บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 331 ไม่บริสุทธิ์แล้ว
ยังไม่ทันที่กระรอกจะได้ลำพองใจ หมาป่าเดียวดายคาบใบไม้ห้าหกใบใส่เข้าไป ก่อนใช้สายตายั่วยุกวาดมองกระรอกแวบหนึ่ง
กระรอกจะพูด แต่ฟางเจิ้งหอบใบไม้กอบหนึ่งใส่ไปในตะกร้าก่อนหมุนตัวกลับ เหลือไว้เพียงหัวโล้นด้านหลังมันวาวไว้กับเจ้าสองตัวที่กำลังตะลึงค้าง…
วุ่นวายกันอยู่ครู่หนึ่ง ฟางเจิ้งเก็บใบไผ่หนาวได้หนึ่งตะกร้าก่อนกลับวัดเอกดรรชนี ระหว่างทางมีญาติโยมเข้ามาถามว่าฟางเจิ้งจะจัดพิธีอะไรพรุ่งนี้หรือไม่ตลอด เมื่อได้รับคำตอบปฏิเสธแล้วต่างผิดหวังกันเล็กน้อย แต่บางคนก็ถอนหายใจโล่งอก เห็นได้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่ชอบงานพิธี
เมื่อกลับมาในวัด ฟางเจิ้งถามระบบเงียบๆ “ระบบ ตอนนี้วัดเรามีเงินบริจาคจุดธูปเท่าไรแล้ว?”
“แปดพันเก้าร้อยเจ็ดสิบหกหยวน” ระบบตอบ
ฟางเจิ้งพูดด้วยความตกใจ “เยอะขนาดนั้นเลย?”
“ผลจากไผ่หนาวที่มาพร้อมกับนักท่องเที่ยวและญาติโยมกลุ่มใหญ่ เข้าไปในวัดแล้วก็บริจาคกันคนละหยวนสองหยวน สั่งสมก็มากแล้ว แต่ว่าเงินอยู่ในกล่องบริจาคของนาย นายควรไปเก็บหน่อยไหม?” ระบบกล่าว
ฟางเจิ้งวางตะกร้าลงทันที ก่อนวิ่งเข้าอุโบสถ เปิดกล่องบริจาค ข้างในเป็นธนบัตรกองใหญ่จริงๆ ร้อยหยวนก็มี ห้าสิบหยวนก็มี สิบหยวนห้าหยวนมีเป็นกองใหญ่
ฟางเจิ้งหยิบออกมาทั้งหมด หอบกลับกุฏิ โยนไปบนเตียง ปลดปล่อยความรู้สึก หัวเราะ! ถึงเมื่อก่อนจะเคยมีเงินมากกว่านี้ แม้จะแค่มองเงินพวกนี้ แต่เขาก็มีความสุข! ดีเลวอย่างไรตอนนี้เงินก็อยู่ในมือแล้ว!
“ดูดีไหม?” ระบบถาม
ฟางเจิ้งพยักหน้า “ดูดี”
“ถ้าอย่างนั้นนายมองอีกหน่อยแล้วกัน” ระบบกล่าว
ฟางเจิ้งอึ้งงัน ถามกลับ “หมายความว่าไง?”
“ถึงยังไงนายก็ต้องให้เงินพวกนี้กับฉัน นายมองอีกหน่อยฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก นายถามฉันว่าได้เงินบริจาคจุดธูปเท่าไรแล้วน่าจะอยากซื้อของล่ะสิ?” ระบบถามด้วยน้ำเสียงชั่วร้ายนิดๆ
ฟางเจิ้งพูดไม่ออก ไอ้ระบบสารเลวนี่ เขาล่ะอยากตีมันให้ตาย! แต่ฟางเจิ้งก็ยังตอบด้วยความขมขื่น “เอาเถอะ ถือว่านายฉลาด พูดถูก เอาข้าวผลึกมาให้ฉันหน่อยหนึ่งก่อน ไม่พอแล้วค่อยซื้อใหม่”
เมื่อปลูกเมล็ดข้าวผลึกลงไปทีละกำ หัวใจฟางเจิ้งกำลังหลั่งเลือด นี่คือเงินทั้งนั้น! กระรอกกระโดดขึ้นมาบนบ่าเขา มองเมล็ดในดินถูกกลบอย่างดีพลางถามด้วยความแปลกใจ “อาจารย์ ท่านปลูกข้าวผลึกเยอะขนาดนี้ทำไม? พวกเรายังมีเหลืออยู่อีกเยอะเลยนี่?”
