บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 374 ซื้อบุหรี่
หลังทานอาหารเช้าเสร็จ ฟางเจิ้งพาหมาป่าเดียวดายตามหวังคุนออกจากบ้านมา เลี้ยวอยู่หลายที ก็เห็นเด็กหนุ่มสาวกลุ่มใหญ่รวมตัวกันตรงหน้าประตูโรงเรียน เมื่อหวังคุนมาถึงพลันสร้างเสียงฮือฮา หวังคุนคิดจะเชิดหน้าขึ้นตามจิตใต้สำนึก แสร้งทำเป็นว่าราชามาถึงแล้ว แต่ผลคือ…
“นั่นมันหมาสีขาวที่เล่นบาสตัวนั้นนี่!”
“หมาเงินที่แย่งบาสเฉินเหว่ย!”
“ถุย แกนั่นแหละหมาบ้ากาม ห้ามด่าไอดอลฉัน”
จากนั้นชายหญิงรุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งวิ่งกรูเข้ามา วิ่งผ่านหวังคุนไป หวังคุนถูๆ จมูก เงยหน้ามองฟ้า เก้อเขินมากทีเดียว…
ฟางเจิ้งข้างหลังเก้อกระดากยิ่งกว่า เด็กสาวกลุ่มนี้ผ่านเรื่องเมื่อวานมาก็ชอบหมาป่าเดียวดายกันมาก เดิมทีหมาป่าเดียวดายสง่าอยู่แล้ว ดูองอาจห้าวหาญ ผู้ชายมองว่าเท่ ผู้หญิงเห็นแล้วชอบยิ่งกว่าเดิม แต่หมาป่าเดียวดายตัวใหญ่เกินไป ไม่ว่าอย่างไรก็ยังทำให้คนยำเกรงอยู่ ดังนั้นพวกเด็กหนุ่มเลยล้อมดูหมาป่าเดียวดายเพื่อแสดงความกล้าหาญของตัวเอง ชี้นู่นชี้นี่ ติโน่นตินี่ไปเรื่อย
พวกเด็กสาวกลัวนิดๆ จึงมาล้อมเจ้าของหมาป่าเดียวดายแทน ฟางเจิ้ง!
เทียบกับหมาป่าเดียวดายแล้ว ฟางเจิ้งให้ความรู้สึกไม่มีพิษมีภัยกว่าเล็กน้อย แถมยังหล่อมากด้วย!
“ไต้ซือ ท่านเลี้ยงหมานี่เหรอคะ?”
“อมิตาพุทธ ใช่แล้ว…” ฟางเจิ้งตอบ
“ไต้ซือ หมานี่สวยมาก พันธุ์อะไรคะ?”
ฟางเจิ้งมองค้อนในใจ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าหมาป่าเดียวดายพันธุ์อะไร หมาป่าในภูเขา? พันธุ์หมาบ้านจีน? พันธุ์ผสมซามอยด์?
ดีที่เด็กสาวเพิ่งถาม ไม่ต้องให้ฟางเจิ้งเปลี่ยนหัวข้อสนทนา คำถามที่สองก็โยนเข้ามาแล้ว “ไต้ซือ ท่านซื้อหมานี่มาจากไหนคะ?”
“ไต้ซือฝึกมันยังไงคะ?”
“ไต้ซือ ทำไมมันตัวใหญ่จัง?”
“ไต้ซือ…”
“ไต้ซือ…”
ฟางเจิ้งรู้สึกว่ามีเป็ดวนอยู่รอบศีรษะ ส่งเสียงร้องเจี๊ยวจ๊าวไม่หยุด เขาหาความรู้สึกตอนถูกเหล่านักแสดงหญิงจากกองถ่ายล้อมโจมตีพบอีกครั้ง สัมผัสกลิ่นอายวัยหนุ่มสาวรอบตัว ได้กลิ่นหอมลอยมาตามเส้นผม แม้ฟางเจิ้งจะยังไม่ถึงขั้นเสียสมาธิ แต่เขาก็ยังเป็นหนุ่ม เลือดลมจึงสูบฉีด ถูกพวกเด็กสาวดึงไปๆ มาๆ ก็หน้าแดง เขาเขินแย่แล้ว…
เห็นฟางเจิ้งหน้าแดง พวกเด็กสาวเหมือนค้นพบแผ่นดินใหม่ หลวงจีนที่รูปหล่อ สะอาดสะอ้าน และเจิดจรัสถูกพวกเธอดึงไปสองทีก็หน้าแดงแล้ว! นี่จะบริสุทธิ์เกินไปแล้วมั้ง?
