บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 349 ฟางเจิ้งโกรธแล้ว
หลินอิ๋งกล่าว “พี่ นี่มัน…โหดไปรึเปล่า กระต่ายน้อยทั้งนั้นเลย…”
“กระต่ายใหญ่กระต่ายน้อยอะไร พอพวกมันโตแล้ว พวกเราก็ต้องจับไม่ใช่เหรอ มันเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น” พูดถึงตรงนี้ หลินจื่อพูดกับหลินเหล่ยผู้เป็นน้องชาย “น้องพี่ พี่จะบอกให้ ถึงโลกข้างนอกจะต่างกับในป่า แต่กฎเหมือนกัน ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ไม่มีความอบอุ่นหรือคุณธรรมอะไรทั้งนั้น อยากมีชีวิตดี อยากได้อะไร ก็ต้องพึ่งศักยภาพ! นายแกร่งกว่าคนอื่น ก็จะได้รับทรัพยากรมากกว่าคนอื่น มีอำนาจสั่งการก็มีทุกอย่าง กลับกัน ถ้านายเป็นแม่กระต่ายนี่ ดูเป็นครอบครัวที่รักใคร่กันดี แต่พรุ่งนี้ก็ตายในปากหมาแล้ว”
“พี่! พี่พูดอะไรเนี่ย ใครเขาสอนแบบพี่กัน” หลินอิ๋งโกรธจนกระทืบเท้า
หลินจื่อหัวเราะเบาๆ “เอาล่ะๆๆ น้องอิ๋งบ้านเราเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว รู้จักมารยาทแล้ว พี่ไม่พูดแล้วโอเคไหม?” จากนั้นกดเสียงต่ำพูดเบาๆ ข้างหูหลินเหล่ยว่า “น้องพี่ ผู้ชายน่ะ ใจอ่อนเกินไปไม่ได้ ในกระเป๋านายมีมีดอยู่ วันนี้นายจะเป็นคนเชือดกระต่ายนี่”
หลินเหล่ยได้ยินดังนั้นก็ตกใจสะดุ้ง จะให้เขาเชือด? แม้แต่มดเขายังไม่เคยจงใจเหยียบเลย! จะให้ฆ่ากระต่ายตัวใหญ่แบบนี้? เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดผวาของกระต่ายแล้ว หลินอิ๋งเอ่ยขึ้น “พี่…เอ่อ…ให้พี่เซี่ยเหมิ่งจัดการเถอะ”
เซี่ยเหมิ่งพูด “ฉันเองดีกว่า”
หลินจื่อว่า “อุตส่าห์เห็นว่านายมีการพัฒนาบ้าง แค่ฆ่ากระต่ายเองจะเป็นไร ตอนเจอหมูป่าตัวใหญ่ก็ไม่เห็นนายกลัวแบบนี้เลย นายไม่ตื่นเต้นหรอกเรอะ?”
หลินเหล่ยก้มหน้าลง “พี่ มันไม่เหมือนกัน”
“พอๆๆ…นายนี่มันไร้ประโยชน์ ให้เหล่าเหมิ่งจัดการแล้วกัน” หลินจื่อส่งกระต่ายให้เซี่ยเหมิ่ง
เซี่ยเหมิ่งพยักหน้า รับกระต่ายไปแล้วผูกไว้ที่เอว
ในตอนนี้เอง เหล่าเหลียงกลับมา พาสุนัขสองตัวมาด้วย ตรงปากของสุนัขสองตัวเปื้อนเลือด เจ้าสองที่เดิมทีดูซื่อๆ พลันโหดเหี้ยมขึ้น มองจนหลินเหล่ยกับหลินอิ๋งกลัวนิดๆ ไม่กล้าหยอกล้อตามอำเภอใจอีก
เหล่าเหลียงไม่สนใจพวกเขาเช่นกัน แต่พูดว่า “เอาล่ะ หมาสองตัวนี้กินกระต่ายอิ่มแล้ว อีกเดี๋ยวคงจะมีแรงล่าสัตว์กว่าเดิม ไปเถอะ ไปเสี่ยงดวงที่น้ำตกข้างหน้ากัน เดี๋ยวถือโอกาสทำกระต่ายนี่ไปด้วยเลย กระต่ายเพิ่งคลอดมีเนื้ออ้วนมาก เอามาย่างกินอร่อยกำลังดี”
พูดจบ เหล่าเหลียงพาทุกคนออกเดินทางอีกครั้ง
แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าสองคนในกลุ่มเกิดอาการอยากอาเจียนนิดๆ แล้ว…
