บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 322 ฝนตก
หลิวเจี่ยรู้สึกจุกอกในใจจนลุกลน เธอไม่รู้ว่าจะตอบคำพูดเด็กอย่างไรเหมือนกัน เพียงแค่ลูบหัวเด็กสองคนนี้พลางว่า “เด็กดีๆ…”
เด็กแดงเห็นภาพนี้ก็ลุกพรวดขึ้นมาอยู่หน้าฟางเจิ้ง ถูจมูก ดวงตาแดงนิดๆ เอ่ยด้วยความไม่สบายใจ “อาจารย์ เราจะกลับกันเมื่อไร? ที่นี่มีแต่พวกโง่…ทำเอาข้าอยากร้องไห้บ่อยๆ”
ฟางเจิ้งหัวเราะเบาๆ “จิ้งซิน นักบวชไม่พูดโกหก นายจะทำอะไรกันแน่?”
“อาจารย์ ข้าเหมือนจะนึกออกแล้วว่าจะเรียกลมเรียกฝนอย่างไร” เด็กแดงพูดด้วยหน้าแดงทั้งใบหน้า ปกติเขาดูถูกคนธรรมดาที่สุด ยามมองคนอื่นมักจะมองอยู่สูงกว่า ต่อให้ถูกฟางเจิ้งกดขี่หลายครั้งก็ยังคงนิสัยเดิมไม่เปลี่ยน เห็นคนอื่นทุกข์ยาก เขารู้สึกว่านั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายอ่อนแอเกินไป…เหมือนกับภูเขาเอกดรรชนีที่แห้งแล้งครั้งใหญ่ เขาไม่คิดว่าตนมีหน้าที่ต้องช่วยเหลือ ในทางตรงข้ามเขาจะอาศัยโอกาสนี้ตักตวงผลประโยชน์
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นพลันยิ้ม ตบหัวเด็กแดงแล้วพูดขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถอะ”
เด็กแดงรู้สึกว่าฤทธิ์ในร่างกายกำลังหลั่งไหล พริบตาเดียวเด็กแดงยิ้มแล้ว
ฟางเจิ้งกล่าว “เอาล่ะ อย่าลำพองใจไป หาที่ที่ไม่มีคนจัดการเองซะ”
“วางใจเถอะอาจารย์” เด็กแดงพูดจบก็วิ่งไป ไม่รู้ว่าทำอะไร ไม่นานพลันเกิดพายุบนฟ้า พายุยังมีความชื้นและเย็นนิดๆ
ผู้ใหญ่บ้านเหลยเงยหน้ามองฟ้า “พายุนี่…หรือว่าจะฝนตก?”
“ที่นี่ไม่มีฝนตกมานานมากแล้ว หรือพระเจ้าจะลืมตา?” มีชาวบ้านพึมพำ
ต้าเฉิงจื่อเขย่งเท้ามองทอดไกล อยากจะเห็นเมฆ มองอยู่นานก็มีเมฆดำเคลื่อนตัวมาจริงๆ
“มีเมฆ มีเมฆ! ผู้ใหญ่บ้านมีเมฆแล้ว! อาจารย์ มีเมฆ!” ต้าเฉิงจื่อร้องด้วยความตื่นเต้นพลางชี้ไกลๆ
ผู้ใหญ่บ้านเหลยหัวเราะจนปากหุบไม่สนิท ยกมือขึ้นช้อนหลังหัวต้าเฉิงจื่อไปฝ่ามือหนึ่ง พูดยิ้มๆ ว่า “ไอ้เด็กน้อย พวกเราไม่ได้ตาบอด เห็นแล้วว่ามีเมฆ เมฆกลุ่มใหญ่มากด้วย”
“นี่ถ้าฝนตก ไม่ใช่สิ ยังไม่ถึงฤดูฝนนี่” มีคนพูดงึมงำ
“นายสนด้วยเหรอว่ายังไม่ถึงฤดูฝน แค่ฝนตกก็เป็นเรื่องดีแล้ว”
“ก็ใช่…”
กลุ่มคนไม่ทำอะไรแล้ว ไม่ว่าคนชราหรือเด็ก ไม่ว่าอาจารย์หรือนักเรียน ไม่ว่าผู้ใหญ่บ้านหรือชาวบ้าน ทั้งหมดยืดคอขึ้นมองทอดไกล กระทั่งมีคนปีนไปบนหลังคาบ้าน เหมือนว่าแบบนี้จะสัมผัสถึงเมฆก่อนก้าวหนึ่ง
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็ยิ้มน้อยๆ กล่าวในใจ ‘เด็กแดงมียอดอภินิหารจริงด้วย ไม่อยากเชื่อว่าจะเรียกเมฆฝนมาได้จริงๆ’
ทว่าตอนนี้เองเด็กแดงกลับมาแล้ว ทำหน้าเก้อเขิน
ฟางเจิ้งถาม “กลับมาทำไม? หรือว่าวิชาเรียกลมเรียนฝนของนายดำเนินการเองได้?”