ฟางเจิ้งตอบเสียงเบา “ปีก่อนๆ ชาวบ้านให้บ๊ะจ่างอาจารย์ ปีนี้อาจารย์ว่าจะให้บ๊ะจ่างพวกชาวบ้านบ้าง ถึงข้าวผลึกพวกนี้จะเยอะ แต่ก็ไม่รู้จะพอรึเปล่าเลย”
“อย่างนี้เอง แล้วฉันจะได้กินไหม?” กระรอกกังวลเล็กน้อย โรคใจแคบของเจ้าตัวน้อยกำเริบอีกแล้ว
ฟางเจิ้งดึงหางมันไว้แล้วพูดเบาๆ “เจ้าตัวน้อย บอกให้ใจกว้างหน่อยไง เลิกคิดถึงประโยชน์ของตัวเองสักที วางใจเถอะ มีของนาย กินจนอิ่มเลย”
กระรอกถึงยิ้มเบิกใจบานใจ กระโดดลงบนพื้นแล้วพูดขึ้น “วันนี้ศิษย์จะปกป้องพวกมันเอง!”
ฟางเจิ้งยิ้ม แล้วแต่มันเลย
ดวงตะวันลาลับดวงจันทร์ลอยขึ้น เมื่อไก่ตัวผู้ตรงตีนเขาขัน วันใหม่ก็เริ่มขึ้น
“ศิษย์น้องสี่ ไก่ตัวผู้ขันตอนเช้าทุกวันเลย มันร้องทำไมกัน?” กระรอกนอนหมอบอยู่บนต้นไม้ ถามเด็กแดงใต้ต้นไม้
เด็กแดงส่ายศีรษะ “ท่านมั่นใจนะว่าอยากรู้?”
“อยาก ศิษย์พี่อยากรู้มานานแล้ว” กระรอกถามด้วยความใสซื่อ
เด็กแดงกลอกตา หัวเราะเหอะๆ “ข้าจะเล่าเรื่องตลกให้ฟัง ถ้าท่านเข้าใจก็จะเข้าใจว่าเหตุใดมันถึงร้อง”
กระรอกสนใจทันที “ดีๆ ศิษย์น้องรีบเล่า!”
เด็กแดงหัวเราะเบาๆ สองที ถูมือเล็กแล้วเล่าว่า “เมื่อก่อนมีไก่ตัวผู้ตัวหนึ่งแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ไก่ตัวเมียที่อาศัยอยู่ในเล้าเดียวกันไม่มีวันไหนที่รอดพ้น ต้องอดหลับอดนอนทุกคืน ไก่ตัวเมียเหล่านี้สิ้นชีวิตชีวาทุกวัน ไม่ออกแม้แต่ไข่ ดังนั้นเจ้าของจึงส่งไก่ตัวผู้ขังในเล้าเป็ด แต่พวกเป็ดก็ไม่มีใครรอด สิ้นชีวิตชีวาทุกวัน ไม่ออกจากรัง ด้วยความจำใจ เจ้าของจึงโยนไก่ตัวผู้ออกไปนอกป่า แต่หลายวันต่อมาเจ้าของเห็นไก่ตัวผู้นั้นนอนแน่นิ่งบนพื้น ขนร่วงจวนจะหมดตัว จึงอดไม่ไหวเข้าไปถาม ‘เจ้ากำลังทำอะไร?’ ไก่ตัวผู้ตอบ ‘ไสหัวไป ข้าใกล้จะได้เป็นพวกเดียวกับอินทรีนั่นแล้ว! ทำอยู่หลายครั้ง มันฉลาดขึ้นแล้ว…’!”
พูดจบเด็กแดงหัวเราะเบาๆ พลางถามกระรอก “เข้าใจหรือไม่?”
กระรอกส่ายหน้า “ศิษย์น้องกำลังพูดอะไร?”
เด็กแดงมองบน “ท่านมันทึ่ม”
“ศิษย์น้องบอกมาเถอะว่าเขากำลังทำอะไรอยู่” กระรอกไม่เข้าใจจริงๆ
เด็กแดงถอนหายใจ “เริ่มงาน!”
กระรอกเกาหัว “หมายถึงจะเริ่มทำงานเหรอ?”
