บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 317 เฉลิมฉลอง
ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าเขาตบไปทีเดียวจะเปลี่ยนตนเป็นนักบวชกากเดน ถ้ารู้เดาว่าอาจจะจนปัญญา
เฮ่อหมิงผู้นำกลุ่มอึ้งงัน “ผู้ใหญ่บ้านเหลย หมู่บ้านพวกคุณมีหลวงจีนด้วยเหรอ?”
“หลวงพี่ท่านนี้เพิ่งมาถึงวันนี้ ถือว่ามาไล่ๆ กับพวกคุณครับ” ผู้ใหญ่บ้านเหลยตอบเสียงเบา
ฟางเจิ้งประนมสองมือ “อมิตาพุทธ อาตมาฟางเจิ้งเจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนี สวัสดีโยมทุกท่าน นี่คือศิษย์ของอาตมาเอง จิ้งซิน” เขาถือโอกาสแนะนำตัวให้เด็กแดงด้วย
ผู้หญิงได้ยินแบบนั้นก็อึ้ง เมื่อครู่สนใจแค่ว่าจะไม่ให้ฟางเจิ้งตีเด็ก พอมองดีๆ เด็กนี่แปลกตามาก ไม่ใช่เด็กในหมู่บ้าน ทว่าเธอก็ยังทำปากจู๋ “นี่เป็นศิษย์ของท่าน ก็ไม่ควรลงมือตีเขาไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่! จะตีคนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร?” เด็กแดงเห็นมีคนหนุนจึงพูดต่อทันที
ฟางเจิ้งมองค้อนเด็กแดงโดยไม่มีท่าทีที่ดีนักแวบหนึ่ง พูดตอบ “ศิษย์คนนี้ของอาตมาดื้อจนเป็นนิสัย ถ้าไม่สั่งสอนให้เข้มงวดกว่าเดิม…”
“เอาเถอะ เขาเพิ่งอายุเท่าไรเอง ก็ต้องดื้อสิ ไม่ว่ายังไงเด็กสมัยนี้โตก่อนวัยกันทั้งนั้น เข้าใจอะไรมากมาย การด่าว่าจะส่งผลถึงสุขภาพทางกายและใจของเด็ก โดยเฉพาะการเติบโต! ถ้าเกิดตีจนเสียล่ะจะทำยังไง? มีเรื่องอะไรทำไมคุยเหตุผลกันไม่ได้? แล้วก็…W^%$E^&” ผู้หญิงพูดรัวเป็นกองใหญ่ราวกับแฉความจริงทั้งหมด แทบจะสอนบทเรียนการอบรมเด็กกับฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งมองผู้หญิงตรงหน้าอึ้งๆ เขาคิดมาตลอดว่าตนพูดเก่งแล้ว แต่เทียบกับผู้หญิงคนนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจถึงพลานุภาพของเป็ดสองร้อยห้าสิบตัว น่ากลัวจริงๆ!
เด็กแดงตาค้างเช่นกัน เดิมทีคิดว่าจะหนีออกจากกรงเล็บมารฟางเจิ้งได้ แต่ตอนนี้สภาพการณ์แปลกไปนิดๆ! ทว่าครุ่นคิดแล้วก็เป็นอย่างนั้น เด็กแดงตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะขอหลบภัยกับผู้หญิงปากเก่งคนนี้ชั่วคราว อย่างน้อยก็น่าจะมีอิสระนิดหน่อย
ฟางเจิ้งไม่สนใจเด็กแดงแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็หนีไม่รอดไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ขอเพียงอย่าก่อเรื่อง ฟางเจิ้งก็ขี้เกียจจะลากเขามาพูดอบรมแล้ว อีกอย่างเขามีความรู้สึกอย่างหนึ่ง เด็กแดงกำลังจะซวยอีกแล้ว
