บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 343 กุศลกรรมต่างๆ
“เขาไม่ใช่คนเลว แต่ประสกกลับหลอกเอาเงินเขา หรือว่านี่ไม่ใช่ความชั่ว? ประสกจะช่วยลูก แต่ถ้าประสกตายแล้ว นี่เป็นเรื่องดีสำหรับลูกสาวหรือ จากนี้ไปเด็กคนหนึ่งไม่มีพ่อ ประสกรู้ไหมว่าอนาคตเธอจะเป็นอย่างไร ตอนถูกรังแกใครจะปกป้อง? ภรรยาประสกก็เช่นกัน ลำบากกันมาทั้งชีวิต อนาคตใครจะดูแลเธอ? คนเลี้ยงลูกคนเดียวยากเย็นแค่ไหน เคยคิดบ้างไหม?” ฟางเจิ้งรัวถามเป็นชุด ถามจนเฉาชั่นพูดไม่ออก
ผ่านไปพักหนึ่ง เฉาชั่นถึงพูด “แต่ว่า…ผมหมดหนทางไปแล้ว นี่เป็นวิธีเดียวที่ผมคิดได้…ถ้ามีเงิน ชีวิตพวกเขาจะดีขึ้นบ้าง ผ่านช่วงนี้ไป พวกเขาจะลืมผม จะมีความสุขได้แล้ว”
“ชีวิตดีหรือไม่ ประสกดูด้วยตัวเองเถอะ” ฟางเจิ้งส่ายหน้า หมุนตัวเดินไปข้างนอก
เฉาชั่นตามไปทันที ถามว่า “หลวงพี่ คือว่า…ผม…”
“ประสกยังไม่ไปเกิดก่อนก็ได้ คอยดูอยู่ที่โลกมนุษย์เถอะ” ฟางเจิ้งพูด
“ขอบคุณมากครับหลวงพี่!” เฉาชั่นรีบขอบคุณ ขอเพียงได้เห็นครอบครัวเขาก็มีความสุขแล้ว
ทว่าเมื่อกลับมาถึงบ้าน สิ่งที่รอเขาอยู่เป็นคนน้ำตานองสองคน หลี่เซียงร้องไห้จนหมดสติแล้วฟื้นขึ้นมาหลายครั้ง เฉาเสวี่ยเคอนอนหมอบอยู่บนศพเขา ร้องไห้ฟูมฟาย ตะโกนอยู่ตลอดว่า “พ่ออย่าหลับนะ ตื่นๆ พ่อเคยบอกว่าจะไปขุดไส้เดือน ตกปลากับหนูไม่ใช่เหรอ…ฮือๆ…”
เห็นสองคนร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด เฉาชั่นก็ร้องไห้เช่นกัน เขาโผเข้าไปจะปลอบลูกเมีย แต่กลับทะลุผ่านร่างไป เขาอยากตะโกนแต่ตะโกนไม่ออก ทั้งสองคนไม่ได้ยิน เขามองฟางเจิ้งด้วยความสิ้นหวังพลางว่า “หลวงพี่ ขอร้องล่ะครับ ให้ผมได้พบพวกเธออีกครั้งเถอะ”
“อมิตาพุทธ ประสกตายไปแล้ว การจากลาของความเป็นตายคือการจากลาเป็นนิรันดร์ พวกโยมจะไม่ได้พบกันอีก ดูเอาเถอะ นี่คือความสุขที่ประสกบอกว่ามอบให้พวกเขาหรือเปล่า?” ฟางเจิ้งตอบ
เฉาชั่นมองสองคนนั้น และนิ่งเงียบไป
เวลาผ่านไป เถ้าแก่เหมืองให้เงินชดเชยกับครอบครัวพวกเขาจริงๆ หลี่เซียงใช้เงินก้อนนี้รักษาเฉาเสวี่ยเคอจนหาย แถมยังชดใช้หนี้สินได้ ชีวิตของสองคนดีขึ้นไม่น้อย แต่ว่า…
“เสวี่ยเคอ ทำไมหน้าแดงล่ะลูก?” หลี่เซียงมองเฉาเสวี่ยเคอที่เพิ่งเลิกเรียนกลับมาด้วยความรักเอ็นดู
เฉาเสวี่ยเคอเงยหน้า มองหลี่เซียงเหมือนอยากพูดบางอย่าง แต่ก็ก้มหน้าลง “หกล้มที่โรงเรียนค่ะ…”
