บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 357 ตกใจ
“หลินเหล่ย นายทำดีๆ หน่อยได้ไหม? พี่เป็นยังไงยังไม่รู้เลย นายยังคิดจะจับมันอีกเหรอ แล้วก็อย่าแกว่งแบบนั้นสิ เดี๋ยวมันจะตายเอา” หลินอิ๋งต่อว่า
หลินเหล่ยกลัวหลินอิ๋งมาก เขาเกาหัว ไม่แกว่งแล้ว แต่คว้าปีกหลินจื้อเฉิงแทน “ได้ๆๆ ไม่แกว่งแล้วโอเคไหม แต่เจ้านี่จะตายก็ตายไปเถอะ ยังไงก็ได้มาฟรีๆ ตายก็กินเนื้อ รอหาพี่เจอก่อน จะเลี้ยงมื้อใหญ่เขาเลย เหอะๆ…”
พอได้ยินเสียงหัวเราะของหลินเหล่ย หลินจื้อเฉิงไม่รู้ควรจะดีใจว่ามีน้องชายที่เป็นห่วงตน หรือควรกลัวน้องชายปีศาจแบบนี้ดี! ขณะเดียวกัน นี่เป็นครั้งแรกสำหรับหลินอิ๋งผู้ใจอ่อน ที่เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและเฝ้าปรารถนาจากจิตใจที่ดีงามของเธอ
‘ที่แท้ความเมตตาต่อผู้อ่อนแอก็เป็นความรู้สึกแบบนี้เอง…’ หลินจื้อเฉิงคิดในใจ
ขณะนี้เซี่ยหมิ่งลุกขึ้นยืน เอ่ยด้วยความมั่นใจมากว่า “ที่นี่มีคนเคยผ่านมา”
“แน่นอน พี่หลินเรามาไง ธนูกับเสื้อผ้าเขายังอยู่เลย” หลินเหล่ยพูด
“ฉันไม่ได้หมายถึงเถ้าแก่ แต่นอกจากเถ้าแก่แล้วที่นี่ยังมีคนอื่นเคยผ่านด้วย” เซี่ยเหมิ่งพูด
“คนอื่น?” หลินเหล่ยตกใจสะดุ้ง หลินอิ๋งร้องตกใจ “พี่เหมิ่ง พี่อย่าทำให้ฉันกลัวสิ หรือว่าจะมีคนทำร้ายพี่เรา?”
เซี่ยเหมิ่งส่ายหน้าบอก “ไม่ได้แง่ร้ายแบบนั้น พูดจริงๆ นะ ตอนฉันเป็นทหารรับจ้างอยู่หลายปียังไม่เคยเจอคนเพี้ยนแบบนี้มาก่อนเลย จับคนไม่เท่าไร แต่จับแก้ผ้าหมดเลยด้วยนี่สิ” เซี่ยเหมิ่งขมวดคิ้วจนย่นเป็นสามเส้น เกิดความสงสัยในใจมากขึ้น
“พี่เหมิ่ง หน้าพี่ดูจริงจังมากเลย มีอะไรที่ยังไม่ได้พูดรึเปล่าคะ?” จะอย่างไรหลินอิ๋งก็เป็นเด็กสาว มีความรอบคอบ
เซี่ยเหมิ่งพยักหน้า “จากประสบการณ์ของฉัน ฉันมั่นใจว่าอีกฝ่ายมีแค่คนเดียว! แต่ฉันไม่เข้าใจว่าเถ้าแก่หลินมีธนูในมือ แถมมีมีดตรงเอวอีก เข้าป่าเขาตลอดปี ร่างกายก็ถือว่าแข็งแรง การที่คนธรรมดาจะจัดการเขาเงียบๆ นั้นเป็นไปไม่ได้เลย แต่ว่าด้วยสภาพการณ์แบบนี้ เขากลับถูกอีกฝ่ายปลดธนู ถอดเสื้อผ้า นี่มันแปลกอยู่นิดๆ
ต้องรู้นะว่าพวกเราอยู่ใกล้ๆ เขาแค่ตะโกนดังๆ ดิ้นสักสองที ก็ยื้อไว้จนกำลังเสริมมาช่วยได้แล้ว แต่ว่าเถ้าแก่หลินไม่ส่งเสียง ถูกปลดอาวุธเงียบๆ…และที่แปลกกว่านั้นคือบนพื้นมีร่องรอยคนเดินไปคนเดียว”
“อีกฝ่ายใช้ยาชารึเปล่าคะ? แล้วแบกพี่เราไป?” หลินอิ๋งถามทันที
หลินเหล่ยกล่าว “คงไม่ได้คิดจะขืนใจพี่เราหรอกนะ…”
“หุบปาก! พูดบ้าอะไรฮะ?” หลินอิ๋งถลึงตามองหลินเหล่ยทีหนึ่ง หลินเหล่ยเงียบกริบ
หลินจื้อเฉิงก็อยากจะตีน้องโง่นี่ให้ตายเหมือนกัน พูดอะไรมั่วซั่ว?