ด้วยเหตุนี้พวกเด็กสาวจึงเริ่มเล่นไม่ซื่อ ส่งสายตาต่างๆ เข้ามา ยิ้มที ดึงที…พอเห็นฟางเจิ้งหน้าแดงลามไปถึงคอ แต่ละคนก็ต่างหัวเราะจนงอตัว
ฟางเจิ้งรู้แล้วว่าตัวเองถูกอันธพาลหญิงกลุ่มนี้แกล้ง! จึงรีบฝ่าวงล้อมหลายชั้นออกมา จะให้หวังคุนช่วยชีวิต
พวกหวังคุนอิจฉาริษยาจวนจะไม่ไหวแล้ว โดยเฉพาะหวังคุน เขาที่กระโดดสูงมากในสนามบาสยังไม่มีสวัสดิการแบบนี้เลย! ปกติเขาจะหาโอกาสหยอกล้อนักเรียนหญิง แต่ยังไม่เคยถูกพวกนักเรียนหญิงล้อมหยอกล้อแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อวานฟางเจิ้งพูดโน้มน้าวจนเขาสำนึกบุญคุณในใจล่ะก็ คงจะเข้าไปก่อกวนนานแล้ว
เห็นฟางเจิ้งขอความช่วยเหลือ หวังคุนเลยออกคำสั่ง พวกเด็กหนุ่มรีบตรงเข้าไปแยกและขวางเอาไว้
ฟางเจิ้งออกมาได้อย่างราบรื่น ยืนอยู่ข้างหวังคุน ยิ้มแห้งๆ บอกว่า “เพื่อนประสกนี่โหดจริงๆ!”
หวังคุนยิ้มเจื่อนๆ “ก็ท่านเด่นเกินต้านนี่นา!”
ฟางเจิ้งเงียบไป
วุ่นวายกันอยู่ครู่หนึ่ง กลุ่มคนก็มาถึงสนามบาสของเขตเล็กเยียนกว่างอีกครั้ง เฉินเหว่ยกับหวังคุนสองฝ่ายถลึงตามองกัน ราวกับว่าใครใหญ่กว่า ใครคนนั้นก็เก่งกว่า เมื่อกรรมการโยนลูกบาสขึ้นสูง มหาสงครามเริ่มอีกครั้ง พวกเด็กสาวกองเชียร์และตัวสำรองที่นั่งข้างหลังต่างตะเบ็งเสียงตะโกน ตอนนี้เอง ฟางเจิ้งเหมือนย้อนกลับไปสมัยเรียน กลิ่นอายวัยหนุ่มสาว เลือดร้อนระอุ น่าเสียดาย…เขาเป็นหลวงจีน!
เรื่องที่ทำให้เขาเลือดร้อนจริงๆ ในตอนนั้น ตอนนี้ไม่เกี่ยวกับเขามากนักแล้ว
ขณะเดียวกัน บนตึก ผ้าม่านที่ปิดแน่นมาตลอดเปิดเป็นช่องเล็กๆ ใบหน้าซีดขาวโผล่มากลางผ้าม่าน ตอนที่เห็นลูกบาสบนสนามบาสนั้น ใบหน้ามีรอยยิ้มเพิ่มมา นัยน์ตามีความปรารถนาเสี้ยวหนึ่ง…เขามองดูเงียบๆ แบบนี้ ราวกับว่าลูกบาสตรงหน้าคือทั้งหมดของชีวิตเขา
ขณะเดียวกัน ในห้องรับแขก
“ไอ้เด็กพวกนี้มาอีกแล้ว!” หลู่ฮุยที่กำลังนั่งกลุ้มเพราะอาการป่วยของลูกดับบุหรี่ในมือ พลันลุกขึ้นจะออกไปไล่
ซูอวิ๋นที่นั่งข้างๆ ดึงหลู่ฮุยไว้ ถลึงตามองเขาทีหนึ่ง “เป็นบ้าอะไร คุณไปดูเสี่ยวเจิ้งหน่อย!”
