บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 319 หลวงพี่บินได้ไหม?
เห็นรอยยิ้มเต็มหน้าของทุกคนแล้ว ฟางเจิ้งก็ยิ้มตาม ถามเฮ่อหมิงด้านข้างเบาๆ “ประสก พวกโยมทำแบบนี้เพื่ออะไร?”
เฮ่อหมิงอึ้งงัน ก่อนยิ้มมีความสุข ชี้ไปยังภาพข้างหน้า ถามกลับ “ได้เห็นภาพแบบนี้แล้ว ยังต้องการอะไรอีกเหรอครับ?”
ฟางเจิ้งงงงันก่อนยิ้มเช่นกัน ประนมสองมือ “อมิตาพุทธ”
“หลวงพี่ ผมก็อยากรู้เหมือนกันนะว่าท่านมาที่นี่ทำไมกันแน่?” เฮ่อหมิงถามด้วยความกังวล
ฟางเจิ้งเงยหน้ามองฟ้า ตอบไปว่า “ความจริงอาตมาก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าจะให้พูดสาเหตุจริงๆ อาจจะเพื่อภาพนี้ก็ได้ เดิมทีที่นี่มีภาพดั่งนรก แต่เพราะพวกโยมมาเลยเป็นแดนสุขาวดี อาตมาได้รับการสั่งสอนแล้ว…”
“หลวงพี่เกรงใจไปแล้ว ยังไงสิ่งที่พวกเราทำได้ก็มีขีดจำกัด ไม่รู้เหมือนกันว่าแดนสุขาวดีนี้จะอยู่ได้อีกนานเท่าไร…” เฮ่อหมิงบอกความกังวลของตน พวกเขาต่างมีหน้าที่การงานของตน บ้างเป็นอาจารย์ บ้างเป็นนักศึกษา บ้างเป็นพนักงานหน่วยงานรัฐ บ้างเป็นชาวบ้านธรรมดา ทุกคนมารวมกันเพื่อทำความดี แต่ทุกคนมีงานของตน ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นให้มาไม่ได้บ้าง ขณะเดียวกันพวกเขารับประกันไม่ได้ว่าอนาคตจะมารวมกันไม่ได้เพราะเหตุไม่คาดคิดบางอย่างหรือไม่…
พูดถึงปัญหาอึดอัดใจนี้แล้ว ฟางเจิ้งกับเฮ่อหมิงต่างเงียบไปเล็กน้อย
เวลาดึกขึ้นเรื่อยๆ เมื่อฉายหนังสองเรื่องจบก็เริ่มแยกย้าย กลับไปถึงในห้อง เด็กแดงมองฟางเจิ้งด้วยน้ำตานอง “อาจารย์…”
ฟางเจิ้งยิ้ม “ศิษย์ วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง? พรุ่งนี้ต่อไหม?”
“อาจารย์ ข้าผิดไปแล้ว ขอร้องล่ะอย่าส่งข้าให้ปีศาจหญิงตนนั้นอีก น่ากลัวเกินไปแล้ว…ปากนั่น น่ากลัวกว่าท่านสวดมนต์อีก!” เด็กแดงพูดบ่นด้วยความคับอกคับใจพลางสะอื้นไห้
ฟางเจิ้งกลับยิ้ม ตบหัวเด็กแดง “ถ้าอย่างนั้นต้องดูที่พฤติกรรมนาย บอกอาจารย์มาว่าวันนี้เรียนอะไรมาบ้าง อืม พูดถึงหมู่บ้านนี้ด้วย”
เด็กแดงตะลึงงัน ก่อนเข้าใจความหมายของฟางเจิ้ง เขาปีนเข้าไปในผ้านวม ขบคิดอยู่ชั่วครู่แล้วเล่าสิ่งที่ได้ยินมาในวันนี้ให้ฟางเจิ้งฟัง