“หลวงพี่ ทำไมท่านถึงมาที่นี่ครับ?” เฮ่อหมิงผู้นำกลุ่มเดินเข้ามาถามด้วยความแปลกใจ
ฟางเจิ้งยิ้มเจื่อนๆ “อาตมาบำเพ็ญตบะมาตลอดทาง เดินพลัดหลงมาถึงที่นี่ สิ่งที่พวกโยมทุกท่านทำทำให้อาตมาละอายแก่ใจนัก พวกโยมคือผู้มีกุศลมาก”
“ฮ่าๆ…หลวงพี่ ท่านพูดเกรงใจไปแล้ว พวกเราเป็นกลุ่มคนว่างไม่มีอะไรทำ มีเวลาว่าง ช่วยได้ก็ช่วยเท่านั้น อ้อ ผู้ใหญ่บ้าน เรารีบขนของลงกันเถอะ ให้ม้าพักหน่อย พรุ่งนี้ต้องกลับแล้ว” เฮ่อหมิงกล่าว
ผู้ใหญ่บ้านเหลยยิ้มขานรับ ก่อนพาคนแบกน้ำลงมา จากนั้นแจกจ่ายกัน ทุกครอบครัวได้เท่าไรมีการกำหนดไว้นานแล้ว ทั้งยังพาม้าเข้าหมู่บ้านไปยังที่เลี้ยงโดยเฉพาะ
ผู้ใหญ่บ้านเหลยพูดปลงอนิจจัง “ม้าสองตัวนี้เป็นม้าที่สร้างคุณูปการยิ่งใหญ่กับหมู่บ้านเรา พวกมันเป็นคนลากน้ำมาให้หมู่บ้านเรา ไปๆ มาๆ มากกว่าครึ่งปีแล้ว…”
เฮ่อหมิงพยักหน้ายิ้มๆ ตาม “ครับ ม้าแก่สองตัวนี้สร้างคุณูปการครั้งใหญ่ จากนี้พวกคุณต้องเลี้ยงมันจนแก่นะ”
ผู้ใหญ่บ้านเหลยหัวเราะเสียงดัง “แน่นอนครับ”
ระหว่างพูดอยู่นี้ก็แจกจ่ายน้ำเสร็จแล้ว ก่อนมีอาสาสมัครคนหนึ่งหัวเราะเบาๆ พลางเดินตามพวกชาวบ้านไป
ฟางเจิ้งถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “พวกเขาจะไปไหนกัน?”
“ทุกคนมากันหลายครั้งแล้ว ต่างมีเพื่อนที่ดีในหมู่บ้าน ปกติตอนเย็นจะไปพักบ้านอีกฝ่าย” เฮ่อหมิงอธิบาย
ผู้ใหญ่บ้านเหลยกล่าว “เอาล่ะ ทุกคนก็อย่ามัวยืนอยู่ตรงนี้เลย ไปเถอะ แบบเดิม เตรียมกินข้าว”
ฟางเจิ้งงงงัน ยังกินข้าวอีก?
เด็กแดงตาเปล่งประกาย ถามขึ้น “มีเนื้อหรือไม่?”
ผู้ใหญ่บ้านเหลยอึ้ง เนื้อ?
ฟางเจิ้งยกมือจะเขกหัวเด็กแดง แต่ผู้หญิงคนนั้นรีบอุ้มเด็กแดงไปข้างๆ แล้วต่อว่าด้วยความโมโห “หลวงจีน ทำไมถึงจะตีโดยไม่คุยกันก่อนล่ะ? เมื่อกี้พูดกับท่านไปไม่เข้าใจเลยเหรอ? เป็นหลวงจีนก็ไม่ควร…%¥#……¥&am”
ฟางเจิ้งพลันยกมือยอมแพ้ “อมิตาพุทธ ประสกเหลย ศิษย์อายุยังน้อยไม่รู้ความ อย่าถือสาเลยนะ นักบวชจะกินเนื้อได้ยังไง?”
ผู้หญิงคนนั้นกลับแย่งพูดก่อน “นักบวชกินเนื้อไม่ได้ แต่เด็กยังไม่ปลงผม นั่นหมายความว่ายังไม่ได้ออกบวชอย่างสมบูรณ์ กินเนื้อแค่คำสองคำก็ไม่ได้เหรอ? เด็กยังเล็ก เป็นวัยกำลังโต…”
ฟางเจิ้งมองบน เขาหมดคำจะพูดกับผู้หญิงคนนี้จริงๆ กังวลกว้างไปรึเปล่า?
เฮ่อหมิงรีบพูด “เหยาอวี่ซิน นั่นศิษย์ของหลวงพี่ จะสั่งสอนยังไงก็เรื่องของหลวงพี่ เธอไปยุ่งอะไรด้วย?”
