บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 329 ฉลองเทศกาลแล้ว
จากนั้นหยางหวา หยางผิง หวังโอ้วกุ้ยและถานจวี่กั๋วพากันวิ่งออกมา ชายหญิงคนแก่เด็กทั้งหมู่บ้านต่างออกมายืนข้างนอก แหงนหน้ามองฟ้า ถึงจะดีใจ ทว่าแต่ละคนก็ยังควบคุมเอาไว้เล็กน้อย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการเปลี่ยนแปลงอากาศเหมือนกับนิสัยคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พายุฟ้าผ่ามาเร็ว แต่ไม่แน่ว่าฝนจะตก อาจจะเค่อก่อนหน้ามีเมฆดำคลุมฟ้า แต่เค่อต่อมาเมฆหายเห็นดวงตะวัน ดังนั้นก่อนหยดฝนตกลงมาจึงไม่มีใครมั่นใจว่าฝนจะตกหรือไม่
บนภูเขาเอกดรรชนี ฟางเจิ้งพาหมาป่าเดียวดาย ลิงและกระรอกยืนแหงนหน้ามองฟ้าอยู่ในลานวัด ตอนนี้เสียงเด็กแดงดังข้างหูฟางเจิ้ง “อาจารย์พายุมาแล้ว รวมเมฆแล้ว ฝนตกตอนนี้เลยหรือไม่?”
ฟางเจิ้งประนมสองมือกล่าวปลงอนิจจัง “อมิตาพุทธ ประเสริฐๆ! ศิษย์ ให้ฝนตกเถอะ”
ต่อมามีฝนกระหน่ำลงมาท่ามกลางเสียงฟ้าผ่าดังสนั่น หยาดฝนตกลงบนแผ่นดินแห้งแล้ง ทำให้ฝุ่นลอยขึ้นฟ้า กลิ่นโอโซนหลังฟ้าแลบผ่านไปอบอวลเต็มมวลอากาศ ส่วนผู้คนต่างสูดกลิ่นนี้ด้วยความละโมบ สบาย! เย็นสบาย! ฟิน!
เมฆดำแผ่คลุมกว้างขวางมาก ปกคลุมทุกพื้นที่ในหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ฝนตกหนักลงมา ไม่รู้ว่ามีกี่คนวิ่งไปฉลองบนถนน กระทั่งมีคนเริ่มเสียงดังว่าจะไปซื้อสุรา ทำกับข้าว กินอาหารดีๆ ตอนเย็นสักมื้อเป็นการเฉลิมฉลอง
มีคนชอบก็มีคนทุกข์
หลี่เจ๋อ นักอุตุนิยมวิทยาจากสถานีอุตุนิยมวิทยาเป็นบ้าแล้วตอนนี้ ตามสถิติทั้งหมด หน้าแล้งหนักครั้งนี้อย่างน้อยต้องอยู่ไปอีกครึ่งเดือน! ด้วยเหตุนี้เขาถึงเขียนรายงานยาวถึงหมื่นสามพันอักษร เบื้องบนก็ให้ความสำคัญมาก ทำการประชุมกันสามวัน หารือกันเรื่องแผนรับมือ กระทั่งนายอำเภอยังเริ่มขอเงินช่วยเหลือจากเบื้องบน ก่อนทำการขนน้ำกันอย่างครึกโครมในฉับพลัน กำลังจะเริ่มช่วยเหลือพวกนาข้าวอยู่แล้ว สรุปฝนตก…
หลี่เจ๋อมองไปยังห้องทำงานหัวหน้าพลางกลืนน้ำลาย ก่อนกัดฟันเดินเข้าไป
เพื่อนร่วมงานข้างนอกพลันได้ยินเสียงตะโกนเหมือนกับแผ่นดินไหวระดับสิบสองมาจากข้างใน…ได้แต่ส่ายหน้าไม่หยุด
ถึงฝนจะมาแล้ว แต่ความแห้งแล้งครั้งนี้ส่งสัญญาณเตือนกับชาวบ้านทั้งหมด หากยังสูบน้ำต่อไป ความแห้งแล้งได้กลับมาอีกไม่ช้าก็เร็ว จะต้องเตรียมพร้อมล่วงหน้า
ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านทั้งหมดจึงจัดประชุมชาวบ้านครั้งใหญ่ สุดท้ายทุกคนลงมติกันว่าจะยกเลิกการปลูกนาน้ำ ไม่สูบน้ำตามอำเภอใจอีก แต่จะปลูกป่าไผ่กันอย่างสุดกำลัง