เอ่ยจบ เฉาเสวี่ยเคอวิ่งเข้าไปในห้องเล็กของตน เฉาชั่นตามไปทันใด เห็นเฉาเสวี่ยเคอนั่งอยู่บนเตียง หยิบภาพของเขาขึ้นมา น้ำตาไหลรินราวกับไข่มุกที่สายขาด ร้องไห้ฟูมฟายว่า “พ่อคะ พ่อ…จะงานแข่งกีฬาแล้ว พ่อคนอื่นๆ มากันหมด พ่อของเพื่อนที่แข่งกระโดดไกลกับวิ่งแข่งก็มา มีแค่หนูที่ไม่มี…ฮือๆ…”
“พวกเขาบอกว่าหนูเป็นลูกไม่มีพ่อ แต่หนูรู้ว่าหนูมีพ่อ…แค่พาไปให้พวกเขาดูไม่ได้”
“พ่อคะ พวกเขาหัวเราะเยาะหนู บอกว่าพ่อไม่ต้องการหนู หนูเลยทะเลาะกับพวกเขา หนูเจ็บตัวมากเลย…ฮือๆ…แต่หนูบอกแม่ไม่ได้ แม่เหนื่อยมากแล้ว พ่อคะ หนูคิดถึงพ่อ หนูรู้ว่าแม่ก็คิดถึงพ่อเหมือนกัน…”
เฉาชั่นที่ยืนอยู่ข้างเตียงน้ำตาไหลนานแล้ว เขาพูดอะไรไปเฉาเสวี่ยเคอก็ไม่ได้ยิน
เฉาชั่นออกมาข้างนอกอีกครั้ง หลี่เซียงนั่งยองแอบร้องไห้อยู่เช่นกัน พูดเบาๆ ว่า “เหล่าเฉา ฉันคิดถึงคุณ…”
“หลวงพี่ ผม…” เฉาชั่นหันกลับมา มองฟางเจิ้งที่อยู่นอกประตูด้วยสีหน้าอ้อนวอน
ฟางเจิ้งพูด “ประสกยังอยากดูต่อไปไหม? ตอนนี้พวกเธอไม่มีหนี้ต้องชำระแล้ว แต่มีความสุขไหม?”
เฉาชั่นเงียบงัน
ฟางเจิ้งไม่ได้พูดอะไร แต่ให้เฉาชั่นดูต่อไป
วันเวลาผ่านไปทีละวัน หลี่เซียงกับเฉาเสวี่ยเคอไม่ได้มีความสุขเพราะการจากไปของเฉาชั่น ช่วงเวลาที่ร้องไห้มากกว่าตอนยิ้มเสียอีก เฉาเสวี่ยเคอตั้งใจเรียนหนังสือ หลี่เซียงก็พยายามทำนา ทำงานอย่างหนักหามรุ่งหามค่ำ จอนผมทั้งสองข้างกลายเป็นสีขาวนานแล้ว
หลี่เซียงเพิ่งจะอายุสามสิบกว่า เดิมทีควรเป็นช่วงวัยที่ยังสวยอยู่ แต่เพราะความเหนื่อย ผิวมือจึงกระด้าง เส้นผมขาวดอกเลา เฉาชั่นตบปากตัวเองแรงๆ สองที!
เมื่อไปดูลูกสาวที่ทุกวันจะเงียบพูดน้อย นอกจากอ่านหนังสือแล้วแทบจะไม่พูดอะไรเลย เขาก็ตบปากตัวเองอีกสองที
แต่เฉาชั่นก็ยังพูดว่า “อย่างน้อยเขาก็ร่างกายแข็งแรง…”
“บางครั้งความเป็นกับความตายไม่ได้ต่างกันมาก ไม่ใช่การอยู่รอด มีชีวิตอยู่ต่างหากถึงเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องการ การมีชีวิตคือมีความสุข แต่การอยู่รอดคือการทรมานด้วยความเจ็บปวด” ฟางเจิ้งพลันพูดตอบ
เฉาชั่นเหมือนถูกฟ้าผ่า มองฟางเจิ้งพลางเอ่ย “หลวงพี่…”
“ประสก ปัญหาที่ความตายแก้ได้ คนเป็นก็แก้ได้เหมือนกัน” ฟางเจิ้งกล่าว
เฉาชั่นอึ้งอยู่กับที่ เขาเคยคิดถึงปัญหานี้ แต่จะเป็นไปได้หรือ? ทว่าวิญญาณมีจริง จะมีเรื่องไหนอีกที่เป็นไปไม่ได้? นักบวชตรงหน้าไม่ใช่นักบวชธรรมดาอย่างแน่นอน นี่คือนักบวชเทพ! คิดถึงตรงนี้ เฉาชั่นทิ้งตัวคุกเข่าลงกับพื้น “หลวงพี่ช่วยผมด้วย! ถ้าย้อนอดีตไปได้ ผมรู้แล้วว่าควรทำยังไง”
