บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 347 อาจารย์คืออะไร?
ตอนแรกเริ่ม พวกเขาด้อยปัญญากันจริงๆ ทุกครั้งที่เข้าภูเขา คนในหมู่บ้านจะต้องเข้าไปช่วย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้รักงานอดิเรกเหล่านี้เรียนรู้และฉลาดขึ้น แถมยังเข้าใจวิธีรับมือกับเหยื่ออีกเล็กน้อย ไม่นานพวกเขาก็ค่อยๆ สลับบทบาทกับสัตว์ป่า จะลักลอบล่าสัตว์หายากจำนวนหนึ่งออกไปตลอด
ตอนแรก คนพวกนี้ล่าสัตว์เพียงเพื่อความพอใจของตนเอง หรืออาจเพื่อกิน เพื่อหนังสัตว์ และเพื่อโอ้อวดศักดา
แต่จนถึงตอนนี้ มีคนขยายเรื่องนี้จนเป็นห่วงโซ่ธุรกิจ เริ่มมีการซื้อขายและเข่นฆ่า!
นี่เป็นการทำผิดกฎหมายร้ายแรงแล้ว แต่ด้วยความที่ภูเขาใหญ่เกินไป ต่อให้เป็นกรมป่าไม้หรือเจ้าหน้าที่อุทยานอะไรก็ไม่มีทางจับตามองทั้งภูเขาได้ มักจะมีปลาลอดผ่านตาข่ายเสมอ มิหนำซ้ำคนเหล่านี้ยังเตรียมตัวมา จะจ่ายเงินก้อนใหญ่เชิญชาวบ้านที่ชำนาญทางมานำทางให้ และมีชาวบ้านที่ไม่ทำอาชีพสุจริตกลุ่มหนึ่งรับทำงานนี้โดยเฉพาะ!
เมื่อก่อนซ่งเอ้อโก่วก็เคยทำงานนี้ ต่อมาว่าไม่รู้ผ่านอะไร เจ้านี่เป็นตายอย่างไรก็ไม่เข้าไปภูเขาอีก จะเอ้อระเหยลอยชายไปมาในหมู่บ้านทั้งวัน ทุกคนรู้เรื่องนี้ ถามสาเหตุอย่างไรเขาก็ไม่บอก
คนลักลอบล่าสัตว์เข้าไปในภูเขาใหญ่ หาพบได้ยากมาก เป็นปัญหาสำหรับคนส่วนใหญ่
แต่สำหรับฟางเจิ้งแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่เท่าไร…
เหลียงเจ๋อเฉวียนก้มหน้าพิจารณามองร่องรอยหญ้าและกิ่งไม้หักบนพื้น แค่นยิ้มบอก “เดรัจฉานนี่หนังหยาบเนื้อหนา วิ่งเร็วอีก”
“เหล่าเหลียง มันหนีไปแล้วจะยังตามทำไม?” ผู้ชายที่สวมหมวกกันแดด ใส่เสื้อสีพรางตา เท้าหนึ่งข้างเหยียบบนตอไม้ สวมแว่นตาดำ ท่าทางดูโหดเหี้ยมคนหนึ่งถามขึ้น
“หลินจื่อ นายก็เห็นแล้วนี่ สมัยนี้หมูป่าแต่ละตัวอย่างกับรถถัง ปืนดินที่ฉันทำเองยิงนกอะไรพวกนี้ไม่มีปัญหา นายคิดว่านี่เป็นปืนกลยิงไฟสีฟ้าปุงๆๆ รึไง อย่ามองแค่ว่ามันเลือดออกเยอะแล้ว นั่นน่ะคือหนังภายนอกบาดเจ็บ ถ้าจะจัดการมันยังต้องหาวิธีรั้งมันเอาไว้ แล้วเข้าไปยิงใกล้ๆ อีกนิด” เหล่าเหลียงมองค้อนหลินจื่อทีหนึ่ง
หลินจื่อหัวเราะเสียงดัง “เหล่าเหลียง ไม่นึกเลยว่านายก็เริ่มมีอารมณ์ขันกับเขาแล้ว ฉันพูดไปอย่างนั้นแหละ นายก็รู้นี่ว่าถึงจะหมู่ป่าจะมีราคาดีไม่เท่าเมื่อก่อน แต่ได้มาตัวหนึ่งก็ยังขายได้เงินไม่น้อย แน่นอน ถ้าได้นกมังกรบินสักสองตัวล่ะก็ หึ…”
พูดถึงตรงนี้ หลินจื่อกลืนน้ำลายลงคอตามสัญชาตญาณ
“หลายปีมานี้นกมังกรบินน้อยลงเรื่อยๆ ถ้าได้มาสักตัวจริง ก็ได้กำไรงามแล้ว” ดวงตาเหล่าเหลียงเปล่งประกายเช่นกัน ทว่าก็ส่ายหน้าทันที “แต่ถ้าจะล่านกมังกรบิน อยู่นอกภูเขาทงเทียนค่อนข้างยาก เดินไปข้างในยังมีหวัง ไปเถอะ วันนี้ยังมีเวลาอีกเยอะ ค่อยๆ ไป ไม่รีบ”
หลินจื่อพยักหน้าบอก “ได้ นายเป็นผู้เชี่ยวชาญนี่ เอาตามนายเลย พวกเรา ไป!”
