บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 34 กรรมกรหลายคน
เจียงถิงกับหร่วนอิ่งก็อยากรู้อยากเห็นมากเหมือนกัน ใครจะไปยอม จึงรีบพยักหน้า รับน้ำมาคนละชาม
เห็นโหวจื่อเป็นตัวอย่าง เจียงถิงกับหร่วนอิ่งจึงเดินไปไกลแล้วดื่มน้ำอย่างสงบ
สองคนเม้มปากก่อนตรึกตรอง ‘น้ำนี่มีอะไรกันแน่? ทำไมถึงทำให้พวกเขาสามคนเหมือนปีศาจเลย?’
แต่ต่อมาสองคนนี้ก็ไม่คิดอะไรแล้ว เอาแต่ดื่มน้ำจนหมด จากนั้นยังแลบลิ้นขาวและนุ่มเลียชาม มีสีหน้าหลงใหล
“อร่อย!” เจียงถิงออกความเห็น
หร่วนอิ่งมองฟางเจิ้งอย่างน่าสงสาร “ไต้ซือ ขออีกชามได้ไหมคะ?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “ไม่ได้” แต่ในใจคิด ‘ถึงเธอจะน่ารักมาก แต่ก็ปักอยู่บนมูลวัวแล้ว ไม่มีวาสนากับอาตมาแล้ว ทำตัวน่ารักไปก็ไม่มีประโยชน์!’
“ไต้ซือ ผมเพิ่งนึกได้ว่าพั่งจื่อพูดถูกอย่างนึงนะ กฏท่านไม่สมเหตุผล ในเมื่อหนึ่งคนหนึ่งชาม ถ้าอย่างนั้นให้ชามใหญ่กว่านี้หน่อยได้รึเปล่า? ท่านดูสิพวกเราปีนเขาขึ้นมา ดวงอาทิตย์ใหญ่ขนาดนี้ เหงื่อออกเยอะ ระเหยเร็ว ร่างกายขาดน้ำแล้ว ท่านดูสิ เด็กสาวพวกนี้เนื้อหนังบอบบาง ถ้าขาดน้ำจะเป็นลมเอาได้ อันตรายมากนะ…” โหวจื่อเข้ามาใกล้แล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง
พูดอยู่นานฟางเจิ้งก็หัวเราะมองเขา ไม่ได้ขัดอะไร
ห้านาทีผ่านไป โหวจื่อหยุดพูด แต่ถาม “ไต้ซือ ท่านได้ฟังผมพูดรึเปล่า?”
ฟางเจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย “กำลังฟังอยู่ พูดได้ดี โยมทำต่อไป”
“เอ่อ…” โหวจื่อเก้อเขินเล็กน้อย เกาหัวแล้วพูดต่อ “ไต้ซือ ความหมายของผมคือ ท่านให้น้ำอีกแก้วได้ไหม?”
“ไม่ได้” ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด เขาไม่มีข้อดีอะไร แต่เรื่องอาฆาตแค้นนับเป็นหนึ่งในนั้น
โหวจื่อจนปัญญา เจอกับหลวงจีนยืนหยัดความคิดตัวเองแบบนี้ เขาได้แต่จำใจจริงๆ
ตอนนี้เองพั่งจื่อทนไม่ไหวพูดขึ้น “หลวงพี่ ผมซื้อได้ไหม? ชามละร้อยหยวน? ราคานี้แพงกว่าน้ำของผู้ดีในโลกนี้อีกนะ ถ้าเป็นข้างนอกผมซื้อน้ำของท่านได้ยี่สิบถังเลย! แล้วก็ถังใหญ่แบบนี้ด้วย!” พั่งจื่อกางแขนออกพลางคุยโม้
ฟางเจิ้งกลับยิ้ม “อาตมาเคยลงเขาแล้ว”
พั่งจื่อจึงเขินอายทันที…
หลูเสียวอ่าเข้ามาใกล้ “ไต้ซือ ท่านบอกมาเถอะว่าขายไหม?”