ฟางเจิ้งยิ้มตอนที่ได้ยินข่าวนี้ ก่อนใช้เวลาหลายวันช่วยแม่ไผ่หนาวขยายรากเข้าไป ถึงไผ่หนาวตีนเขาจะมีคุณภาพสู้บนยอดเขาไม่ได้ แต่ไผ่หนาวที่แย่ที่สุดกลับดีกว่าไผ่ที่ขายในตลาดข้างนอก การสร้างความผาสุกแก่หมู่บ้านเอกดรรชนีจึงไม่ยาก
เมื่อฝนตกลงมาหลายครั้ง น้ำบาดาลได้รับการเติมเต็มอีกรอบ ขณะเดียวกันไผ่หนาวเติบโตอย่างบ้าคลั่ง เริ่มขยายพื้นที่ พร้อมกันนั้นยังมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากมาดูป่าไผ่ กินหน่อไม้ ช่างไม้ในหมู่บ้านใช้ต้นไผ่ทำเป็นของประดับเล็กๆ ไม่อยากเชื่อว่ามันจะขายดีผิดปกติ! คนมากมายตามมาเรียนงานฝีมือ
ถานจวี่กั๋วเชิญช่างชำนาญการสร้างผลงานจากต้นไม้มา ให้สอนทุกคนสานเสื่อเย็น ทำสินค้าจากต้นไผ่และถ่านไผ่เป็นต้น…ช่วงเวลานี้ชาวบ้านทั้งหมดต่างพึ่งพาต้นไผ่ ถึงทุกคนจะเรียนรู้ช้า แต่ต้นไผ่เติบโตเร็ว จึงเพียงพอต่อการใช้ของพวกชาวบ้าน
ในเวลาเดียวกันหยางผิงแบ่งป่าไผ่ในหมู่บ้านออกเป็นระดับสาม หก เก้า ยิ่งต้นไผ่ห่างจากภูเขาเอกดรรชนีมากเท่าไรก็จะมีระดับที่ต่ำมากเท่านั้น บนยอดเขาคือระดับสูงสุด สินค้าจากต้นไผ่ที่ทำออกมาจะสวยที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุดราวกับหยก ทั้งยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในตลาด! ราคาเสื่อไผ่สูงไปถึงผืนละสามพันหยวน!
ขณะนี้ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านตาแดงก่ำ ทว่าทุกคนเข้าใจว่าจะตัดไผ่บนเขาได้ไม่กี่ต้น เลยได้แต่ทำเป็นของที่ราคาสูงสุดและดึงดูดลูกค้าเข้ามา จะสร้างกำไรจริงๆ ยังต้องหวังพึ่งไผ่ตรงตีนเขา…บางคนออกไปเรียนการทำหน่อไม้ดองกับคนอื่น บางคนเรียนการทำกับข้าวต่างๆ จากหน่อไม้ บางคนฝึกทักษะงานฝีมืออย่างหนัก ทั้งหมู่บ้านในตอนนี้กระตือรือร้นขึ้น เล่นไพ่น้อยลง เวลาว่างๆ จะนั่งยองคุยกันบนถนนก็น้อยลง ในทางตรงข้ามกลับมีการหารือกันเรื่องงานฝีมือต่างๆ มากขึ้น
แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ใช้เวลาไปเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น…
ฟางเจิ้งมองการเปลี่ยนแปลงของชาวบ้านตรงตีนเขาพลางรู้สึกมีความสุขในใจยิ่ง ไม่มีอะไรมีความสุขไปกว่าคนข้างกายมีความสุขแล้ว แน่นอนคนหมู่บ้านใกล้เคียงต่างอิจฉา น่าเสียดายอิจฉาไปก็ไม่ได้อะไร ฟางเจิ้งอยากช่วยก็ช่วยไม่ได้ ไผ่หนาวเติบโตถึงขีดจำกัดแล้ว รากขยายไปไม่ได้แล้ว
วันเวลาผ่านไปทีละวัน ฟางเจิ้งคำนวณเวลาแล้วพบว่าพรุ่งนี้จะมีฉลองเทศกาล!