ผ่านไปไม่นาน ฟางเจิ้งปรากฏตัวที่นี่ เพียงแต่หมูป่าตัวนั้นไม่อยู่แล้ว หาจุดที่หมูป่าบาดเจ็บพบ นั่นคือขีดจำกัดความทรงจำของมันแล้ว พอทำให้มันนึกถึงกลิ่นของศัตรูอีกและตามหา เจ้านั่นก็แยกแยะอะไรไม่ได้เลย ด้วยความจำใจ ฟางเจิ้งได้แต่ให้มันไสหัวไปซะ…
ขณะนี้เอง สิ่งที่ฟางเจิ้งแปลกใจคือกระรอกที่อาศัยความน่ารักเอาตัวรอดไปวันๆ มาตลอดกลับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสะกดรอย ภายใต้การชี้นำของมัน ไม่นานก็หาที่นี่เจอ
“อาจารย์ ที่นี่มีกลิ่นคาวเลือด” เด็กแดงเอ่ยพลางมองไกลออกไป
ฟางเจิ้งว่า “เข้าไปดูหน่อย”
เดินตามกลิ่นไปไม่นาน ฟางเจิ้งเจอโพรงถูกขุดแห่งหนึ่ง ข้างๆ เป็นเศษเนื้อเล็กๆ กระจายเกลื่อนไปหมด และยังมีเลือดด้วย…
“ตรงนี้น่าจะเป็นรังกระต่าย แต่ถูกอะไรบางอย่างขุดออกมา ลูกกระต่ายข้างในถูกกินหมดแล้ว ภาษิตว่ากระต่ายมีวิธีการซ่อนตัวมากมาย กระต่ายหนีไม่รอด มีโอกาสสูงมากที่มันยังเล็กเกินไป หากไม่ใช่ว่ายังวิ่งไม่ได้ ก็วิ่งไม่เร็ว” เด็กแดงนั่งยองลง พิจารณาครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น
ฟางเจิ้งกล่าว “พวกชาวบ้านมีธรรมเนียมอย่างหนึ่ง ต่อให้ขึ้นเขามาทำอาหารป่า ก็ไม่เคยลงมือกับสัตว์ที่ตั้งท้องหรือกำลังให้นมลูก ดูท่าพวกที่ขึ้นเขามาครั้งนี้จะไม่ใช่คนดี!”
“อาจารย์ ไม่อย่างนั้นก็คืนพลังให้ข้า ข้าจะช่วยท่านจับเขาเอง แล้วจัดการหนักๆ สักยก เป็นอย่างไร?” เด็กแดงอาสารับหน้าที่เองทันที
ฟางเจิ้งตอบ “ถ้าให้นายลงมือทุกอย่าง แล้วอาจารย์จะทำอะไร”
ในใจกลับคิดว่า ‘ให้นายทำแล้วอาจารย์จะไปเอาบุญกุศลจากไหน ไม่มีบุญกุศลแล้วจะสึกได้ยังไง?’ แต่พอนึกถึงโจรลักลอบล่าสัตว์พวกนี้แล้ว ฟางเจิ้งกลับอารมณ์ไม่ดีนัก ไอ้พวกลักลอบล่าสัตว์ไม่มีขีดจำกัดล่างพวกนี้ ไม่ปล่อยแม้กระทั่งสัตว์ที่กำลังให้นม จิตใจคนพวกนี้ดำมืดแล้ว
ความจริง คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่รู้ว่ามีโจรลักลอบล่าสัตว์ เพียงแต่ว่าพวกลักลอบล่าสัตว์แบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกดี บรรพบุรุษพวกเขาคือนายพราน สืบทอดต่อกันมาเป็นรุ่นๆ คนพวกนี้อาศัยภูเขาเพื่อความอยู่รอด แต่ไม่เคยกินจนหมดภูเขา พวกเขามีความเข้าใจต่อภูเขาเหมือนหลังบ้านตัวเอง สัตว์ชนิดไหนเยอะสัตว์ชนิดไหนน้อยล้วนรู้แน่ชัด พวกเขาจะลงมือกับสัตว์ที่มีปริมาณเยอะ ทั้งยังไม่จับมั่ว ฆ่ามั่ว และจะมีกฎเยอะมาก คนเหล่านี้ไม่ได้ทำลายระบบนิเวศของภูเขา
การคงอยู่ของพวกเขาเหมือนกับส่วนหนึ่งของภูเขา เป็นห่วงโซ่ในระบบนิเวศ พวกชาวบ้านไม่เคยมองคนกลุ่มนี้ป็นโจรเลย เพียงแต่มองพวกเขาเป็นนายพรานหรือไม่ก็คนเก็บฟืนบนเขา
แต่คนอีกกลุ่มคือพวกอย่างตอนนี้ พวกเขาไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีความยำเกรงต่อธรรมชาติและขุนเขา มีเพียงจิตใจละโมบ หวังแต่จะปล้นชิงจากภูเขาไป ไม่มีขอบเขตจำกัด! เห็นอะไรแทบจะล่าหมด อะไรหายากก็ลงมือกับสิ่งนั้น!
