บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 321 ซ่อนน้ำ
ทว่าจะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเบื้องหลังโลกรุ่งเรืองมีคนมากขนาดนี้ใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้?
ช่วงที่เดินผ่านครัวเรือนหนึ่ง ฟางเจิ้งได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของคนชรา รวมถึงเสียงปลอบโยนของเฮ่อหมิง ถึงฟางเจิ้งจะไม่เคยเรียนภาษาถิ่น แต่เขาเข้าใจภาษาสัตว์ทุกชนิด แน่นอนว่าภาษาถิ่นรวมอยู่ในนั้นด้วย
“หัวหน้าเฮ่อ พวกคนแก่อย่างเราเดินมาไกลแล้ว…ฮือๆๆ เธอว่าทำไมเขาถึงจากไปแบบนี้? เขาปีนบันไดฟ้ามาทั้งชีวิต แต่สุดท้าย…ฮือๆ…”
เฮ่อหมิงพูดเสียงเบา “ป้าอย่าร้อง อาไปแล้วก็ยังมีพวกเราไม่ใช่เหรอ? พวกเราจะมาอยู่เป็นเพื่อนป้าบ่อยๆ นะ ป้าดูนี่ ผมเอากิ๊บหนีบผมมาให้ป้าด้วยนะ สวยมาก รอหลานสาวป้ากลับมาแล้วป้าค่อยให้เธอนะ”
“ขอบคุณนะ ขอบคุณหัวหน้าเฮ่อ เธอเป็นคนดี แต่จากนี้อย่ามาอีกเลย”
“ทำไมล่ะครับ?”
“ทางนี่มันใช่ที่คนเดินที่ไหน คนดีๆ ควรมีอายุยืนยาว…”
พอได้ฟังคำพูดเหล่านี้ ฟางเจิ้งรู้สึกปวดใจ เด็กแดงเงียบเช่นกัน…
เดินต่อไปฟางเจิ้งได้ยินเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง พอได้ยินเสียงนั้นกับคำพูดดั่งปืนกลแล้ว นั่นต้องเป็นเหยาอวี่ซินแน่นอน ฟางเจิ้งอยากจะเลี่ยงเด็กสาวที่มีความบ้าบอนิดๆ แถมยังทำอะไรไม่ค่อยใช้สมองคนนี้ แต่ต่อมาเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะของคนชรา จึงอยากรู้มากกว่าเด็กคนนี้ทำอะไรกันแน่ ถึงทำให้คนชรามีความสุขแบบนี้
เลยพาเด็กแดงย่องเข้าไปใกล้ นอนหมอบบนสันกำแพงมองไปข้างใน เห็นเหยาอวี่ซินกำลังกระโดดโลดเต้นก่อนวาดมือพลางเล่าเรื่องถึงขั้นน้ำลายกระเด็น สีหน้าโอเวอร์ ท่าทางเกินจริง แต่คนชรากลับหัวเราะจนหุบปากไม่ได้
“หลวงพี่ กำลังทำอะไรน่ะ?” ตอนนี้เองมีน้ำเสียงสงสัยดังมาจากข้างล่าง ฟางเจิ้งกับเด็กแดงตกใจสะดุ้งจนแทบจะหัวทิ่มลงไป หันไปมองก็เป็นอาจารย์สอนเต้นคนนั้น ชายหนุ่มสวมแว่นตาคนนี้มีชื่อว่าหม่าเฮ่าเหมี่ยว
“ประสกหม่า อาตมากำลังดูสีกาเหยา เอ่อ ท่าทางเธอแปลกมาก” ฟางเจิ้งไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี
เด็กแดงพูดทันที “ท่าทางเหมือนกับคนบ้า”
หม่าเฮ่าเหมี่ยวได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะ พูดตอบว่า “เหยาอวี่ซินน่ะ…” เอ่ยถึงตรงนี้หม่าเฮ่าเหมี่ยวก็ถอนหายใจ สีหน้าจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย พูดต่อ “ความจริง เมื่อก่อนเหยาอวี่ซินไม่ใช่แบบนี้”
ฟางเจิ้งงุนงง เด็กแดงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เมื่อก่อนนางเป็นอย่างไร?”
