บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 333 กองเชียร์ที่พึ่งพาไม่ได้
กระรอกได้ยินดังนั้นก็พูดอย่างไม่พอใจนิดๆ “ศิษย์น้อง นายอย่าทำให้คนอื่นเขาหมดสนุกได้ไหม? อาจารย์ ท่านบอกเขาทีว่านี่คือของจริง ไม่ใช่ของปลอม”
ฟางเจิ้งตบหัวกระรอก “พวกนายนี่นะ ทำไมต้องจริงจังด้วย? นี่เป็นแค่ประเพณีอย่างหนึ่งเท่านั้น หลายครั้งประเพณีในขนบธรรมเนียมก็ไม่ได้จริงเสมอไป แต่มันมีความหมายโดยรวมดี เหมือนอย่างที่ว่าไว้ว่าในใจมีความหวังมากๆ ความหวังก็จะมาถึง น้ำจากต้นเฮาจื่อพรมบนตัว ก็ไม่แน่ว่าจะชะล้างเคราะห์ร้ายได้จริงๆ แต่มันเป็นการแสดงเป็นนัยต่อจิตใจผู้คนว่าชีวิตในวันข้างหน้าจะดีกว่านี้ ดังนั้นในใจผู้คนจึงมีหวัง ความกลัดกลุ้มและลำบากยากแค้นในวันวานน้อยลง จิตใจดีขึ้น ก็ย่อมมีอนาคตที่ดีขึ้น ชีวิตก็จะดีขึ้นตามไปด้วย”
“เอ่อ อาจารย์ พูดแบบนี้ก็หมายความว่านี่ชะล้างเคราะห์ร้ายไม่ได้เหรอ?” กระรอกผิดหวังเล็กน้อย
ฟางเจิ้งกดหน้าอกกระรอก “นายเชื่อ มันคือจิตวิญญาณ นายไม่เชื่อ มันไม่ใช่จิตวิญญาณ ทุกอย่างอยู่ที่ใจ เมื่อเตรียมรับความสุขตลอดเวลา นายจะได้รับแต่ความสุขไปชั่วนิรันดร์ ถ้าคิดถึงแต่ความลำบากในอดีต นายจะมีชีวิตอยู่ในความลำบากตลอดไป การพรมน้ำนี่เป็นเพียงเหตุผลเพื่อให้นายลืมความลำบากและเริ่มวันใหม่ก็เท่านั้น นายต้องการเหตุผลนี่ไหม?”
กระรอกตาเปล่งประกาย ตอบกลับในทันใด “เอา! เอา! ความสุขของศิษย์คือผลไม้เยอะๆ ข้าวผลึกเยอะๆ ของอร่อยเยอะๆ!”
ฟางเจิ้งได้ฟังความหวังยิ่งใหญ่ของกระรอกแล้วก็พบว่าการสั่งสอนที่ผ่านมาเนิ่นนานเหมือนจะไม่มีประโยชน์
ก่อนได้ยินหมาป่าเดียวดายพูดตาม “ศิษย์ก็อยากได้ของอร่อยเยอะๆ เหมือนกัน” มันใช้ความจริงพิสูจน์แล้วว่าแม้แต่สุนัขก็ยังสอนให้เข้าใจไม่ได้…
ตอนนี้เองมีเสียงฆ้องและกลองดังสนั่นฟ้า ตามด้วยเสียงโห่ร้องของคนนับไม่ถ้วน ฟางเจิ้งเงยหน้ามอง เห็นทีมจากหลายหมู่บ้านออกมาที่ริมแม่น้ำ ขึ้นเรือมังกร แต่ละคนเป็นชายร่างกำยำ มีกล้ามเนื้อสวยงาม ทำให้คนไม่น้อยกรีดร้องและตะโกนเสียงดังอันเป็นที่พอใจแก่เกียรติจอมปลอมเล็กๆ ของพวกเขา
ฟางเจิ้งพาลิง หมาป่าเดียวดาย กระรอกและเด็กแดงเข้าไปใกล้
ฟางเจิ้งเป็นคนมีชื่อเสียงในระยะร้อยลี้ คนแปดหมู่บ้านสิบลี้มีใครไม่รู้จักเจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนี? ดังนั้นระหว่างทางมาจึงมีคนทักทายแทบตลอดทาง ฟางเจิ้งแสดงความเคารพกลับทีละคน ขณะเดียวกันทุกคนเกรงใจเขามาก เว้นจุดชมดีๆ ไว้ให้ ฟางเจิ้งจึงขอบคุณอีกครั้ง
เวลานี้เองเด็กแดงพลิกมือถือแล้วพูดขึ้น “อาจารย์ ก่อนหน้านี้ท่านพูดไม่ถูก ท่านบอกไม่ใช่รึว่าการแข่งเรือมังกรมีจุดเริ่มต้นมาจากเผ่าอะไรนั่น? แต่ข้าอ่านในอินเทอร์เน็ตเขาบอกว่าภูมิภาคหยวนหลิงทำเพื่อเรียกวิญญาณให้ผานฮู่[1] หรือไม่ก็เซ่นไหว้เฉาเอ๋อกับอู่จื่อชวีอะไรพวกนี้? แน่นอนว่ามีคนบอกว่าเพื่อเซ่นไหว้ชวีหยวน อันไหนเป็นจริงกันแน่?”