หมู่บ้านไต้หลี่ไม่ใช่หมู่บ้านคร่ำครึอย่างที่ฟางเจิ้งจินตนาการ แต่เป็นหมู่บ้านในเขตภูเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ ตามหลักแล้วที่นี่น่าจะมีฝนตกเต็มอิ่มถึงจะถูก ทว่าไม่รู้ว่าเพราะอะไร หลายปีมานี้กลับแห้งแล้งมากขึ้นเรื่อยๆ น้ำฝนน้อยลง โดยเฉพาะตรงจุดที่หมู่บ้านไต้หลี่อยู่…
ขณะเดียวกันฟางเจิ้งเข้าใจหมู่บ้านนี้ไปอีกขั้น หมู่บ้านนี้ห่างไกลจากคำว่ายากจนในจินตนาการเขา คนที่ไปได้ก็ไป คนสูงวัยที่เหลือกับเด็กๆ ไม่มีแรงออกไป แต่สิ่งที่ฟางเจิ้งตกใจกว่านั้นคือหมู่บ้านไต้หลี่ยังดี ข้างหลังยังมีหมู่บ้านที่แย่กว่านี้! ดีเลวยังไงหมู่บ้านไต้หลี่ก็ยังมีโรงเรียนประถมความหวัง แต่ถ้าเด็กๆ หมู่บ้านข้างหลังอยากเรียนหนังสือ? ก็ได้แต่ข้ามน้ำข้ามภูเขา เดินบนเส้นทางภูเขาสองชั่วโมงมาที่นี่! ทว่าพวกเฮ่อหมิงไม่ได้ส่งน้ำให้แค่หมู่บ้านไต้หลี่ พรุ่งนี้พวกเขาจะรีบไปหมู่บ้านนั้นแล้วกลับเมือง วันมะรืนถึงไปทำงาน
พูดถึงตรงนี้เด็กแดงเอาหัวหนุนแขน มองเพดานพลางถามยบบ “อาจารย์ คนพวกนี้มีเป้าหมายอะไรกันแน่? ที่ที่ข้าอยู่ ไม่มีใครทำเรื่องเสียแรงเปล่าแบบนี้หรอก แม่ข้าเคยบอกว่าปลาใหญ่กินปลาเล็กต่างหากคือกฎของโลก เราแข็งแกร่งจะแย่งชิงทุกอย่างได้! แต่เหตุใดเราต้องแบ่งของที่แย่งชิงมาได้ให้กับผู้อ่อนแอเหล่านี้? ข้าไม่เข้าใจ…”
ฟางเจิ้งเอาหัวหนุนแขนเช่นเดียวกัน มองฝ้าเพดาน เอ่ยจากใจจริง “พวกเรามาหมู่บ้านไต้หลี่นานขนาดนี้แล้ว นายเห็นการเปลี่ยนแปลงก่อนหลังรึเปล่า?”
เด็กแดงตอบ “ตอนพวกเรามาเต็มไปด้วยกลิ่นอายมรณะหนักอึ้ง หลังจากพวกเขามา ทั้งหมู่บ้านดูคึกคัก เหมือนกับ…เหมือนกับ…คนชราไม้ใกล้ฝั่งรอความตายพลันเห็นความหวัง จากชราหวนคืนสู่เด็ก”
“ใช่ ชาวบ้านที่นี่มีความสุข อาสาสมัครพวกนั้นก็มีความสุข นายล่ะ?” ฟางเจิ้งถามจบแล้วก็ต้องเสียใจภายหลัง
“ไม่มีความสุข แมลงวันเยอะเกินไป…” เด็กแดงเอ่ยเศร้าๆ
ฟางเจิ้งหัวเราะเบาๆ ขยี้หัวเด็กแดง “เย็นวันนี้อาตมามีความสุขมาก”
“เพราะเหตุใด เพราะพวกเขามีความสุขรึ?” เด็กแดงถามกลับ
ฟางเจิ้งว่า “เพราะเย็นวันนี้ไม่ต้องดูเด็กดื้อ”
เด็กแดง “…”
ฟางเจิ้งพูดต่อ “ช่วยคนอื่น เดิมทีเป็นเรื่องที่มีความสุขและมีความหมายอยู่แล้ว นายมีอภินิหารมากมาย อยากจะฆ่าคนก็แค่โบกมือ ทว่าคนมีชีวิตอยู่มักต้องมีการแสวงหาอะไรบ้างไม่ใช่เหรอ? ทำอะไรก็ง่ายไปหมดแบบนั้น นายไม่เบื่อรึไง?”
เด็กแดงเกาหัว “ไม่รู้ ไม่เคยคิด แต่ช่วยคนอื่นจะมีความสุขจริงๆ รึ?”