ทว่าเซี่ยเหมิ่งพยักหน้า “ความเป็นไปได้นี้ก็ไม่แน่ แต่อีกฝ่ายรีบเกินไปหน่อย นี่ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือ…” เซี่ยเหมิ่งชำเลืองมองพื้นทีหนึ่ง “หญ้าตรงนี้ถูกเหยียบ และยังมีใบไม้ร่วงด้วย เห็นได้ว่ามีคนผ่านตรงนี้ แต่ว่า…” พูดถึงตรงนี้ สีหน้าเซี่ยเหมิ่งจริงจังยิ่งกว่าเดิม
“พี่เหมิ่ง อย่าทำให้ฉันกลัวสิ” หลินอิ๋งมองพื้นแล้วก็ตัวสั่น
หลินเหล่ยว่า “ทำไมเหรอ? พี่เซี่ยยังไม่ได้พูดอะไรเลย?”
“เจ้าโง่ นายดูบนพื้นสิ มีอะไรต่างกับทางที่พวกเรามาไหม” หลินอิ๋งถาม
หลินเหล่ยมองแล้วส่ายหน้า “ไม่เห็นมีอะไรต่างเลย”
“เจ้าโง่! ดินตรงนี้นิ่มมาก เหยียบทีเดียวก็เห็นเป็นรอยเท้าแล้ว แต่ตรงนี้ไม่มีรอยเท้าเลย! ถ้าอีกฝ่ายไปจากตรงนี้จริงๆ แล้วเขาจะออกไปยังไง บินเหรอ เป็นไปได้เหรอ? นี่ยังใช่คนอยู่ไหม?” เอ่ยถึงตรงนี้ หลินอิ๋งแทบจะร้องไห้ เธอกลัวจริงๆ แล้ว เคยได้ยินคนเล่าลือมานานแล้วว่าในภูเขามีตำนานต่างๆ รวมถึงภูตผีน่ากลัวนานาชนิด เธอคิดโยงไปถึงเรื่องพวกนั้นแล้ว
หลินเหล่ยได้ยินเข้าก็ตกใจจนแทบจะโยนหลินจื้อเฉิงทิ้ง วิ่งไปข้างๆ เซี่ยเหมิ่ง พูดด้วยอาการตื่นกลัวว่า “พี่เหมิ่ง จริงรึเปล่าเนี่ย อย่าทำให้ผมตกใจนะ”
“ไม่มีรอยเท้าจริง แต่มีเทคนิคพิเศษบางอย่างทำได้ เอาเถอะ อย่าทำให้ตกใจกันเองเลย บนโลกนี้ไม่มีผีหรอก ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่รอดมาจนถึงวันนี้ อยากรู้คำตอบตามไปดูเดี๋ยวก็รู้เอง” พูดจบ เซี่ยเหมิ่งหิ้วคันศร เก็บมีดแล้วตามไป
หลินเหล่ยกับหลินอิ๋งตกใจกลัวอยู่นานแล้ว เซี่ยเหมิ่งคือฟางช่วยชีวิตของสองคนนี้ แล้วจะกล้าออกห่างเกินไปหรือ? ทั้งสองคนรีบตามไป ตามติดเซี่ยเหมิ่ง กลัวว่าถ้าถูกทิ้งท้ายจะโดนแก้ผ้าจับตัวไป
ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าตอนนี้เขาถูกมองเป็นผีร้ายสุดขั้วไปแล้ว เขากำลังพากระรอกกับเด็กแดงเดินเล่นอยู่ในป่าอย่างเอ้อระเหย
“อาจารย์ ท่านเปลี่ยนคนเลวนั่นเป็นนกฮาเซลเกราซ์แล้วก็ไม่สนใจเลยเหรอ ถ้าเขาตายขึ้นมาจะทำยังไง?” กระรอกนั่งอยู่บนบ่าฟางเจิ้ง ดึงใบหูเขาพลางถาม
