บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 356 เป็นนก
ตอนนี้เอง นกฮาเซลเกราซ์ที่ตกใจจนมุดเข้าไปในพุ่มไม้เตี้ยโผล่หัวออกมาอีกครั้ง ร้องสองที ทำท่าจะวิ่งหนี! ถูกต้อง นกฮาเซลเกราซ์จะวิ่ง ไม่ได้บิน! นกชนิดนี้เป็นสัตว์ปีกเดิน ไม่ใช่สัตว์ปีกบิน บินไม่ได้ แต่วิ่งแล้วกลับเหมือนเหาะเหิน!
หลินจื้อเฉิงเห็นแบบนั้นก็คว้าคันธนูไว้ ง้างสายธนูจะยิง!
ฟางเจิ้งกลับเดินหน้ามาหนึ่งก้าวขวางหน้าธนูหลินจื้อเฉิง เอ่ยขึ้นว่า “ประสก รั้งม้าที่หน้าผาเถอะ ยังมีโอกาส!”
“ช่างหัวม้าที่หน้าผาแม่งเถอะ! ถ้านกฮาเซลเกราซ์หนีไป ฉันจะให้แกรับผิดชอบ!” หลินจื้อเฉิงตะคอก ผลคือนกฮาเซลเกราซ์กระโดดจะหนีไปแล้ว!
หลินจื้อเฉิงยกมือจะยิง!
ฟางเจิ้งถอนหายใจ “ในเมื่อประสกชอบล่าสัตว์แบบนั้น ชอบล่านกฮาเซลเกราซ์แบบนี้ อาตมาจะสนับสนุนประสกอย่างเต็มที่”
“หมายความว่าไง?” หลินจื้อเฉิงสงสัยในใจ ต่อมาเขาพบสิ่งที่น่าตกใจคือ ตัวเขาเล็กลง! ไม่ผิด เขาตัวเล็กลงเรื่อยๆ สุดท้ายได้แต่เงยหน้ามองฟางเจิ้งตรงหน้า!
“เกิดอะไรขึ้น!” หลินจื้อเฉิงร้องเสียงดัง แต่เมื่อเอ่ยกลับกลายเป็นเสียงร้องของนกฮาเซลเกราซ์ หลินจื้อเฉิงพลันหวาดผวา นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ขณะนี้เอง ฟางเจิ้งนั่งยองลง ตบหัวหลินจื้อเฉิงเบาๆ “ประสกชอบนกฮาเซลเกราซ์ ก็เป็นนกฮาเซลเกราซ์เถอะ อาตมาเชื่อว่าบนโลกนี้มีคนมากมายชอบสัตว์เหมือนกับประสก”
พูดจบ ฟางเจิ้งยืนขึ้นและจากไป
หลินจื้อเฉิงมึนงง นกฮาเซลเกราซ์? หรือว่าเขากลายเป็นนกฮาเซลเกราซ์ไปแล้ว? พอก้มหน้ามอง ยกมือขึ้น นี่มันมือที่ไหนกัน เห็นชัดเลยว่านี่คือปีกนกฮาเซลเกราซ์! มองต่ำลงไปอีกคือกรงเล็บ…หลินจื้อเฉิงตกใจจนโง่งม รีบวิ่งไปที่ริมแม่น้ำ ก้มหน้ามองดูในสายน้ำ
เห็นเงาในน้ำมีเพียงหนึ่งเดียว ร่างกายล่ำสัน จะงอยปากสั้นยื่นเป็นทรงกรวย ปีกทั้งสั้นและกลม มีความรู้สึกว่าบินไม่ขึ้นอย่างชัดเจนหรือไม่ก็บินแบบปกติไม่ได้ รูจมูกกับเท้ามีขนนกกระจายกันอยู่ข้างบน รูปร่างเหมือนกับนกพิราบ นี่คือนกมังกรบินในภาพจำของหลินจื้อเฉิง บนหัวเขามีหงอนขน นี่คือเอกลักษณ์เฉพาะของนกเพศผู้
‘นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?’ หลินจื้อเฉิงร้องด้วยความตื่นกลัวในใจ แต่ก็ออกมาเป็นเสียงนกอีก
ตอนนี้เอง เหมือนมีเสียงร้องตกใจดังแว่วมาจากข้างหลังไกลๆ “ฟังสิ! เหมือนเสียงนกเลย! พี่เหมิ่ง ขออาวุธที ผมจะล่า!”
หลินจื้อเฉิงได้ยินดังนั้น ใจก็สั่นไหว นี่คือเสียงของหลินเหล่ย เขาจะล่าสัตว์? จะล่านก? หลินจื้อเฉิงที่เมื่อครู่จะเข้าไปหาและขอให้ช่วยพลันหยุดชะงัก ขืนเข้าไปแบบนี้ หลินเหล่ยจะจำเขาได้หรือ? จะถูกธนูยิงตายรึเปล่า?
