บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 330 ระดมพลทั้งหมด
“อาจารย์เก่งจริงๆ ท่านเหมือนจะรู้ทุกอย่างเลย” กระรอกอ้าปากเล็ก เอ่ยด้วยสีหน้าเลื่อมใส
เด็กแดงทำเสียงหึๆ “ถ้าไม่ดูมือถือใต้โต๊ะจะเก่งกว่านี้”
ฟางเจิ้งใช้มือโขกไปทีหนึ่ง “ศิษย์ ออกไป!”
เด็กแดงออกไปอย่างหงอยเหงาทันที
ฟางเจิ้งเห็นเด็กแดงจับผิดเรื่องนี้แล้วจึงกระแอมไอสองที ก่อนแอบเก็บมือถือแล้วเอ่ยด้วยมาดขรึม “อาจารย์พูดเยอะขนาดนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้น มีใครรู้บ้างว่าในวันไหว้บ๊ะจ่าง นอกจากแข่งเรือมังกร กินบ๊ะจ่างแล้วยังมีกิจกรรมอะไรอีก?”
สรุปเจ้าสามตัวนี้ส่ายหน้า ลิง หมาป่าเดียวดายและกระรอกไม่เคยสัมผัสสังคมมนุษย์มาก่อนเลย ไม่เหมือนเด็กแดงที่มีคุณสมบัติราชาปีศาจ ถึงจะไม่รู้จักอักษร แต่แค่กวาดตามองก็จำได้อย่างรวดเร็วและนำมาใช้งานได้ราวกับเหาะเหิน ที่สำคัญคือเด็กแดงมีมือถือที่ฟางเจิ้งมอบอภิสิทธิ์ให้โดยเฉพาะ! พวกเขาไม่มีอภิสิทธิ์นั้น…
พอเห็นดวงตาเล็กทึ่มทื่อของเจ้าสามตัว ฟางเจิ้งก็รู้สึกสำเร็จอยู่เล็กน้อย ก่อนกระแอมไอ เตรียมเล่า ตอนนี้เองมีเสียงเด็กแดงดังแว่วมาจากนอกประตู “อาจารย์ ข้ารู้!”
“อื้ม จิ้งซิน ศิษย์รู้? ดี ถ้าพูดดี อาจารย์จะให้ศิษย์เข้าไปกินข้าวต่อ” ฟางเจิ้งก็แปลกใจเช่นกัน เมื่อเด็กแดงว่างจะเล่นมือถือ ดูท่าคงจะเรียนรู้อะไรมาไม่น้อย จะได้ทดสอบเขาพอดี
ได้ยินเพียงเด็กแดงตะโกนอยู่ข้างนอกทีละคำว่า “ขึ้นเขาชมดอกเบญจมาศ[1]!”
“ไสหัวออกไป!” ฟางเจิ้งตะโกนตาม
เด็กแดงพูดด้วยความไม่ยอม “อาจารย์ ข้าพูดอะไรผิด? ทุกคนก็พูดแบบนี้กันทั้งนั้น? คนน้ำใจงามหลายคนยังเตือนเลยนะว่าต้องเอาสบู่ขึ้นเขาไปด้วย โยนให้ดีก็จะได้ชมดอกเบญจมาศ ไม่อย่างนั้นจะถูกชมดอกเบญจมาศได้ง่ายๆ…”
“ออกไปๆๆ!” ฟางเจิ้งโยนชามออกไป เด็กแดงรับไว้ ในนั้นยังมีข้าวชามหนึ่ง พลันหัวเราะเบาๆ ก่อนออกไปอย่างมีความสุข
ฟางเจิ้งมองฟ้าอย่างหมดคำจะพูด งึมงำว่า “คนโบราณไม่ได้หลอกอาตมาจริงๆ เด็กไม่เหมาะจะเล่นอินเทอร์เน็ตเร็วเกินไป!”
กินข้าวเสร็จฟางเจิ้งนั่งอยู่ในป่าไผ่ อ่านคัมภีร์อย่างอิสระ
ลิงพลันวิ่งเข้ามาถามด้วยความแปลกใจ “อาจารย์ วันไหว้บ๊ะจ่างแล้ว วัดพวกเราไม่เตรียมอะไรเหรอ? อย่างเช่นพิธีอะไรพวกนี้?”