“เหล่าศิษย์ พรุ่งนี้วันไหว้บ๊ะจ่างแล้ว” ฟางเจิ้งพูดขึ้นขณะกินข้าว
“อะไรคือวันไหว้บ๊ะจ่าง?” หมาป่าเดียวดาย ลิงและกระรอกไม่เข้าใจเลย ในหัวพวกมันมีแต่วันตรุษจีนที่คึกคัก วันที่สิบห้าเดือนอ้ายที่มีเปลวไฟเต็มถนน รวมถึงวันเช็งเม้งที่เซ่นไหว้บรรพบุรุษด้วยความเศร้า
ฟางเจิ้งยังไม่ตอบ เด็กแดงส่ายหน้าพลางว่า “ข้าเคยบอกพวกท่านแล้วไงว่าถ้าว่างก็ให้เรียนรู้เยอะๆ รู้จักอักษรแค่กี่ตัวเอง? เทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างที่ว่าคือวันเซ่นไหว้วีรบุรุษเผ่ามนุษย์ท่านหนึ่ง แต่นี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ ที่สำคัญคือช่วงวันไหว้บ๊ะจ่างจะมีของเล่นสนุกๆ ของกินอร่อยๆ เยอะมาก แข่งเรือหางยาว กินบ๊ะจ่างอะไรพวกนี้…”
ฟางเจิ้งเขกหัวเด็กแดงไปทีหนึ่ง “อะไรคือไม่สำคัญ? วันไหว้บ๊ะจ่างเป็นวันเซ่นไหว้วิญญาณวีรชน ไม่มีอะไรสำคัญกว่าการเซ่นไหว้และเรียนรู้ความหมายของบรรพบุรุษแล้ว”
“อาจารย์ ในเมื่อเป็นการเซ่นไหว้ ทำไมถึงยังมีแข่งเรือมังกร กินบ๊ะจ่าง? ทำไมไม่เหมือนวันเช็งเม้ง?” กระรอกถามด้วยความสงสัย
ฟางเจิ้งตอบ “ถ้าจะพูดคงยาว วันไหว้บ๊ะจ่างเรียกอีกอย่างว่า ‘ฉงอู่(重五)’ ‘ฉงอู่(重午)’ เป็นต้น ที่ต่างกันจะมีประเพณีต่างกันไปด้วย แรกเริ่มสุดมีต้นกำเนิดมาจากถิ่นก๊กอู่เยวี่ย ทุกวันที่ห้าเดือนห้า คนท้องถิ่นจะใช้รูปแบบการแข่งเรือมังกรจัดเป็นประเพณีการเซ่นไหว้สัญลักษณ์ประจำเผ่า อีกทั้งคนโบราณชอบใช้คำว่าตวนนำหน้าห้าวันแรกของทุกเดือน อย่างเช่น ตวนอี(หนึ่ง) ตวนเอ้อ(สอง) ตวนซาน(สาม)เป็นต้น
แดนก๊กอู่เยวี่ยคือถิ่นกำเนิดของชนเผ่าอู๋เยวี่ย ชนเผ่าอู๋เยวี่ยเคารพมังกร มองว่าตนนั้นเป็นลูกหลานมังกร วาดภาพมังกรเป็นสัญลักษณ์ประจำเผ่าบนเรือ มีความหมายว่าขอให้อยู่เย็นเป็นสุขและเป็นสิริมงคลอะไรพวกนี้ เล่าลือว่าตอนนั้นเวลาไปเยี่ยมเยือนญาติพี่น้องกันจะใช้เรือจากไม้ต้นเดียวที่วาดภาพมังกรในการเดินทางไปกลับ บางครั้งก็แข่งกันว่าใครพายเร็วกว่ากัน จึงค่อยๆ กลายเป็นรูปแบบการเฉลิมฉลองอย่างหนึ่ง และก็เป็นวิธีการแสดงศักยภาพอย่างหนึ่งด้วย นี่คือที่มาของเรือมังกร ต่อจากนั้น…จากการเปลี่ยนแปลงยาวนานจึงกลายเป็นการแข่งเรือมังกรในปัจจุบัน
ส่วนกินบ๊ะจ่าง นั่นเพราะว่าช่วงสมัยชุนชิว แคว้นฉู่รบแพ้ ชวีหยวนอุ้มก้อนหินกระโดดลงแม่น้ำมี่หลัวเพื่อแสดงถึงความภักดี ต่อมาเหล่าราชนิกุลจึงเชื่อมโยงระหว่างเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างกับชวีหยวนเข้าด้วยกันเพื่อส่งเสริมความภักดีนี้ กลายเป็นเทศกาลรำลึกถึงชวีหยวน พวกชาวบ้านจะนำบ๊ะจ่างห่อด้วยใบไม้โยนลงไปในแม่น้ำเพื่อเซ่นไหว้ชวีหยวน และเป็นการให้อาหารปลากุ้ง หวังว่าปลากุ้งกินบ๊ะจ่างอิ่มแล้วจะไม่ต้องกินเนื้อของชวีหยวน นี่ก็เป็นการเซ่นไหว้ คิดถึงและเคารพอย่างหนึ่งต่อปัญญาชนผู้ภักดี”
……………………