พวกนี้ต่างหากที่เป็นโจรลักลอบล่าสัตว์ในสายตาพวกชาวบ้าน! และก็เป็นกลุ่มคนที่น่ารังเกียจที่สุด…
ฟางเจิ้งคาดการณ์ว่าคนกลุ่มนี้เป็นอย่างหลัง! เขาจึงเกิดความเกลียดชังต่อคนพวกนี้อย่างยิ่ง!
ทันใดนั้นเอง มีเสียงปืนดังมาจากข้างหน้า ตามด้วยเสียงเห่าของสุนัขไม่หยุด
ฟางเจิ้งสบตากับเด็กแดง ก่อนวิ่งไปตามเสียงข้างหน้า ข้ามผ่านไปหลายพุ่มไม้ ผ่านทุ่งหญ้า ข้ามแม่น้ำสายเล็ก ฟางเจิ้งถึงเห็นกวางซิกาตัวหนึ่งวิ่งผ่านมา ขามันบาดเจ็บ วิ่งกะเผลก เมื่อดูที่ท้อง ก็เห็นว่ามันกำลังตั้งท้องอยู่!
เสียงสุนัขดังเข้ามา สุนัขสองตัวล้อมจากสองทาง ไกลออกไปอีกเป็นชายคนหนึ่งแบกปืนล่าสัตว์วิ่งมา วิ่งไปพลางหัวเราะเสียงดังไปพลาง “กลางแม่ลูก สมบัติในท้องนั่นล้ำค่าสุดๆ เลย! ต้าเฮย เอ้อร์เฮย ขวางมันไว้ หลินจื่อ นายจะล่าสัตว์ไม่ใช่เหรอ เจ้านี่กำลังท้อง ขาบาดเจ็บ วิ่งไม่เร็ว นายลองดูสิ”
หนึ่งในสี่คนที่ตามมาข้างหลังได้ยินแบบนั้น ก็ตอบรับด้วยความตื่นเต้น “ได้ ฉันเอง!” หลินจื่อหันกลับไปหาเซี่ยเหมิ่ง “เหล่าเหมิ่ง ส่งธนูคอมพาวน์ดมาให้ฉันหน่อย”
เซี่ยเหมิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังส่งให้หลินจื่อ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัย ไม่มีสิทธิ์คัดค้านอะไร
หลินจื่อรับคันธนูคอมพาวน์ดมา ดึงสายธนู หลินอิ๋งข้างๆ ปิดตาไม่กล้ามอง หลินเหล่ยตื่นเต้นอยู่บ้าง แต่ก็ทนดูไม่ค่อยได้…
เด็กแดงขมวดคิ้วแน่น ด่าทอเสียงทุ้มไปว่า “เจ้าพวกนี้มันเดรัจฉานจริงๆ ตอนนั้นข้ายังไม่กินสัตว์ตั้งครรภ์เลย…นี่มันเหี้ยมกว่าปีศาจเสียอีก!”
กระรอกร้องขึ้นว่า “อาจารย์ๆ ช่วยมันที!”
ฟางเจิ้งโกรธแล้วเหมือนกัน ตอนแรกทำลายรังกระต่าย ตอนนี้จะฆ่าแม่กวางตั้งท้อง แถมยังจะกินรกกับลูกกวางในครรภ์ คนพวกนี้ยังมีความเป็นคนอยู่อีกไหม?
ด้วยความร้อนรน เขาจึงใช้อภินิหารมั่วซั่ว ใช้อิทธิวิถี!