“ไม่ตายแล้วประสกจะทำยังไง ไม่ช่วยลูกสาวแล้วเหรอ” ฟางเจิ้งถามกลับ
“มันต้องมีวิธี ไม่ใช่เหรอครับ?” เฉาชั่นถามกลับทันที
ฟางเจิ้งพูดไม่ออก ว่าแล้วเชียว คนโง่ที่โง่กว่านี้ก็ยังมีช่วงเวลาฉลาดเหมือนกัน ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย ประนมสองมือสวดไปบทหนึ่ง “อมิตาพุทธ”
ต่อมา เฉาชั่นได้ยินเสียงโครมดังสนั่นเหนือหัว ราวกับมีฟ้าผ่าลงมา พอเงยหน้ามอง ดวงตาพลันดำมืด ไม่รู้สึกอะไรเลย
รอจนเมื่อเฉาชั่นลืมตาขึ้นมาก็พบสิ่งที่น่าตกใจ เขายืนอยู่ตรงปากทางเข้าเหมืองเสียอย่างนั้น! ภาพตรงหน้าคล้ายกับในความทรงจำ พอมองไปข้างหน้าและข้างหลัง ห่างไปไม่ไกลก็มีนักบวชยืนอยู่รูปหนึ่งจริงๆ ข้างกายนักบวชยังมีลิงสวมชุดนักบวชตัวหนึ่ง ดูค่อนข้างพิเศษ
ฟางเจิ้งพยักหน้าให้เขาน้อยๆ แล้วจึงหมุนตัวจากไป
“อาจารย์ พวกเราจะไปไหน?” เจ้าลิงถาม
“กลับบ้าน” ฟางเจิ้งตอบ
“อาจารย์ ท่านช่วยรักษาเด็กคนนั้นได้ไหม?” ระหว่างทาง ฟางเจิ้งเล่าเรื่องของเฉาชั่นให้ลิงฟัง ลิงย่อมรู้เป้าหมายที่พวกเขามาในครั้งนี้
ฟางเจิ้งส่ายหน้าบอก “อาตมารักษาได้แน่นอน แต่ว่าโลกนี้มีคนลำบากมากเกินไป ลำพังแค่พึ่งอภินิหารที่มีจำกัดของอาตมาจะช่วยคนได้เท่าไร? คนคนหนึ่งทำความดี ทำอีกมากเท่าไรก็มีขีดจำกัด ต้องชักพาให้ทุกคนทำความดีไปด้วยกันถึงจะส่งต่อความดีได้ กลายเป็นคุณงามความดีครั้งใหญ่ โรคของลูกเฉาชั่นไม่ใช่โรคที่ไม่มีทางรักษา เพียงแค่รักษายากมาก และก็ใช้เงินเยอะมาก”
เมื่อลิงได้ยินคำว่าเงิน มันเอ่ยด้วยสีหน้าขมขื่น “อาจารย์ พวกเราจนกันพอแล้ว…”
ฟางเจิ้งนิ่งไป…
…….
เฉาชั่นหรี่ตาลงมองฟ้า พึมพำว่า “ฝันเหรอ?”
เฉาชั่นเดินเข้าเหมือง เห็นหลายคนยืนเหม่ออยู่ข้างนอก ทั้งยังมีคนตะโกนด่าทอเสียงดัง “ไม่รู้จริงๆ ว่าไอ้บ้าที่ไหนมันทำ ตัดสายไฟซะได้!”
จากนั้นเห็นคนคนหนึ่งวิ่งมา “เอาล่ะๆ วันนี้เบื้องบนสั่งมาว่าจะทำ EIA[1] เพราะงั้นจะเปิดเครื่องที่สร้างมลภาวะทั้งหมดไม่ได้แล้ว วันนี้พักก่อน แล้วก็…คนนั้นน่ะ รีบติดต่อช่างไฟมาซ่อมสายไฟด้วย…”
เฉาชั่นมองทุกคนที่เริ่มทำตามระเบียบของ EIA พลางอ้าปากเล็กน้อย พูดอะไรไม่ออกเลย ในความคิดมีแต่คำพูดของฟางเจิ้งว่า ‘บ่อน้ำแห้งแล้ว…’
…………………………………………..……..
[1] EIA (Environmental Impact Assessment) คือการประเมินผลกระทบจากโครงการที่มีต่อสุขภาพและความสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อม