“มาแล้ว” ชายสองหญิงหนึ่งลุกขึ้นจากพื้น เดินตามเข้ามา
ขณะเดียวกัน ภายในแมกไม้ หมูป่าตัวหนึ่งที่หมอบอยู่บนต้นไม้อย่างตื่นตัวกำลังเลียบาดแผลตัวเอง
ตอนนี้เอง มีเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากไกลๆ หมูป่าลุกขึ้น ดวงตาแดงก่ำจ้องไปทางนั้น พุ่มไม้ถูกแหวกออก หมูป่ามองเห็นไม่ชัด ร้องเสียงดังพร้อมกับพุ่งชนเข้าไป!
ทันใดนั้นเอง เสียงสวดดังขึ้น “อมิตาพุทธ เจ้าหมูป่าอย่าไม่รู้ดีชั่วเลย อาตมามาช่วยนะ”
ทว่าหมูป่าพุ่งเข้ามาแล้ว เบรกรถไม่อยู่ เมื่อมาถึงก็มีฝ่ามือที่คุ้นเคยข้างหนึ่งตบเข้ามา ตามด้วยเสียงดังปัง หมูป่าเอียงตัวพุ่งออกไป กลิ้งไปบนพื้นครู่หนึ่ง ก่อนชนเข้ากับต้นไม้โบราณถึงจะหยุดลง หมูป่าส่ายหัว เงยหน้าขึ้นไปก็มองเห็นหลวงจีนจีวรขาวยืนอยู่กลางป่าไม้ มันมองฟางเจิ้ง มีประกายความสับสนวาบผ่านในดวงตา หัวล้านนี้ดูคุ้นตานิดๆ…
ฟางเจิ้งมองดวงตาเล็กๆ ที่สับสนของหมูป่าพลางส่ายหน้าด้วยความจำใจ คิดในใจว่า ‘ความจำของหมูป่านี่แย่จริงๆ มิน่าถึงไม่ติดอันดับกับเขา’
“จิ้งซิน” ฟางเจิ้งพูดเบาๆ จากนั้นหมูป่าจะเห็นเด็กน้อยสวมตู้โตวสีแดงเดินออกมาจากข้างหลังฟางเจิ้ง ม่านตาหมูป่าหดเล็กลงรอบหนึ่งทันที กล้ามเนื้อทั่วร่างบีบรัดตัว ขนแทบจะลุกขึ้นทั้งหมด!
หมูป่าความจำไม่ดีจริงๆ นั่นเป็นเพราะพวกมันขี้เกียจจะจำเรื่องที่ไม่สนใจ! ทว่ามีบางสิ่งที่พวกมันจำได้ อย่างเช่นสิ่งที่สื่อถึงอันตราย อย่างเช่นบรรพบุรุษน้อยไร้พ่ายมือฆ่าหมูป่าที่อยู่ตรงหน้าคนนี้!
หมูป่ารอบนอกทั้งเทือกเขาทงเทียนแทบทุกตัวเคยได้รับการดูแลจากฟางเจิ้งกับเด็กแดง โดยเฉพาะเด็กแดง กลิ่นอายน่ากลัวนั่นกับเปลวเพลิงที่พ่นออกมา ทำให้หมูป่าตกใจกลัวแทบตาย! มันจะลืมได้อย่างไร?