“เดินไปคุยไปเถอะ ถ้าเธอได้ยินเข้าผมตายแน่” หม่าเฮ่าเหมี่ยวพาฟางเจิ้งกับเด็กแดงเดินไปพลางคุยไปพลาง “ผมก็ได้ยินมาจากหัวหน้าเหมือนกัน เมื่อก่อนเหยาอวี่ซินเหมือนกับพี่หลิว เป็นผู้หญิงสุภาพมาก แต่ต่อมาเกิดเหตุร้ายกับครอบครัวเธอ คุณยายที่รักเธอมากที่สุดจากไป นับจากนั้นมาเธอหมดอาลัยตายอยาก หัวหน้าเฮ่อหมิงเห็นเธอเป็นแบบนั้นถึงชวนให้มาร่วมกลุ่มอาสาสมัคร บางทีเธออาจจะมองคนชราที่นี่เป็นคุณยายของเธอเองก็ได้ เธอเคยบอกว่าเธอติดค้างการอยู่กับยายแล้วก็รอยยิ้มมีความสุข ดังนั้นทุกครั้งที่เธอมาที่นี่จะพยายามอยู่กับคนชรา คอยพูดคุยหยอกล้อให้พวกเขาหัวเราะ
แต่คนชราที่นี่อายุเยอะแล้ว หูหนวกหนักมาก เธอจึงต้องพยายามพูดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ คนชราบางคนตาไม่ค่อยดี เธอเลยพยายามให้รอยยิ้มดูโอเวอร์กว่าเดิม ถึงขนาดเธอไปหาอาจารย์ที่โรงเรียนเฉพาะทางเพื่อเรียนการแสดงสีหน้าอยู่ช่วงหนึ่ง
เธอต้องรักษาวิธีการพูดแบบหมดเปลือกแทบทุกวันเพื่อให้ยังมีหัวข้อพูดคุยกับไม่ให้สถานการณ์เงียบ แค่สามเดือนเธอกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ให้พูดจริงๆ คือคนที่ไม่รู้จักเธอก่อนหน้านี้ยังดี ถ้ารู้จักเธอมาก่อนจะเชื่อมสองคนนี้เข้าด้วยกันได้ยากมาก เมื่อก่อนเธอพูดเบา หัวเราะไม่โชว์ฟัน ขี้อายง่าย…ตอนนี้เหรอ…เป็นผู้หญิงมุทะลุ เป็นยอดหญิงแล้ว” หม่าเฮ่าเหมี่ยวยิ้มแห้งๆ
ระหว่างทางกลับ แววตาที่ฟางเจิ้งกับเด็กแดงมองเหยาอวี่ซินเปลี่ยนไป ถ้าบอกว่าตอนมาพวกเขาเลี่ยงผู้หญิงที่ดูเป็นโรคประสาทนิดๆ พูดไม่หยุด กิริยาท่าทางโอเวอร์ กระทั่งยังยุ่งเรื่องต่างๆ มากมาย กลัวว่าจะหลบไม่ทันถูกเธอล็อกเป้าล่ะก็ เช่นนั้นขากลับ สองคนนี้ไม่มองเธอด้วยแววตาใดๆ อีก อย่างน้อยในใจสองคนนี้ นี่คือเด็กสาวที่ควรค่าแก่การเคารพ เป็นเด็กสาวดีที่มีความกระตือรือร้น
กลับถึงหมู่บ้านไต้หลี่ สถานีสุดท้ายของอาสาสมัครคือโรงเรียนอนุบาลความหวังไต้หลี่ของหมู่บ้านไต้หลี่ ใครเป็นคนบริจาคสร้างโรงเรียนอนุบาลนี่ไม่มีใครรู้ รู้เพียงว่าเป็นคนดีใจสร้าง โรงเรียนไม่ใหญ่ มีเพียงสองห้องเรียน และยังมีครูหนึ่งคน
พวกอาสาสมัครส่งน้ำชุดสุดท้ายกับโรงเรียน เด็กที่นี่เข้าเรียนทุกวัน และต้องการน้ำที่สุด
เด็กทั้งหมดยี่สิบคน หนึ่งคนน้ำหนึ่งขวด นี่คือปริมาณของวันนี้
ฟางเจิ้งยืนมองอยู่ข้างๆ เห็นได้ชัดเลยว่าพวกอาสาสมัครชำนาญงานนี้มาก แต่ละคนต่างพาพวกเพื่อนตัวน้อยไปพูดคุยราวกับสหาย เล่นเกม ส่งน้ำให้พวกเขา ไม่ทำให้พวกเขารู้สึกว่านี่คือของบริจาคให้พวกเขาแม้แต่นิด แต่เหมือนของขวัญระหว่างเพื่อนมากกว่า เห็นถึงตรงนี้ฟางเจิ้งอดชมไม่ได้ “นี่ต่างหากคือการทำสาธารณประโยชน์แท้จริง” พูดถึงตรงนี้ ฟางเจิ้งนึกถึงจิ่งเหยียน ตอนแรกเธอก็ทำสาธารณประโยชน์แบบนี้เช่นกัน แต่ไม่กระทำแบบนี้…ไม่เป็นมืออาชีพสักนิด!