เด็กแดงตอบด้วยความขมขื่น “อาจารย์ ข้ายังไม่ได้ใช้เลย มันพัดมาจากธรรมชาติ ไม่เกี่ยวกับข้า”
ฟางเจิ้งงุนงง มองเมฆดำไกลๆ ก่อนยืนขึ้น ประนมสองมือสวดมนต์เงียบๆ “อมิตาพุทธ พระพุทธองค์ปกปักสรรพสัตว์”
ไม่นานเมฆดำลอยเข้ามา ตามด้วยเสียงฟ้าผ่า ไม่นานฝนกระหน่ำดังซ่าๆ ราวกับเทลงมา! วินาทีนั้นชาวบ้านและอาสาสมัครทั้งหมดกระโดดด้วยความตื่นเต้น ไม่มีใครหลบในบ้าน แต่วิ่งออกมากระโดดโลดเต้นกันทั้งหมด เหมือนกับว่านี่ไม่ใช่ฝน แต่เป็นงานเลี้ยงเฉลิมฉลองที่สนุกสุดเหวี่ยง!
แน่นอน พวกคนชราต้องไม่มีเรี่ยวแรงแบบนี้อยู่แล้ว แต่ต่างพากันกลับไปนำหม้อชามกระบวยถ้วยที่เป็นภาชนะออกมารับน้ำฝน!
ฝนตกหนักสองชั่วโมงถึงหยุดลง เมื่อเมฆฝนผ่านไป พวกชาวบ้านยังคงมองหางเมฆดำด้วยความสนุกไม่จบสิ้น หวังมากว่าจะให้ฝนตกลงไป
ระหว่างทางกลับ ผู้ใหญ่บ้านเหลยถอนหายใจ “เฮ้อ อาจารย์ซุนอายุเยอะขึ้นเรื่อยๆ เดือนหน้าก็จะไปแล้ว อาจารย์ใหม่ยังไม่มี พวกเด็กๆ ลำบากแล้ว”
เฮ่อหมิงได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น ตอบ “ไม่มีอาจารย์คนอื่นเลยเหรอครับ?”
“หมู่บ้านพวกเรายากจน กันดาร คนข้างนอกมาอยู่สองสามวันยังพอไหว อยู่นานๆ ใครจะยอมมา” ผู้ใหญ่บ้านเหลยเอ่ยด้วยความจนปัญญา
เฮ่อหมิงพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร
ฟางเจิ้งกำลังอยู่ในห้วงความคิดเช่นกัน แม้มีโรงเรียน แต่ไม่มีอาจารย์ โรงเรียนจะมีประโยชน์อะไร?
ช่วงกลางวัน พวกเฮ่อหมิงและเหยาอวี่ซินกินข้าวที่บ้านผู้ใหญ่บ้านเหลย กางโต๊ะใหญ่สองตัวให้ทุกคนนั่งได้ กับข้าวเป็นผักดองเล็กน้อยในท้องถิ่น ไม่มีปลาและเนื้อ แต่ผักมีไม่น้อย ถือว่าอุดมสมบูรณ์
ตอนนี้เองผู้ใหญ่บ้านเหลยเดินเข้ามาจากข้างนอก อุ้มไหสุราใหญ่ปิดด้วยดินเหนียวในมือ หัวเราะแหะๆ “ทุกคนดวงดีนะ ในที่สุดคนคร่ำครึในหมู่บ้านก็เปิดหูเปิดตา เอาเหล้าชั้นดีที่สะสมไว้ออกมา เหล้าหมักนานสิบปี ฮ่าๆ…” ผู้ใหญ่บ้านเหลยพูดพร้อมวางสุราลงบนโต๊ะ เปิดดินเหนียวออก กลิ่นหอมสุราลอยโชยมาทันที
เฮ่อหมิงดมดูแล้วก็ร้องขึ้น “กลิ่นนี่ เยี่ยมจริงๆ! ฮ่าๆ…ครั้งนี้ได้ลาภปากแล้ว!”