ดังนั้นหมูป่าจึงส่งเสียงคำรามต่ำ หมุนตัวกลับวิ่งหนีไป! ล่วงเกินไม่ได้ก็หนี! พริบตาเดียวมันก็หายไปในพุ่มไม้แล้ว
ฟางเจิ้งส่ายหน้าด้วยความจนปัญญา ตบๆ หัวเด็กแดง เด็กแดงฉีกยิ้ม ก้าวหนึ่งก้าวพุ่งออกไป…
‘ค่อกๆ…’ ไม่นานเด็กแดงก็กลับมา มือข้างหนึ่งจับหางหมูป่า มืออีกข้างจับเท้าหมูป่า เดินลากหมูป่าตัวใหญ่หนักหลายร้อยชั่งมาตลอดทาง หมูป่านั่นเหมือนสะใภ้เล็กที่จะถูก…ก็ว่าได้ มันร้องโหยหวนพลางถีบขา น้ำตาแทบไหลกลายเป็นแม่น้ำซีหู…บนหน้าผากยังมีก้อนกลมๆ ปูดออกมาสองลูก ใช้เท้าคิดก็รู้ว่าได้มาจากไหน
“อาจารย์ พากลับมาแล้ว เจ้านี่ไม่เชื่อฟังกันเลย” เด็กแดงโยนหมูป่าไปบนพื้น ปรบมือเล็กๆ เอ่ย
หมูป่านี่ก็ฉลาดเหมือนกัน รู้ว่าหนีไม่ได้เลยไม่หนี แต่นอนหมอบตัวสั่นอยู่บนพื้น ก้นกระดกขึ้นสูง มันจำได้ว่าครั้งก่อนก็นอนหมอบแบบนี้ และรอดจากมือราชาปีศาจน้อยนี่ไปได้ ครั้งนี้ก็ยังนอนหมอบแบบเดิม น่าจะไม่เป็นอะไร…
ฟางเจิ้งเห็นท่าทางหมูป่านี่แล้วก็พูดไม่ออก เดินเข้าไปตบๆ หัวมันพลางว่า “อมิตาพุทธ นายลุกขึ้นมาเถอะ”
หมูป่ามองเด็กแดงอย่างเจ้าเล่ห์ เทียบกับคนหัวโล้นตรงหน้านี้แล้ว มันกลัวเจ้าคนมีผมมากกว่า…
เด็กแดงตบมันไปทีหนึ่ง “นี่คืออาจารย์ข้า!”
หมูป่าถามอย่างน่าสงสาร “อาจารย์คืออะไร?”
เด็กแดงเงยหน้ามองฟ้า ตอบไปว่า “อาจารย์ ข้าต้องการมีดเชือดหมู”
หมูป่าตัวสั่นงันงก รู้ไหมว่าอาจารย์คืออะไรไม่สำคัญแล้ว มันรู้แค่ว่าเจ้าหัวโล้นนี่เจ๋งกว่าก็พอ! บางทีเจ้าหัวโล้นอาจจะเป็นราชาของราชาปีศาจน้อยนี่! ในฝูงหมูป่าก็มีจ่าฝูงหมูป่าเช่นกัน นี่น่าจะเป็นราชาหัวโล้น ดังนั้นแล้วหมูป่าเลยมองฟางเจิ้งอย่างเชื่อฟัง “เอ่อ พวกนายจะทำอะไร?”
“ให้อาตมาดูแผลหน่อย” ฟางเจิ้งพูด
หมูป่ามองฟางเจิ้งอย่างสงสัย แต่ว่าชีวิตน้อยๆ อยู่กับอีกฝ่ายแล้วเลยได้แต่ยอม เอียงตัวไปข้างๆ บนผิวหนังหนาเป็นสีแดงอมดำ ด้านบนมีดินเล็กน้อย
ฟางเจิ้งตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่ง มั่นใจว่าหมูป่านี่บาดเจ็บแค่ผิวนอก คิดว่าไม่เป็นอะไร ขณะเดียวกันได้ยืนยันด้วยว่านี่คือแผลจากปืนประดิษฐ์ชนิดหนึ่ง
“ปืนประดิษฐ์ ไม่ใช่พวกลักลอบล่าสัตว์ธรรมดาแล้ว” ฟางเจิ้งพูดเบาๆ
“อาจารย์ ท่านหมายความว่าอย่างไร?” เด็กแดงถามด้วยความแปลกใจ