หลู่ฮุยขมวดคิ้ว แต่ก็ยังแอบเปิดประตูของหลู่เจิ้ง เห็นแต่หลู่เจิ้งที่ปกติแทบจะนอนแน่นิ่งบนเตียงนั่งอยู่ตรงหน้าต่างนิ่งๆ กำลังมองข้างนอกอย่างจดจ่อ
“นี่คือกีฬาที่เสี่ยวเจิ้งชอบที่สุด และก็รักที่สุดด้วย ตั้งแต่ที่เขาขยับขาไม่ได้ เขาอยากกลับไปบนสนามบาสมากนะ ตอนนี้เขาเล่นบาสไม่ได้แล้ว หรือว่ากระทั่งสิทธิ์ดูแข่งบาสของลูกคุณก็จะเอาไป?” ซูอวิ๋นต่อว่าเสียงเบา
หลู่ฮุยก้มหน้าลง “ผมกลัวว่าเด็กพวกนั้นจะกระตุ้นอารมณ์เขา ตอนแรกเขาวิ่งได้ กระโดดได้ ตอนนี้ได้แต่มอง ต่างกันแบบนี้…ผมกลัว…”
“ฉันเชื่อเสี่ยวเจิ้ง” ซูอวิ๋นพูดอย่างแน่วแน่
หลู่ฮุยถอนหายใจ ก่อนหมุนตัวทำท่าจะออกไป
“คุณจะไปไหน?” ซูอวิ๋นถาม
หลู่ฮุยมองซูอวิ๋นทีหนึ่ง “ออกไปเดินเล่น…”
ครั้งก่อนหลู่ฮุยก็พูดแบบนี้ แต่ออกไปไล่คน ครั้งนี้ซูอวิ๋นเป็นตายอย่างไรก็ไม่เห็นด้วย แต่หลู่ฮุยดึงดันจะไป เธอจึงขวางไม่ได้ ได้แต่โกรธและร้อนใจ ทำอะไรไม่ได้เลย
“หยุดๆๆ…อาคนนั้นมาอีกแล้ว!” ขณะกำลังเล่นบาสกันบนสนาม พลันมีคนตะโกนเสียงดัง
พวกหวังคุนและเฉินเหว่ยหยุดในทันที มองหลู่ฮุยซึ่งกำลังเดินมาด้วยสีหน้าจนปัญญาและไม่พอใจ
บนตึก หลู่เจิ้งขมวดคิ้ว มีประกายความเศร้าบางๆ วูบผ่านในดวงตา…
ตอนนี้เอง หลู่ฮุยหันไปมองหลู่เจิ้งบนตึกเล็กน้อย จากนั้นหมุนตัวเดินไปทางสนามบาส
“คุณอา พวกเรามาเล่นบาส อาไม่ต้องมาดูพวกเราก็ได้มั้ง?” หวังคุนหมดคำจะพูดนิดๆ แล้ว
หลู่ฮุยไม่ตอบอะไร แต่ตอนใกล้จะถึงสนามบาสกลับเดินไปอีกด้าน พูดขึ้นเรียบๆ ว่า “ฉันมาซื้อบุหรี่ เกี่ยวอะไรกับพวกแก?”
พูดจบหลู่ฮุยก็เดินไป…
พวกหวังคุนกับเฉินเหว่ยชะงักอยู่กับที่ เฉินเหว่ยเกาหัวพูดว่า “หมายความว่าไง?”
“เจ้าโง่! ความหมายคือเขาไม่สนที่เราเล่นบาส! ไอ้บ้า! มาต่อกัน!” หวังคุนพูดจบก็ตะโกนเสียงดัง
เฉินเหว่ยตั้งสติกลับมาได้ หัวเราะตามไป คนอื่นหัวเราะด้วยเช่นกัน ก่อนจะเริ่มแข่งบาสที่หยุดไว้ในตอนแรกอีกครั้ง! เด็กหนุ่มวิ่งและกระโดด พวกเด็กสาวส่งเสียงตะโกนไม่ขาดสาย สนามบาสในตอนนี้คึกคักกว่าเดิม…
หลู่เจิ้งบนชั้นสองเห็นหลู่ฮุยเดินไปทางสนามบาส เดิมทีคิดว่าทีมบาสจะถูกไล่ไปอีกแล้วจึงเตรียมกลับเตียงนอน แต่เพิ่งหมุนตัวกลับก็ได้ยินเสียงโห่ร้องคึกคักจากข้างนอก เมื่อเขาหันมามอง ดวงตาพลันตะลึงค้าง จากนั้นยิ้มออกมา…