากแล้วต้องพูดอมิตาพุทธ?” เอ้อหู่จื่อเกาหัว ถามด้วยความฉงน
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกเขาเข้าหมู่บ้านไปแล้ว ไป ตามไปดูกัน! ผู้ใหญ่บ้านต้องรู้จักเจ้าอาวาสแน่ แต่ชุดพวกเขาสะอาดมาก ถ้าพี่มีใส่บ้างก็คงดี” ต้าเฉิงจื่อถอนหายใจ
“ช่างเถอะน่า ให้ชุดขาวพี่แล้วพี่มีน้ำซักเหรอ?”
“…”
เข้าหมู่บ้านไปแล้วฟางเจิ้งพบว่าหมู่บ้านนี้ห่างไกลจากที่เขาจินตนาการไว้ ตัวกำแพงสีเหลืองดิน บ้านทรุดโทรม รวมถึงแววตาประหลาดใจมองมา ฟางเจิ้งพลันกลายเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดในสายตาคนทั้งหมู่บ้านแล้ว บางทีอาจพูดได้ว่าเป็นสัตว์หายาก
ฟางเจิ้งเกิดความรู้สึกเหมือนเข้าไปในสวนสัตว์…
แน่นอนแววตาทุกคนไม่มีเจตนาร้าย เพียงแค่แปลกใจว่าทำไมหลวงจีนถึงมาที่นี่…
ตอนนี้เองชายร่างกำยำคนหนึ่งเดินออกมาจากในลานบ้าน พูดกับฟางเจิ้งว่า “หลวงพี่ครับ ผมเป็นผู้ใหญ่บ้านที่นี่ ท่านเรียกผมว่าผู้ใหญ่เหลยก็ได้ ท่านมาจากไหนครับ?”
ฟางเจิ้งพูด “อมิตาพุทธ อาตมามาจากข้างนอก หลงทางนิดหน่อย ดูจากสีฟ้าคงไม่เช้าแล้ว เลยมาหมู่บ้านท่านเพื่อขอบิณฑบาตอาหารและที่พัก”
ฟางเจิ้งพูดความจริง เขาหลงทางจริงๆ ไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหน เขาไม่มีต้นสายปลายเหตุของภารกิจประตูไร้ลักษณ์เลย ทว่าเข้ามาในกลุ่มคนแล้วก็ถือว่าดี ขณะเดียวกันเขาเปิดเนตรปัญญา เดินมองไปตลอดทาง ไม่เห็นมีใครพิเศษเลย พวกชาวบ้านต่างมีบุญกุศลและมีแรงกรรม เพียงแต่ว่าบางคนมากหน่อย บางคนน้อยหน่อยเท่านั้นเอง ไม่มีใครมีดอกบัว และยิ่งไม่มีหัวลูกศรชี้แนะ นี่ทำให้ฟางเจิ้งมึนงงนิดๆ หรือว่าจะเดินผิดทาง?
ทว่าดวงตะวันค่อยๆ ลาลับลง ฟางเจิ้งคิดจะหาคนสอบถาม เข้าใจที่นี่แล้วค่อยวางแผนต่อไป
“ที่แท้ก็แบบนี้ ถ้าหลวงพี่ไม่รังเกียจก็พักที่บ้านผมเถอะ” ผู้ใหญ่บ้านเหลยต้อนรับอย่างเป็นมิตร
ฟางเจิ้งย่อมไม่ปฏิเสธ รีบเอ่ยขอบคุณ ก่อนพาเด็กแดงตามผู้ใหญ่บ้านเหลยเข้าไปในบ้าน ถึงผู้ใหญ่บ้านเหลยจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน แต่บ้านที่พักกลับไม่หรูหรา เป็นบ้านที่สร้างจากหินและดิน ผนังห้องหนามาก นี่ไว้ใช้กันความร้อน ห้องที่ฟางเจิ้งพักสะอาดมาก ซึ่งเขาพอใจกับมันมาก
“ท่านอา มีน้ำหรือไม่? ข้าหิวน้ำมาก…” เข้าไปแล้ว เด็กแดงก็ไม่เกรงใจเช่นกัน พลันพูดเสียงดัง
ผู้ใหญ่บ้านเหลยหัวเราะเบาๆ “รอเดี๋ยวอาจะไปเอาให้นะ” พูดจบเงาแผ่นหลังหนาก็เดินออกไป ไม่นานถือน้ำชามใหญ่เข้ามา เด็กแดงหิวน้ำจริงๆ รับมาแล้วดื่มไปอึกใหญ่ แต่ว่า…
พรวด!
เด็กแดงพ่นน้ำไปไกล ร้องเสียงดังขึ้น “นี่มันน้ำบ้าอะไรกัน? กินยากชะมัด มีรสแปลกๆ แถมยังมีทรายอีก!”