ฟางเจิ้งอยากบอกมากว่า ‘ขาย!’ แต่ว่า
“ขอชี้แนะอย่างเป็นมิตร เงินที่ไม่ปนเปื้อนความปรารถนาจะเป็นเหมือนกระดาษเปล่าสำหรับนาย ระบบไม่รับ นายลงเขาไม่ได้ เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ อีกอย่างนายเป็นนักบวช เป็นไต้ซือในอนาคต จะมาแลกเปลี่ยนเพื่อเงินแค่นี้ไม่ได้! ดังนั้น ต่อให้นายหาคนไปซื้อแทนก็ไม่ได้เหมือนกัน” ระบบกล่าวขึ้น
ตอนนี้ในใจฟางเจิ้งกำลังเลือดไหล แต่ใบหน้ากลับยิ้มอย่างจำใจ เห็นฟางเจิ้งยิ้มอย่างอบอุ่น พวกเขาก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าหรือจะมีหวัง?
แต่ฟางเจิ้งก็พูดมาสองคำ “ไม่ขาย!”
“ไต้ซือ ท่านอย่าดื้อดึงแบบนี้เลยนะ? หรือไม่อย่างนั้นพวกเราเพิ่มเงินให้ได้?” เจียงถิงอดไม่ไหวเหมือนกัน ดื่มน้ำจากฟางเจิ้งแล้ว ตอนนี้เธอไม่อยากดื่มน้ำอื่นๆ อีก สำคัญคือยังดื่มไม่พอ!
“ใช่ พวกเราเพิ่มเงินเป็นชามละพันหยวนดีไหม?” โหวจื่อกัดฟันให้ราคาที่สูงมาก
แต่โหวจื่อไม่รู้ว่ายิ่งพวกเขาเรียกราคาสูง ในใจฟางเจิ้งก็ยิ่งหลั่งเลือดมากเท่านั้น เห็นธนบัตรสีแดงลอยอยู่ตรงหน้า จะคว้าได้ตลอดเวลา แต่ก็ทำไม่ได้! ความรู้สึกนี้มันเหมือนกับนักโทษที่ติดคุกมาหลายสิบปีพลันมาเจอกับหญิงงามนอนเปลือยรอเขาอยู่บนเตียง แต่ก็พบว่าตนถูกล่ามขาเอาไว้ ห่างอีกแค่เมตรเดียวก็เข้าไปไม่ได้!
อึดอัดใจ…
ฟางเจิ้งกลัวว่าคนพวกนี้จะให้ราคาสูงขึ้นอีกจริงๆ กลัวว่าตนจะอดใจไม่ไหวทำผิดศีล ดังนั้นจึงเก็บชาม หมุนตัวเดินจากไป แถมยังเอ่ยขึ้นโดยไม่หันกลับมา “พวกโยมดื่มน้ำแล้วก็รีบลงเขาเถอะ”
“ไต้ซือ เดี๋ยวก่อนค่ะ” เจียงถิงเรียกฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งถาม “อุบาสิกามีเรื่องอะไร?”
เจียงถิง “ไต้ซือ พวกเรารู้ว่าท่านมีกฏ แต่นอกจากกฏแล้วจะต้องมีกรณีพิเศษสิ? แล้วจะทำยังไงท่านถึงให้น้ำพวกเราอีกชามได้?”
ฟางเจิ้งกำลังจะตอบ หมาป่าเดียวดายก็กลับมาแล้ว ทั้งยังเห่าให้เขาสองที
ฟางเจิ้งจึงพูดตอบ “เจ้าตะกละนี่ ฉันรู้แล้ว นายไปตักน้ำด้วยความไม่บริสุทธิ์ คงหมายปองน้ำของฉันล่ะสิ”
หมาป่าเดียวดายเห่าสองที แสดงท่าทีเหมือนคนอย่างยิ่ง หลังถูกจับได้แล้วก็มีสีหน้าเก้อเขิน พริบตานั้นเจียงถิง โหวจื่อ พั่งจื่อ หลูเสียวอ่าและหร่วนอิ่งห้าคนเหมือนเห็นผี เบิกตาโต ขยี้ตา จนมั่นใจว่าไม่ได้ฝันไปแล้ว ยังมองฟางเจิ้งด้วยแววตาประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม
พวกเขาพบว่าหลวงจีนที่อายุพอๆ กับพวกเขาเหมือนมีความลับอยู่นับไม่ถ้วน ยิ่งเข้าใจมากเท่าไรก็ยิ่งมีหมอกหนาทึบเท่านั้น ความอยากรู้อยากเห็นจึงมากกว่าเดิม
หลูเสียวอ่าถาม “ไต้ซือ ท่านฟังภาษาหมาป่ารู้เรื่องหรือคะ?”