ฟางเจิ้งเก็บมือถือทันที ตบหัวเด็กแดงแล้วว่า “เจ้าเด็กนี่ ครั้งหน้าอย่าขโมยมือถืออาจารย์อีก ไม่อย่างนั้นอาจารย์จะสวดมนต์”
เด็กแดงหน้าแดงนิดๆ แอบเกลียดตัวเองที่ปากไว ถ้าไม่พูดก็ยังแอบเล่นได้อีก แต่ว่าเขาก็ยังเป็นเด็กซน ในใจมีความฉงนจึงอดถามต่อไม่ได้ ขณะเดียวกันก็ชอบความรู้สึกที่ฟางเจิ้งถูกถามด้วย เลยพูดไปว่า “อาจารย์ อธิบายหน่อยเถอะ”
ฟางเจิ้งมองบนทีหนึ่ง “เรื่องนี้นักประวัติศาสตร์ยังบอกได้ไม่ชัดเลย นายถามอาจารย์ อาจารย์จะไปรู้ได้ยังไง แต่ว่ามีอย่างหนึ่งที่แน่นอน นี่คือเทศกาลที่สืบทอดกันมาของชาวจีน และก็เป็นมรดกวัฒนธรรมของชาวจีน นี่ก็พอแล้ว เอาล่ะ ดูแข่งเรือมังกรดีๆ เถอะ วันนี้ไม่รู้ว่าทีมไหนจะชนะ”
“อาจารย์ ศิษย์ว่าทีมแดงจะชนะ ท่านดูเรือพวกเขาทรงพลังมาก” หมาป่าเดียวดายกล่าว
กระรอกพูดตาม “อาจารย์ ศิษย์ว่าทีมฟ้าชนะ พวกเขาดูตัวใหญ่มาก มีแต่กล้ามเนื้อทั้งตัว”
มีทั้งหมดห้าทีม เพื่อเป็นการแบ่งแยก ทุกคนต้องผูกผ้าคาดเอวสีต่างกัน แบ่งเป็นสีแดงส้มเหลืองเขียวฟ้าห้าสี ทางด้านนั้นที่บรรยายก็จะใช้สีเป็นตัวแทน แบบนี้จะแยกแยะง่าย…เพราะว่าเป็นการแข่งขันในที่เล็กๆ เรือมังกรที่ใช้ทั้งหมดเลยไม่ได้ใหญ่เป็นพิเศษ แค่ยาวสิบแปดเมตร มีคนนั่งทั้งหมดสามสิบสองคน คนเหล่านี้ต่างถูกเรียกว่ามือพาย
แต่งานเรือมังกรไม่ได้กำเนิดที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่สืบสานมาจากภาคใต้ ดังนั้นเรือมังกรท้องถิ่นจึงไม่ได้มีลักษณะพิเศษอะไร เป็นเรือมังกรที่พบเห็นได้บ่อยมากในตลาด ข้างหน้าเป็นหัวมังกร ข้างหลังเป็นหางมังกร มือกลองอยู่ข้างหน้า ลูกทีมทั้งหมดฟังเสียงกลอง พายเรือตามจังหวะ หางเรือก็เป็นคนคุมหางเสือ…
ฟางเจิ้งมองสิ่งเหล่านี้พลางนึกถึงการแข่งเรือมังกรของชนกลุ่มน้อยในอินเทอร์เน็ต นั่นต่างหากที่มีความแปลก มีรูปแบบโดดเด่นไม่เหมือนใคร แต่เขาไม่มีโอกาสไปดู แค่ดูตอนนี้ก็พอใจแล้ว
ฟางเจิ้งมองชายร่างกำยำเหล่านั้น ไม่สนใจคำถามของเจ้าตัวน้อยเหล่านี้เลย แต่ดูการแข่งอยู่เงียบๆ
เมื่อเสียงปืนให้สัญญาณดังขึ้น ลูกทีมของทั้งห้าทีมออกแรงพร้อมกัน เรือมังกรแล่นไปอย่างรวดเร็วราวกับจะเหินขึ้น ลากเป็นฟองคลื่นสีขาวหลายสายบนแม่น้ำ…คนที่ดูการแข่งขันสองฝั่งต่างตะโกนเชียร์เสียงดัง! ซึ่งพื้นฐานแล้วจะเชียร์ทีมของหมู่บ้านตน
แน่นอนว่ามีคนตะโกนมั่ว อย่างเช่นเจ้าพวกตัวน้อยข้างๆ ฟางเจิ้ง
“ทีมแดงสู้ๆ! ว้าว ทีมเหลืองตามมาแล้ว ทีมเหลืองสู้ๆ!”