แต่คนที่เศร้าที่สุดคือเด็กแดง เขาถูกเหยาอวี่ซินลากไปกลางกลุ่มเพื่อนตัวน้อย เล่นมอญซ่อนผ้ากับเล่นซ่อนหาด้วยกัน เด็กแดงดูอายุยังน้อย แต่ความจริงอายุไม่น้อยแล้ว เล่นเกมแบบนี้ เขาเลยรู้สึกจะเป็นบ้า! ทว่าก็ต้องเล่น เพราะมีไอ้สารเลวหัวโล้นที่ไม่ทำอะไรคอยจับตาดูอยู่! เขาเลยกลายเป็นเพื่อนเล่นที่แข็งทื่อ…
ฟางเจิ้งนั่งมองภาพนี้พลางหัวเราะเบาๆ อยู่ด้านข้าง แต่ไม่นานก็เห็นเพื่อนตัวน้อยบางคนแอบซ่อนน้ำไว้ อย่างเช่นต้าเฉิงจื่อกับหู่จื่อ และยังมีเด็กหญิงน้อยที่ปีนขึ้นเขามาตอนแรกสุด ต่างแอบซ่อนน้ำเข้าไปในห่อผ้าเล็กของตน
“หู่จื่อ ริมฝีปากเธอแห้งแตกหมดแล้ว ทำไมไม่ดื่มน้ำล่ะ?” หลิวเจี่ยผู้รอบคอบถามด้วยความเป็นห่วง
หู่จื่อส่ายหน้า “ผมดื่มแล้วก็ยังเป็นแบบนี้ ปากผมแตกง่ายกว่าปกติ”
“ต้าเฉิง ฉิวฉิว พวกเธอสองคนล่ะ? ปากแตกง่ายรึเปล่า?” หลิวเจี่ยถามด้วยความไม่สบายใจ
ถึงอย่างไรต้าเฉิงจื่อก็โตแล้ว หน้าหนาจึงรีบพยักหน้า “ใช่ครับ”
แต่ฉิวฉิวไม่เคยโกหกมาก่อนอย่างชัดเจน ดูตื่นเต้นและหวาดกลัวนิดๆ
หลิวเจี่ยคิดว่าตนใช้น้ำเสียงหนักไป จึงเดินเข้าไปถาม “ฉิวฉิว บอกป้ามา ทำไมถึงไม่ดื่มน้ำ?”
ฉิวฉิวคิดว่าหลิวเจี่ยจะต่อว่าตนเลยร้องไห้ พูดสะอื้นไห้ “ป้าหลิว ฉิวฉิวผิดไปแล้ว ฉิวฉิว…ฉิวฉิว…แค่อยาก…อยาก…คุณยายที่บ้านยังไม่ได้ดื่มน้ำเลย หนูอยากให้คุณยายดื่ม”
หลิวเจี่ยได้ยินแบบนั้นถึงกับน้ำตาตก ตบบ่าฉิวฉิวพลางว่า “ฉิวฉิวเด็กดี ดื่มน้ำเถอะ พวกป้าส่งน้ำไปให้คุณยายแล้ว”
“ป้าครับ ยายพวกเราชอบเสียดายน้ำ บอกว่าน้ำในบ้านล้ำค่า พวกเราอยากให้ยายเก็บน้ำไว้เยอะๆ แบบนี้ยายจะได้ดื่มน้ำเยอะหน่อย…” พี่ชายฉิวฉิวดึงชายเสื้อพร้อมพูดขึ้น
……………………