ฟางเจิ้งถามกลับ “นายคิดว่าไงล่ะ? เอาล่ะ นอนเถอะ พรุ่งนี้เราจะตามพวกเฮ่อหมิงไปดูหมู่บ้านต่อไป” พูดจบฟางเจิ้งก็พลิกตัวนอนหลับไป
เด็กแดงตรึกตรองถึงคำพูดของฟางเจิ้ง ความสุขหรือ? เขานึกถึงหวงเหริน อย่างน้อยตอนที่หวงเหรินตื่นขึ้นมา เขาก็ยังรู้สึกว่าสำเร็จ…เมื่อก่อนไม่เคยมีความรู้สึกนั้น…มันสบายมาก คิดถึงตรงนี้เด็กแดงยิ้มโดยไม่รู้ตัว
วันที่สอง ไก่ตัวผู้ขันสุดชีวิต ฟ้ายังไม่สางทั้งหมดก็ได้ยินเสียงคนคุยกันข้างนอก ราวกับว่าทุกคนเริ่มยุ่งกันแล้ว
ดีที่ฟางเจิ้งกับเด็กแดงไม่ใช่หนอนขี้เกียจตื่นสาย พวกเขาตื่นขึ้นตาม ออกไปดูสถานการณ์
พวกเฮ่อหมิงเตรียมน้ำบนรถม้าเรียบร้อย เตรียมจะส่งไปสถานีต่อไป พอได้ยินว่าฟางเจิ้งจะช่วย พวกเฮ่อหมิงย่อมดีใจมาก ส่งน้ำไม่ใช่งานสบายๆ แม้จะมีม้าลากรถ ทว่าเส้นทางภูเขาเดินยาก ปกติต้องมีคนช่วยเข็นถึงจะไปได้ บางเส้นทางต้องการคนประคอง มีคนเพิ่มมาเท่ากับมีแรงเพิ่มมาหนึ่งส่วน
ผู้ใหญ่บ้านตามไปด้วยเช่นกัน เขาก็ถือว่าเป็นแรงงานวัยหนุ่มแน่นที่มีไม่กี่คนในหมู่บ้านเหมือนกัน
กลุ่มคนออกเดินทางอีกครั้งในช่วงที่ฟ้ายังไม่สว่าง อากาศเย็นสบาย
ฟางเจิ้งได้เห็นถึงความเลวร้ายของสภาพแวดล้อมที่นี่อีกครั้ง เส้นทางภูเขาสูงชัน ม้าชราลากขึ้นไปค่อนข้างกินแรง แต่ว่ามีเด็กแดงกับฟางเจิ้งลงมือด้วยกัน ความยากแค่นี้จึงไม่ถือว่ายากอะไร
“นี่หลวงพี่ ท่านแรงเยอะเหมือนกันนะ” เฮ่อหมิงมองฟางเจิ้งด้วยความตกใจ รถม้าหนักแค่ไหนพวกเขาเดินทางมาตลอดทางย่อมเคยประสบมาก่อนแล้ว เห็นๆ อยู่ว่ามีคนเพิ่มมาคนเดียว ส่วนเด็กแดงก็เด็กเกินไปเลยมองข้าม แต่ผลักขึ้นไปแล้วกลับสบายมาก ดังนั้นย่อมยกคุณูปการให้ฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งพูดยิ้มๆ “อาตมาออกกำลังกายบ่อย ก็พอจะมีแรงบ้าง”
เหยาอวี่ซินถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ฉันได้ยินมาว่าหลวงจีนฝึกวิทยายุทธ์กัน ฉันเคยไปวัดใหญ่หลายที่เลย หลวงจีนฝึกยุทธ์ที่นั่น… 234…” หนึ่งนาทีต่อมา ทุกคนเมินสาวปากมากคนนี้ไป สองนาทีต่อมา เหยาอวี่ซินถาม “หลวงพี่ ท่านฝึกยุทธ์ด้วยรึเปล่าคะ?”
ฟางเจิ้งอยากจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา เธอพูดมาตั้งนานเพื่อจะถามแค่นี้เหรอ? เข้าประเด็นเลยไม่ได้รึไง? แต่เขาก็ยังเค้นรอยยิ้มตอบไป “อาตมาฝึกยุทธ์จริงๆ”
“ว้าว! เก่งขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” เหยาอวี่ซินร้องตื่นเต้น
เด็กสาวคนหนึ่งชมแบบนี้ ฟางเจิ้งจึงพยักหน้ามีความสุขในใจ แต่ต่อมา…
เหยาอวี่ซินพูด “ถ้าอย่างนั้นหลวงพี่บินให้ฉันดูหน่อยสิคะ? แบบวิชาตัวเบาไต่บนกำแพงอะไรพวกนั้น! ฉันเคยเห็นนักบวชยุทธ์แสดงมาก่อนนะ น่าเสียดายผูกสลิงไว้…”
………………….