สรุปคือเหยาอวี่ซินไม่เชื่อเลย แต่เชิดหน้าขึ้นพูดว่า “หรือว่าที่ฉันพูดไม่ถูก? หลวงพี่ ท่านว่าฉันพูดถูกไหม?”
เด็กแดงยิ้มเจ้าเล่ห์ นานขนาดนี้แล้วเพิ่งเคยเห็นคนสยบไอ้สารเลวหัวโล้นนี่ได้ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะตามสีกาคนนี้ อย่างน้อยก็ไม่ถูกรังแก
ฟางเจิ้งชำเลืองตามองเด็กแดงทีหนึ่งก่อนส่ายหน้าเล็กน้อย “สีกา นักบวชกินเนื้อไม่ได้ จากนี้อย่าพูดแบบนี้อีก ส่วนเขา สีกาชอบสอนก็สอนไป อาตมาไม่ยุ่ง”
ผู้ใหญ่บ้านเหลยเห็นบรรยากาศไม่ค่อยดีจึงรีบเบี่ยงประเด็น “เอาล่ะๆ ทุกคนพูดน้อยๆ หน่อย ไปเถอะ อีกเดี๋ยวจะเริ่มฉลองตอนเย็นแล้ว”
ดังนั้นกลุ่มคนจึงเดินเข้าหมู่บ้าน เดินไปได้ครู่หนึ่งก็มาถึงกลางหมู่บ้าน เป็นสี่แยกทางไขว้กัน พื้นที่ตรงนี้ราบเรียบ ทั้งยังกว้างมาก ตรงกลางมีกองไฟจำนวนหนึ่ง อาสาสมัครกับชาวบ้านกำลังช่วยงานกันอยู่
พวกฟางเจิ้งมาแล้วก็ได้ยินเสียงไก่บินสุนัขกระโดด ก่อนมีคุณยายหลายคนหิ้วไก่สองตัวเดินออกมาอย่างมีความสุข
เห็นแบบนั้นเฮ่อหมิงก็รีบวิ่งเข้าไป ร้องเรียกไว้ “คุณยายครับๆ! อย่าๆๆ! อย่าฆ่าไก่นะครับ! พวกเราคุยกันแล้วนี่ พวกเรามาจุดกองไฟสนุกๆ กันก็พอ ถ้ายายฆ่าไก่ จากนี้พวกเราไม่กล้ามาอีกแล้วนะครับ”
“บ่ะ หัวหน้าเฮ่อ พวกคุณลำบากส่งน้ำเลี้ยงชีวิตมาให้พวกเรา พวกเราฆ่าไก่สองตัวเลี้ยงพวกคุณจะเป็นอะไรไป? พวกเรายากจน แต่ต่อให้เราจนกว่านี้ ก็ยังเอาไก่สองตัวออกมาได้ วางใจเถอะ นี่ไม่ใช่ไก่ไข่ ไก่นี่น่ะ เมื่อหลายเดือนก่อนพวกเราเลี้ยงไว้เพื่อพวกคุณโดยเฉพาะเลย คุณดูสิ มันอ้วนจะตาย เหอะๆ…” คุณยายหัวเราะ แววตาที่มองเฮ่อหมิงกับเหยาอวี่ซินเหมือนมองลูกตัวเอง เต็มไปด้วยความรักและเมตตา ไม่ต้องบอกความรู้สึกจากใจจริง แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้ว
เฮ่อหมิงจะกล้ารับได้อย่างไร เขาส่ายหน้ารัวๆ “คุณยาย คือว่า…มันทำให้พวกเราลำบากใจนะครับ เรื่องส่งน้ำ พวกเรายินดีเอง ยายเห็นไหมเราเตรียมกองไฟไว้แล้ว ทุกคนร้องเพลงกัน พูดคุยกันก็ดีมากแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ผมจะบอกยายอย่างนี้นะ พวกเราเอาเครื่องฉายหนังมาโดยเฉพาะเลย ครั้งนี้จะฉายหนังให้ทุกคนดู”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย ยายยิ่งต้องตุ๋นให้พวกคุณกิน” คุณยายพูด
…………………………