ฟางเจิ้งยิ้มตอบ “ไม่ตายหรอก อย่างน้อยก็ไม่ตายในหนึ่งสัปดาห์” เขามีเนตรสวรรค์ เห็นความเป็นความตายของคนในระยะเวลาสั้นๆ เขาเห็นเรื่องพวกนี้หมดแล้ว ย่อมมีการคำนวณไว้ในใจ จึงไม่ได้กังวล
เด็กแดงกล่าว “ไม่ตาย แล้วเปลี่ยนเขาเป็นนกฮาเซลเกราซ์จะมีประโยชน์อะไร ข้าว่ามันเสียเวลาน่ะ”
ฟางเจิ้งตอบ “อมิตาพุทธ จะเสียเวลาหรือไม่ อีกเดี๋ยวค่อยว่ากัน ไปเถอะ ข้างหน้ามีลำธารเล็ก สองฝั่งมีหินเล็กใหญ่เยอะเลย ไปนั่งเล่นกัน”
เด็กแดงกับกระรอกมองฟางเจิ้งด้วยความสงสัย มักรู้สึกว่าเจ้านี่จะต้องแอบวางแผนอะไรอยู่แน่ๆ แต่จนปัญญาที่ฟางเจิ้งไม่บอก พวกเขาอยากรู้อยากเห็นแค่ไหนก็ได้แต่อดกลั้นไว้ เด็กแดงเดินตามอยู่ข้างหลังด้วยอาการงุนงง เห็นว่าจะถึงริมแม่น้ำแล้วเลยอดถามไม่ได้ “อาจารย์ ท่านจะทำอะไรกันแน่? บอกหน่อยเถอะ ศิษย์ร้อนใจจะแย่แล้ว”
“นายร้อนใจจริงๆ เหรอ?” ฟางเจิ้งไม่ตอบแต่ถามกลับ
เด็กแดงพยักหน้ารัวๆ
ฟางเจิ้งหัวเราะเบาๆ “เห็นนายร้อนใจแบบนี้ อาจารย์ก็วางใจ นายร้อนใจต่อไปเถอะ อาจารย์เห็นแล้วมีความสุข”
เด็กแดงได้ยินแบบนั้นก็ร้องโอดครวญ “ข้าต้องเจออาจารย์ปลอมแน่ๆ มีอาจารย์ที่ไหนเหมือนท่านบ้าง?”
ฟางเจิ้งกลับตอบโดยไม่ใส่ใจ “แล้วมีศิษย์ที่ไหนเหมือนนายบ้าง เอาละ ไม่ต้องพูดแล้ว หินก้อนนั้นไม่เลวเลย อาตมาจะไปนั่งหน่อย ถ้าพวกนายสองคนว่างก็คุ้มกันให้อาจารย์เถอะ อย่าให้ใครมารบกวนการทำสมาธิของอาจารย์”
พูดจบ ฟางเจิ้งก็ปีนขึ้นหินสูงใหญ่ก้อนนั้น นั่งขัดสมาธิลงบนส่วนยอดหิน เงยหน้าเล็กน้อย มองฟ้าราวกับภิกษุชราเข้าฌาน
กระรอกกับเด็กแดงเงยหน้ามองอยู่ข้างล่าง กระรอกถามเด็กแดงว่า “ศิษย์น้อง ฉันรู้ว่าอาจารย์ไม่เหมือนกำลังทำสมาธิเลย ปกติเขาไม่ทำสมาธิแบบนี้นี่…”
เด็กแดงแค่นยิ้ม เอาสองมือไพล่หลัง เงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยท่าทีเหมือนอาจารย์ “ศิษย์พี่ ท่านเงยหน้ามองดูดีๆ ดูว่าข้างอาจารย์มีอะไร”
กระรอกมองดูดีๆ เห็นแต่ว่ามีน้ำตกเล็กๆ อยู่ตรงนั้น สูงไปกว่านั้นมีหินใหญ่หลายก้อนกับต้นไม้โบราณประหลาดๆ หลายต้น จึงบอกที่สิ่งที่มันเห็นให้ฟัง
เด็กแดงทำเสียงหึๆ “สายตาไม่เลว แต่ท่านมองให้ไกลไปอีก”