“ทีมแดงรั้งท้ายแล้ว ฮ่าๆ ทีมเหลืองสู้ๆ! บ่ะ ทีมเหลืองถูกแซงอีกแล้ว ทีมแดงสู้ๆ!”
ฟางเจิ้งฟังจนสมองแทบระเบิด จึกโขกหัวหมาป่าเดียวดายกับกระรอกไปทีหนึ่ง “พวกนายสองคนยืนเชียร์ดีๆ ไม่ได้รึไง? เดี๋ยวทีมแดง เดี๋ยวทีมเหลือง จะตะโกนมั่วทำไม?”
กระรอกพูดอย่างคับอกคับใจ “เขาแค่อยากชนะไม่ใช่เหรอ ไม่สนหรอกว่าใครชนะ แค่ศิษย์ตะโกนเชียร์ทีมที่ชนะก็พอ”
หมาป่าเดียวดายพูดเช่นกัน “ศิษย์สนับสนุนผู้แข็งแกร่ง ใครชนะศิษย์สนับสนุนคนนั้น”
ฟางเจิ้งหมดคำจะโต้ตอบ…
ย้อนเวลากลับไปตอนฟางเจิ้งแจกบ๊ะจ่าง ฟางเจิ้งเพิ่งก้าวออกมาจากครอบครัวชาวนาหนึ่ง มีเสียงดังแว่วมาจากในบ้าน
“ตาเซี่ย เมื่อกี้ใครเหรอ?”
ในหมู่บ้านเอกดรรชนีมีคนขาไม่ดีเพียงคนเดียว นั่นคือเซี่ยตงเซิงที่ถูกเรียกว่าขาเป๋เซี่ย เขามองบ๊ะจ่างในมือพลางพูดยิ้มๆ “หลวงพี่ฟางเจิ้งเจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนี วันนี้ฉลองเทศกาลไม่ใช่เรอะ เขาเอาบ๊ะจ่างมาให้ทุกคนเลย”
“อะไรนะ? หลวงจีนให้ของกับชาวบ้าน? นะ…นี่มันแปลกจริงๆ ผมเห็นหลายวัดมีแต่รับไม่เคยให้” ระหว่างพูดอยู่นี้ ผู้ชายสวมเสื้อเชิ้ตดอกไม้เดินออกมาจากในบ้าน ตักข้าวชามหนึ่งแล้วเดินเข้าไปใหม่
เซี่ยตงเซิงที่ขาไม่คล่องแคล่วเดินกะเผลกตามเข้าไป วางโต๊ะใหญ่ตัวหนึ่งบนเตียงเตาในห้อง และยังมีโต๊ะกลมวางบนพื้น ตอนนี้มีแขกนั่งเต็ม
เซี่ยตงเซิงขาพิการมานานแล้ว แต่ถึงตัวจะพิการแต่ปณิธานไม่ ในเมื่อร่างกายยากจะทำงานหาเงิน เช่นนั้นก็ใช้สมอง แม้ทุกคนจะหัวเราะเขาว่าไม่รู้จักอักษรแต่คิดจะใช้สมองก็ตาม แต่ว่าสุดท้ายเขาก็ยังหาช่องทางเลี้ยงชีพได้จริงๆ นั่นคือเปิดร้านขายออนไลน์ แม้กิจการจะไม่ถือว่าดี ทว่าการเลี้ยงครอบครัวก็ไม่ใช่ปัญหา
…………………
[1] ผานฮู่ เป็นสุนัข บ้างว่ากลายเป็นคนได้ บ้างว่าเป็นหัวสุนัขตัวเป็นคน