ผู้ใหญ่บ้านเหลยได้ยินเข้าพลันหน้าแดง ประกายความปวดใจวูบผ่านดวงตา
ฟางเจิ้งมองผู้ใหญ่บ้านเหลยแล้วมองน้ำบนพื้น ก่อนโขกหัวเด็กแดงไปทีหนึ่ง “นักบวชอยู่ข้างนอก อย่าจู้จี้จุกจิกนักเลย”
เด็กแดงตอบด้วยความคับอกคับใจ “ก็มันดื่มยากจริงๆ…ไม่เชื่อท่านลองดู”
ฟางเจิ้งรีบมาแล้วดื่มไปอึกหนึ่ง รสชาติแปลกจริงด้วย เหมือนว่าในนี้ใส่ยาน้ำบางอย่าง แถมยังมีทรายจริงๆ ดื่มนำบริสุทธิ์จนชิน พอมาดื่มน้ำนี่แล้วก็กระเดือกยากจริงๆ
ผู้ใหญ่บ้านเหลยเห็นแบบนั้นจึงยิ้มแห้งๆ “ถ้าอย่างนั้นหลวงพี่ทั้งสองท่านรอก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวจะมีน้ำดีๆ ดื่ม”
ตอนนี้เองมีเสียงเรียกของผู้หญิงดังแว่วมาจากข้างนอก “เหล่าเหลย เอาน้ำมาหน่อย จะทำกับข้าว”
ผู้ใหญ่บ้านเหลยยิ้มเจื่อนๆ “เอ่อ…ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้นดื่มน้ำจนหมด ถึงน้ำนี่จะรสชาติแย่มาก แต่ฟางเจิ้งไม่ใช่คนโง่ ที่นี่แห้งแล้งขาดน้ำอย่างเห็นได้ชัด การสิ้นเปลืองน้ำที่นี่น่าปวดใจกว่าสิ้นเปลืองอาหาร! ไม่ว่าเขาจะเป็นนักบวชหรือไม่ อีกฝ่ายใช้น้ำต้อนรับเขา ถ้าไม่ดื่มก็อาจจะเสียมารยาทเกินไปหน่อย
ผู้ใหญ่บ้านเหลยเห็นฟางเจิ้งดื่มหมดในอึกเดียว รอยยิ้มบนใบหน้าดูร่าเริงกว่าเดิม เขาเคยเห็นคนที่มาหมู่บ้านพวกเขามากมาย แต่ต่างพ่ายแพ้ให้กับน้ำชามนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าท่าทีของฟางเจิ้งทำให้เขาเกิดความรู้สึกดี
ผู้ใหญ่บ้านเหลยหมุนตัวออกไป เด็กแดงเบะปาก “จริงๆ เลย ไม่ได้ดื่มน้ำสักอึก นี่มันที่บ้าที่ไหนกัน?”
ฟางเจิ้งมองไปข้างนอก “ที่นี่คือที่ไหน อาจารย์บอกไม่ได้ แต่ที่นี่เป็นที่ที่แห้งแล้งมากแน่นอน ไปเถอะ ออกไปดูกัน”
“ยังออกไปอีก? ร้อนขนาดนี้…” ถึงเด็กแดงไม่กลัวความร้อน แต่แค่เห็นสภาพแวดล้อมข้างนอกก็ว้าวุ่นใจแล้ว
ฟางเจิ้งกล่าว “นายไม่อยากรู้เหรอว่าพวกเขาเอาน้ำที่ดื่มมาจากไหน?”
เด็กแดงได้ยินแบบนั้นดวงตาพลันเปล่งประกาย พูดขึ้น “ใช่ ต้องออกไปดู! ดูว่านี่มันน้ำบ้าอะไรกันแน่ มีน้ำดีไม่ให้พวกเรา แต่ให้เราดื่มน้ำนี่ หึๆ…นี่ถ้าเป็นข้าเมื่อก่อน ข้าจะ…”
“หืม?” ฟางเจิ้งชำเลืองตามองเด็กแดงแวบหนึ่ง
เด็กแดงหุบปากเงียบในทันใด
ฟางเจิ้งพยักหน้าอย่างพอใจ ออกประตูไปแล้วก็เห็นผู้ใหญ่บ้านเหลยเดินออกมาจากในบ้านหินแห่งหนึ่ง ในมือหิ้วถังน้ำเล็กใบหนึ่ง เดินเข้าไปในครัว เด็กแดงแค่นเสียงหึๆ “ข้าจะไปดู”
เด็กแดงยังคงไม่พอใจ ถึงที่นี่อาจจะน้ำน้อย แต่ไม่ต้องให้เขาดื่มน้ำรสชาติแปลกนั่นก็ได้นี่?
ฟางเจิ้งกลัวเด็กแดงก่อเรื่องจึงตามไปโดยพลัน มาถึงนอกประตูห้องก็ได้ยินเสียงคนกำลังคุยกันข้างใน
“เหลยจื่อ น้ำเหลือไม่เยอะแล้วใช่ไหม?” ผู้พูดเป็นหญิงชรา น้ำเสียงอ่อนแรงเล็กน้อย
“แม่คิดมากไปแล้ว น้ำยังเหลือเยอะ ไม่ต้องห่วง กินน้ำเถอะ…” เสียงผู้ใหญ่บ้านเหลยดังแว่วมา มีความสบายๆ หลายส่วน
…………………….