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย ก่อนส่ายหน้าว่า “ไม่จัด จากนี้จะไม่จัดพิธีอะไรแล้ว”
“ทำไมล่ะ?” ลิงถามด้วยความไม่เข้าใจ “อาจารย์ เมื่อก่อนศิษย์ไม่เข้าใจ ตอนนี้เปิดสติปัญญาแล้ว นึกย้อนถึงเมื่อก่อนก็เพิ่งนึกออกว่าวัดเมฆาขาวจะจัดพิธีเล็กทุกสามวัน พิธีใหญ่ทุกหนึ่งสัปดาห์ และจะจัดพิธีขนาดใหญ่ครั้งหนึ่งทุกเดือน ทุกวันมีญาติโยมมาเยอะแยะ แสงธูปวัดเมฆาขาวสว่างไสวขนาดนี้ได้จะต้องเป็นผลจากพิธีแน่ๆ”
ฟางเจิ้งหัวเราะเบาๆ “เมื่อก่อนอาจารย์ก็อยากจัดพิธีใหญ่เหมือนกัน กระทั่งอาจารย์ของอาจารย์ หลวงตาหนึ่งนิ้วเคยปลงอนิจจังหลายครั้งว่าเมื่อไรจะได้จัดพิธีใหญ่ ได้ส่งเสริมพระธรรมคงจะดีน่าดู แต่ว่าจนกระทั่งหลวงตาหนึ่งนิ้วมรณภาพก็ยังไม่ได้จัดสักครั้ง เมื่อก่อนอาจารย์คิดว่าเป็นเพราะวัดยังใหญ่ไม่พอ คนไม่พอ ชื่อเสียงไม่มากพอ เร็วๆ นี้ได้อ่านคัมภีร์อย่างหนัก แถมได้ออกไปข้างนอกหลายครั้ง อาจารย์เข้าใจความคิดของหลวงตาหนึ่งนิ้วเล็กน้อยแล้ว”
“ความคิดอะไร?” ลิงถาม
ฟางเจิ้งปิดคัมภีร์แล้ววางไว้ตรงหน้าลิง “ถ้าวางคัมภีร์เล่มนี้ตรงหน้าศิษย์ ศิษย์จะอ่านไหม?”
ลิงเกาหัวตอบ “ถ้าเป็นปกติและอยากรู้อยากเห็นด้วยก็คงจะอ่าน”
“และถ้าบังคับให้อ่านล่ะ?”
“ไม่อ่าน”
“ถูก พระธรรมไม่ได้พูดโน้มน้าวศิษย์ แต่ให้ศิษย์ตระหนักด้วยตัวเองต่างหาก ตระหนักได้แล้วก็บำเพ็ญเพียร ตระหนักไม่ได้ อาตมาจะดึงศิษย์ไว้ทำไม?” ฟางเจิ้งหัวเราะแล้วพูดต่อ “แตงที่ฝืนบิดออกมาไม่หวาน จิตใจถึงก็ย่อมถึง”
ฟางเจิ้งพูดจบก็ยืนขึ้นปัดก้น เอ่ยต่อ “จะว่าไปพรุ่งนี้ก็วันไหว้บ๊ะจ่างแล้ว พวกเราก็ต้องเตรียมตัวบ้าง ไป!”
“อาจารย์ ไปไหน?” ลิงถามด้วยความแปลกใจ
“เด็ดใบไผ่หนาว อีกอย่างศิษย์เองก็อย่าโยนเปลือกนอกหน่อไม้ไผ่หนาวด้วย เก็บไว้ให้อาจารย์หน่อยหนึ่ง!” ฟางเจิ้งพูดพลางเริ่มเดินเข้าไปใกล้แม่ไผ่ ก่อนลงมือกับต้นไผ่ที่ราคาสูงสุดและสวยที่สุด
ตอนนี้เองเด็กแดงมาแล้ว ถามด้วยความประหลาดใจ “อาจารย์ ท่านจะห่อบ๊ะจ่างรึ?”