ฟางเจิ้งยิ้ม “ทุกสรรพสัตว์มีจิตวิญญาณ พวกโยมฟังภาษาคนรู้เรื่อง คนย่อมฟังภาษาพวกมันรู้เรื่อง ของพวกนี้ คนที่อยู่กับสัตว์ตลอดปีจะทำได้ ไม่ได้มีอะไรน่าแปลก”
ฟางเจิ้งพูดสบายๆ คนพวกนี้จึงขบคิด ผู้ฝึกสัตว์เหมือนจะสื่อสารกับสัตว์ป่าได้ แล้วยังมีคนที่เลี้ยงสุนัขเลี้ยงแมวเหล่านั้น พอนานเข้าก็จะสื่อสารได้เหมือนกัน ถึงรู้สึกว่าฟางเจิ้งพูดมีเหตุผล แต่กลับรู้สึกอยู่ตลอดว่ามีปราการความเข้าใจขวางอยู่ บอกไม่ถูกว่ามันไม่ถูกต้องตรงไหน
ชั่วขณะที่พวกเขากำลังตรึกตรอง มีเสียงน้ำไหลดังขึ้น
พั่งจื่อร้องขึ้นด้วยความเสียใจ “อย่านะ! สิ้นเปลืองไปแล้ว!”
ทุกคนจึงได้สติกลับมา เห็นฟางเจิ้งผ่าน้ำเต้าใหญ่ออกครึ่งทำเป็นกระบวยตักน้ำ ตักน้ำจนเต็มกระบวยแล้วเทลงในชามที่ทำมาจากกระถางดอกไม้บนพื้น อีกทั้งยังเทต่ออีกสามกระบวยจนชามเต็มแล้วถึงหยุด
แต่หมาป่าเดียวดายกลับไม่มองพวกเขา เอาแต่ก้มหน้าดื่มน้ำ น้ำกระเซ็นไปรอบๆ โดนหนวดของมัน เห็นเป็นไข่มุกน้ำวาววับอยู่ข้างบน
ห้าคนกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว ขณะเดียวกันยังคิดในใจด้วยความอิจฉา ‘จริงๆ เลย มีชีวิตสู้หมาไม่ได้!’
แต่ห้าคนก็เข้าใจว่าหมาป่าตัวนี้อยู่ในวัด จะกินน้ำตัวเองก็ย่อมใจกว้างได้ ไม่เหมือนกับคนอื่นที่จะพูดอะไรไม่ได้ แม้จะปวดใจ ในใจหลั่งเลือด แต่ก็จะยอมแพ้ไม่ได้
โหวจื่อพลันคิดอะไรออกจึงถาม “ไต้ซือ หมาป่าช่วยท่านแบกน้ำ ท่านเลยให้มันดื่มน้ำใช่ไหม?”
ฟางเจิ้งพยักหน้า “ใช่ ทำไมเหรอ?”
“ถังล่ะ? ถังน้ำล่ะ? อย่าขวางฉันนะ วันนี้คุณพั่งจะตักน้ำติดต่อกันสิบถังใหญ่! เอาถังใหญ่มาให้ฉันเลย!” พั่งจื่อมีปฏิกิริยาโต้ตอบเร็วจึงกล่าวโดยพลัน
ฟางเจิ้งอึ้งไป ไม่นึกเลยว่าพั่งจื่อจะทำแบบนี้
โหวจื่อเป็นดังนั้นก็หัวเราะเหอะๆ “ไต้ซือ ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะช่วยท่านแบกน้ำ แล้วจะได้ดื่มน้ำอีกหน่อยใช่ไหม?”
ฟางเจิ้งตรึกตรอง ถ้าตนแบกน้ำเอง ขึ้นเขาลงเขาก็ยุ่งยากเหมือนกัน ตอนนี้มีแรงงานฟรีแล้ว แค่ให้น้ำไปเล็กน้อย ก็จะได้กำไรอย่างแน่นอน!
……………………….