เหมือนกับว่ากำลังตอบคำถามเขา หลินเหล่ยปรากฏตัวขึ้น ในมือถือคันธนูกำลังเดินมาอย่างระมัดระวัง มองปราดเดียวเห็นนกฮาเซลเกราซ์ร่างแปลงของหลินจื้อเฉิง นัยน์ตาฉายประกายตื่นเต้น เขาคุ้นกับประกายแววตานี้มาก ทุกครั้งที่เขาล่าสัตว์จะมีประกายในตาแบบนี้ ตื่นเต้น! ตื่นเต้นมาก! เฝ้ารอว่าจะฆ่าได้ในการจู่โจมครั้งเดียว!
หลินจื้อเฉิงร้องตามจิตใต้สำนึก “หลินเหล่ย อย่าทำ ฉันเอง! ฉันพี่แกไง!”
ทว่าหลินเหล่ยกลับปล่อยมืออย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย เกิดเสียงดังปัง ก้อนหินตกลงข้างตัวหลินจื้อเฉิง เศษหญ้าที่กระเซ็นตีใส่หน้าเขาเจ็บนิดๆ แต่ทำให้เขาได้สติขึ้นมา ทุกอย่างนี้ไม่ใช่ความฝัน นี่คือความจริง! ขืนเหม่อต่อไป เขาจะถูกฆ่าแน่!
คิดได้ดังนั้น หลินจื้อเฉิงหมุนตัววิ่งไป!
เป็นนกฮาเซลเกราซ์ ไม่ชำนาญการบินระยะไกลจริงๆ แต่การวิ่งยังเร็วราวกับเหาะเหิน เขามุดเข้าไปในพุ่มหญ้า แต่ทว่า..
ปึง!
ถึงอย่างไรหลินจื้อเฉิงก็ยังไม่ใช่นกฮาเซลเกราซ์ที่วิ่งมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ ยังควบคุมสมดุลร่างกายได้ไม่ดีนัก จึงชนเข้ากับกิ่งไม้พุ่มหญ้าเตี้ยจนเวียนหัวตาลาย
เวลานี้เอง ได้ยินสียงหลินเหล่ยพูดว่า “ฮ่าๆ…ฉันเจอนกโง่เว้ย! บินไม่ได้ แถมยังชนต้นไม้อีก!”
“บินไม่ได้? ไหนดูซิ?” เสียงหลินอิ๋งดังขึ้น ก่อนคนจะเดินเข้ามา แต่ยังไม่ทันเห็นด้านนี้ก็ร้องด้วยความตกใจ “นี่มันธนูกับเสื้อผ้าของพี่นี่? แล้วพี่ล่ะ?”
“ใช่ พี่ล่ะ?” หลินเหล่ยได้สติกลับมาจากความตื่นเต้นเมื่อครู่
เซี่ยเหมิ่งได้ยินดังนั้นก็พลันวิ่งเข้ามา นั่งยองลงตรวจสอบคันธนูกับเสื้อผ้า ขมวดคิ้วพูดว่า “เสื้อผ้าสะอาดมาก ไม่มีร่องรอยเสียหาย คันธนูก็ไม่มีปัญหา ดูจากลักษณะแล้วเหมือนว่าเถ้าแก่หลินจะถอดเสื้อผ้าออก แต่เขาจะถอดเสื้อผ้าไปทำไม?”
หลินเหล่ยมองพุ่มไม้เตี้ยข้างหน้ารวมถึงลำธารที่ไหลอยู่ใต้พุ่มไม้นั้นพลางพูด “คงไม่ได้ข้ามแม่น้ำหรอกมั้ง?”
“แบบนั้นไม่ต้องถอดกางเกงในก็ได้นี่?” หลินอิ๋งมองเสื้อผ้าบนพื้น เอ่ยด้วยความกังวล
“นี่แหละสิ่งที่ฉันกังวล ที่นี่มีคนน้อยมาก สัตว์ป่าก็มีอยู่บ้าง แต่ดูจากปฏิกิริยาของเหล่าเหลียงเมื่อกี้ ฉันสงสัยว่ามีคนสะกดรอยตามพวกเรามาตลอด ทั้งยังลงมือหลายครั้งแล้ว ขวางเหล่าเหลียงไม่ให้ล่าสัตว์ แถมยังพูดโน้มน้าวเหล่าเหลียง เหล่าเหลียงถึงได้เปลี่ยนไปอย่างเมื่อกี้ ตอนนี้เกิดเรื่องกับเถ้าแก่หลินแล้ว มีโอกาสสูงที่จะเกี่ยวกับคนคนนั้น” ระหว่างพูดอยู่นี้ เซี่ยเหมิ่งนั่งยองลงสังเกตอย่างละเอียด พร้อมกับถาม “หลินเหล่ย ตอนที่นายมาถึงเห็นอะไรเป็นพิเศษบ้างไหม?”