เหยาอวี่ซินเข้ามาใกล้เช่นกัน ดมแล้วหรี่ตาลง “หอมจริงๆ ด้วย ไม่ได้ล่ะ ฉันขอชามใหญ่!”
“เธอดื่มเหล้าด้วยเหรอ?” หม่าเฮ่าเหมี่ยวงุนงง
เหยาอวี่ซินตอบ “เพิ่งเรียนมาเร็วๆ นี้เอง ทำไมล่ะ? ไม่ได้เหรอ?”
หม่าเฮ่าเหมี่ยวหัวเราะแห้งๆ สองที ไม่กล้าโต้เถียง
ฟางเจิ้งดมกลิ่นนั้นแล้วก็รู้สึกแปลกใจมาก เขาย่อมไม่แปลกตากับคำว่าสุรา ในหมู่บ้านเอกดรรชนีก็มีพวกขี้เมาไม่น้อย อย่างเช่นถานจวี่กั๋ว หวังโอ้วกุ้ย หยางหวาและซ่งเอ้อโก่วเป็นต้น พูดได้ว่าผู้ชายทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือถือว่าการดื่มสุราเป็นเกียรติ ถือว่าดื่มสุราได้ก็เป็นเกียรติเช่นกัน บางคนให้ลูกดื่มสุราตั้งแต่ยังเล็ก พอเติบใหญ่แล้วแต่ละคนต่างเป็นไหสุราน้อย ทว่าด้วยกระแสสังคมในช่วงสองปีนี้จึงเริ่มถูกควบคุม ถึงอย่างไรการให้เด็กเล็กมากเกินไปดื่มสุรา ไม่เพียงแต่ทำลายร่างกาย แต่ยังมีข่าวลือว่าส่งผลถึงการพัฒนาด้านสติปัญญาด้วย
ในยุคที่การเรียนรู้อยู่สูงสุดนี้นั้น พวกชาวบ้านเลยต้องเปลี่ยนนิสัย
ฟางเจิ้งไม่แปลกตากับสุรา แต่ก็แปลกตาเช่นกัน เพราะเขาไม่เคยดื่มมาก่อน ถึงตอนเด็กจะซุกซนเกเร ทว่าก็ไม่เคยแตะสุราของเผ็ดร้อนชนิดนี้มาก่อน ตอนนี้ดมกลิ่นหอมสุรา ในใจอยากรู้อยากเห็นยิ่งกว่าเดิมว่าสุราสิบปีนี้มีความต่างอย่างไร?
เด็กแดงยืดคอเข้าไปมองข้างใน แทบจะกลายเป็นยีราฟอยู่แล้ว
ฟางเจิ้งเคาะหัวเขาไปทีหนึ่ง “เก็บความเจ้าเล่ห์ของนายซะ อย่าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า”
เด็กแดงเบะปาก พูดด้วยความเศร้า “ข้าแค่มองก็ไม่ได้รึ?”
ฟางเจิ้งถามด้วยความอยากรู้นิดๆ “นายดื่มเหล้าเป็นรึเปล่า?”
“อะไรเรียกว่าเป็น? นึกถึงตอนนั้น ข้าเป็นมหาราชาเซิ่งอิง มีรึที่ไม่เคยดื่มสุราชั้นดี? ต่อให้เป็นสุราชั้นเลิศกลั่นจากหยกก็เคยดื่มมาแล้ว” เด็กแดงพูดด้วยความภูมิใจ
ฟางเจิ้งพยักหน้า “ไม่เลว ในเมื่อเคยดื่มแล้ว จะงดเหล้าก็ไม่ถือว่าเสียหายอะไร”
เด็กแดงได้ยินแบบนั้นก็เอ่ยด้วยความเศร้า “ดื่มไม่ได้จริงๆ รึ? อาจารย์ ท่านไม่เคยดื่มสุรานี่ นั่นน่ะของดี…”
เด็กแดงยังพูดไม่จบ ฟางเจิ้งพลันลุกขึ้นยืน “อาตมาจะไปปลดทุกข์ ศิษย์ คอยอยู่ที่นี่ทำตัวดีๆ ล่ะ”
……………………..