เด็กแดงทนไม่ไหว ลุกขึ้นไปทำความสะอาดอุโบสถ
แต่ฟางเจิ้งได้ยินคำพูดเหล่านี้ จึงตัดสินใจเงียบๆ ว่าจะให้เด็กแดงห่างจากมือถือและอินเทอร์เน็ต! เด็กบ้านี่ไม่เรียนรู้สิ่งดีๆ เท่าไร แต่เรื่องลามกนี่เยอะขึ้นเรื่อยๆ…
เช้าตรู่ฟางเจิ้งไม่ได้ทำอาหาร แต่นำใบไผ่หนาวที่แช่ไว้หนึ่งคืนห่อข้าวผลึกหุงสุก จากนั้นยัดหน่อไม้ชิ้นเข้าไปเล็กน้อย พับเป็นสามมุม ฉีกใบไผ่หนาวเป็นเส้นๆ แล้วผูกมันเอาไว้ เมื่อห่อบ๊ะจ่างที่มีรสหน่อไม้เสร็จแล้วก็ใส่เข้าไปในหม้อ
ฟางเจิ้งไม่มีซึ้งนึ่งเลยได้แต่เปิดต้นไผ่ออก วางไว้ในหม้อทำเป็นฐานรอง แบบนี้ก็พอใช้ได้
เมื่อจุดไฟ กลิ่นหอมสดชื่นจากการนึ่งไผ่หนาว กลิ่นหอมหวานของข้าวผลึก เวลานี้ทั้งวัดโชยไปด้วยกลิ่นหอมของบ๊ะจ่างข้าวผลึกไผ่หนาว ดีที่ตอนเช้าตรู่ไม่มีคนขึ้นเขามา
ช่วงเจ็ดโมงครึ่ง ฟางเจิ้งนึ่งบ๊ะจ่างไว้เต็มสองเข่ง โยนให้ลิง หมาป่าเดียวดาย เด็กแดงและกระรอกคนละอัน
ตัวฟางเจิ้งเองนั่งอยู่ในลาน หยิบบ๊ะจ่างที่ใส่ไว้ในถังน้ำบริสุทธิ์เพื่อลดอุณหภูมิลงจนเย็นออกมา บ๊ะจ่างนี้ต่างจากที่เขากินเมื่อก่อน เมื่อก่อนใช้ใบต้นกก ตอนนี้ใช้ใบไผ่หนาว เมื่อไผ่หนาวถูกนึ่งจนมีอุณหภูมิสูงแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่เปลี่ยนสี แต่กลับเขียวมรกตกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่ามีความแวววาวหลายส่วน ดูเหมือนกับมรกต! และจะดูสวยอย่างยิ่งใต้แสงตะวันส่องสว่าง
“นี่มันบ๊ะจ่างที่ไหน นี่มันงานศิลปะชัดๆ!” ฟางเจิ้งอดปลงอนิจจังไม่ได้ ทว่าท้องใหญ่ที่สุดในฟ้าดิน หิวแล้ว จะงานศิลปะอะไรก็ต้องกิน!
แกะใบไผ่หนาวออก เผยเนื้อข้าวผลึกที่ห่อเป็นก้อนแวววาวข้างใน ได้กลิ่นหอมน่าหลงใหลมาจากข้างใน ฟางเจิ้งกัดเบาๆ รู้สึกแค่ว่าเนื้อบ๊ะจ่างที่เข้าปากลื่นมัน รสปากเยี่ยมที่สุด!
ถ้าเป็นข้าวผลึกที่หุงออกมา นั่นจะเป็นเม็ดๆ ข้างนอกเหมือนคลุมไว้ด้วยสิ่งห่อหุ้มมันวาวหนึ่งชั้น เมื่อกัดไปแล้วเนื้อสัมผัสที่แฝงไว้ด้วยความหวานสูงจะทะลักออกมา กินเข้าไปให้กลิ่นหอมอย่างยิ่ง ตอนนี้ใส่ในใบบ๊ะจ่าง ข้าวผลึกสุกและขยายตัวด้วยอุณหภูมิสูง ทว่ามีพื้นที่เยอะขนาดนั้น ปริแตกออกมาจากสิ่งห่อหุ้ม เนื้อข้าวผลึกหวานๆ ข้างในทะลักออกมา รวมเข้าด้วยกัน กลิ่นหอมทั้งหมดจึงตามออกมาด้วย! ทว่ากลับถูกจำกัดให้อยู่ในใบบ๊ะจ่าง ตอนนี้แผ่กระจายออกมาพร้อมกัน ฟางเจิ้งกินไปพลางดมไปพลาง เป็นสุขใจอย่างยิ่ง
…………………………………………………………..