“มี เห็นนกโง่บินไม่ได้ได้แต่วิ่งตัวหนึ่ง อัปลักษณ์มาก นกตัวเบ้อเริ่ม แต่บนหัวมีหงอนขน” หลินเหล่ยตอบกลับทันที
“นกที่นายว่าน่าจะเป็นนกมังกรบิน เป็นนกที่เถ้าแก่หลินอยากจับแม้แต่ในฝัน นกนั่นเป็นสัตว์คุ้มครองชั้นหนึ่งของประเทศ ล้ำค่ามากๆ ถ้าขายเป็นเงินอย่างเดียวเถ้าแก่หลินอาจจะไม่สนใจ แต่ถ้าให้เป็นของขวัญ มันคือของขวัญที่พันตำลึงทองยังซื้อได้ยาก ล้ำค่าแต่มีน้อย” เซี่ยเหมิ่งกล่าว
“ที่แท้นั่นก็นกมังกรบิน พี่เหมิ่ง นกมังกรบินอยู่ในพุ่มไม้นั่น มันโง่ชะมัด ชนต้นไม้เหมือนกับหมูเลย” หลินเหล่ยชี้ไปทางหลินจื้อเฉิง
เซี่ยเหมิ่งชำเลืองมองไปทางนั้นแวบหนึ่ง หลินจื้อเฉิงตกใจจนตัวสั่น พลันคิดจะหนีไป แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่นกฮาเซลเกราซ์ ภูมิประเทศซับซ้อนแบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็วิ่งติดขัดไปหมด วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ทุลักทุเล
เซี่ยเหมิ่งขมวดคิ้วบอก “ทำไมนกมังกรบินนี่ถึงเหมือนดื่มมาเยอะนัก ช่างเถอะ หาเถ้าแก่หลินก่อนดีกว่า ช่างมัน”
หลินอิ๋งมองหลินจื้อเฉิงด้วยความแปลกใจ “นกนี่โง่จริงๆ”
หลินเหล่ยกล่าว “โง่จริงๆ นั่นแหละ พี่อยากจับมันไม่ใช่เหรอ ฉันไปจับเอง รอหาพี่หลินเจอแล้วจะได้ให้เป็นของขวัญเขา อย่างแย่ก็ได้แต่ย่างกิน ฉันยังไม่เคยกินเนื้อนกมังกรบินเลย ได้ยินพี่โม้ประจำ ครั้งนี้ฉันจะได้ฟินกับเขาบ้างล่ะ” หลินเหล่ยยังคงติดเล่น ไม่คิดว่าหลินจื้อเฉิงจะมีอันตรายอะไรจริงๆ
ดังนั้นหลินเหล่ยเลยวิ่งเข้าไปจับหลินจื้อเฉิง
หลินจื้อเฉิงทั้งหลบและหนีต่างๆ นานา แต่ตัวเองยังไม่ชินกับร่างใหม่ รวมถึงยังไม่ชำนาญภูมิประเทศ หนีไปได้ครู่เดียวก็ถูกหลินเหล่ยกดคอไว้แล้วจับขึ้นมา
หลินจื้อเฉิงบิดตัวสุดชีวิต ด่าทอยกใหญ่ว่า “หลินเหล่ย แกปล่อยฉันเดี๋ยวนี้! นี่ฉันเอง! พี่แกเองไง!”
“เฮ้ย ลูกนกนี่ดิ้นเก่งจริงๆ อย่าดิ้นดิ ถ้าดิ้นอีกฉันจะบีบคอแกให้ตาย!” หลินเหล่ยพูดพลางคว้าคอหลินจื้อเฉิง หิ้วคอเขาแกว่งไปมาตามอำเภอใจ ตอนนั้น หลินจื้อเฉิงแทบจะรู้สึกถึงความตายได้แล้ว! เลือดทั่วร่างถูกเหวี่ยงรวมกันเป็นก้อน เวียนหัวตาลาย ถูกบีบคอไว้หายใจไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบว่าน้องชายตัวเองน่ากลัวถึงเพียงนี้! และก็เป็นครั้งแรกด้วยที่เผชิญหน้ากับเจ้าน้องชายไร้ประโยชน์ที่แอบซุกซนอยู่ในความขี้ขลาด ถูกเขาทอดทิ้งตลอด แต่เขาก็ปรับแก้และสั่งสอนน้องคนนี้เรื่อยมา อยากให้มีความเป็นผู้ชายมากขึ้นอีกนิด ไม่ได้มองอีกฝ่ายด้วยความดูแคลน แต่เป็นหวาดกลัว!