ฟางเจิ้งตอบ “ใช่ พรุ่งนี้วันไหว้บ๊ะจ่างแล้ว พวกเราก็ต้องทำบ๊ะจ่างกินเหมือนกัน”
“แต่ว่าไม่มีใบบ๊ะจ่างนี่? ท่านคงไม่ใช้ใบนี่หรอกใช่หรือไม่?” เด็กแดงไม่ได้เล่นมือถืออย่างเสียเปล่า เขาเข้าใจสังคมนี้มากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
ฟางเจิ้งตอบยิ้มๆ “ใบบ๊ะจ่างที่ว่าจริงๆ แล้วเป็นชื่อเรียกรวม ภาคเหนือจะใช้ใบต้นกก ภาคใต้ใช้ใบไผ่ ทว่าพวกเราไม่มีสองอย่างนี้เลยต้องหาทางอื่น ได้ยินว่าบางที่ใช้ใบวอลล์ฟลาวเวอร์ ใช้ใบต้นท้อ ใบตอง ใบบัว ใบปีแป๋ เปลือกหน่อไม้เป็นต้นห่อบ๊ะจ่าง เราไม่มีของพวกนี้ แต่ไผ่หนาวเป็นใบใหญ่ ใบแคบยาวใหญ่ ไม่ด้อยไปกว่าใบไม้พวกนั้นเลย ใช้ห่อบ๊ะจ่างไม่น่าจะมีปัญหา พวกเรามีเปลือกหน่อไม้ด้วย เลยใช้ห่อบ๊ะจ่างได้”
เด็กแดงพูดอย่างงุนงง “แค่ใบบ๊ะจ่างก็พูดได้เยอะขนาดนี้เลย…”
“ดังนั้น ศิษย์ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ อย่ามัวแต่ดู มาแล้วก็ปีนต้นไม้ตามศิษย์พี่นายซะ ใบนี่เติบโตอยู่สูงเกินไป อาจารย์จะเก็บเองก็ยุ่งยาก พวกนายสองคนเด็ดลงมา อาจารย์จะช่วยเก็บให้ ทำเสร็จเร็วพวกเราจะได้เริ่มทำกินเร็วๆ” ฟางเจิ้งกล่าว
พอเด็กแดงได้ยินว่ามีของอร่อยพลันมีแรงขึ้นมา ก่อนปีนต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว ตะโกนขึ้นว่า “ศิษย์พี่ แข่งกันว่าใครเร็วกว่ากัน!”
ลิงได้ยินดังนั้นก็แสยะปากยิ้ม คนจะแข่งปีนต้นไม้ไปเด็ดใบไม้กับลิงอย่างเขา? จึงพูดยิ้มๆ “ได้ ใครแพ้ห้ามร้องไห้แล้วกัน”
“ชิ!” เด็กแดงเบะปาก ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ก่อนจะกระโดดขึ้นไปและกระโดดลงมา ระดับความปราดเปรียวไม่แพ้ลิงเลย ลิงพลันรู้สึกถึงแรงกดดัน เจ้าสองคนนี้พยายามอย่างสุดความสามารถ ฟางเจิ้งรู้สึกว่าเหนือหัวมีฝนใบไผ่หนาวตกลงมา ปกคลุมฟ้า เก็บไม่ทันแล้ว!
“พวกนายสองคนอย่าเอามาเยอะมากนะ! เอามาเยอะก็ไม่ได้ใช้!” ฟางเจิ้งตะโกนพร้อมกับวิ่งไปรอบๆ ตอนนี้เองฟางเจิ้งอิจฉาวิทยายุทธ์พวกไทเก๊กจริงๆ เขาจำได้ว่าเคยเห็นในภาพยนตร์เรื่องหนึ่งว่าไทเก๊กอีกฝ่ายสามารถรวมใบไม้รอบๆ เป็นกองเดียวได้ แบบนั้นมันโคตรเจ๋ง! แต่เขาล่ะ? ให้เขาใช้หัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์เปิดหินยังพอไหว แต่ให้ทำงานละเอียดอ่อนแบบนี้? นอกจากจะเพิ่มปัญหาแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย!
ดีที่หมาป่าเดียวดายกับกระรอกได้ยินเสียงเลยวิ่งมา ฟางเจิ้งใช้มือคว้า หมาป่าเดียวดายใช้ปากคาบ กระรอกหรือ…
“ทางนี้ๆ ทางนี้ของฉัน! ว้าว ใหญ่จัง…” กระรอกพลันถูกใบไม้ใหญ่ใบหนึ่งคลุมหัว จากนั้นดันตัวหลายทีถึงมุดออกมาจากข้างล่างได้ ทว่าเจ้าตัวน้อยที่ไม่ยอมยังคงลากใบไผ่หนาว ยืดอกเชิดหน้าขึ้น ลากไปจนถึงข้างตะกร้า ก่อนเหวี่ยงใบไม้เข้าไปในตะกร้าแล้วปรบมือเหมือนทำเรื่องที่มันสุดยอด
………………….
[1] ขึ้นเขาชมดอกเบญจมาศ หมายถึงการมีเพศสัมพันธ์ทางด้านหลัง