บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 376 พระพุทธในใจฟางเจิ้ง
ซูอวิ๋นหัวเราะเบาๆ ตักน้ำชามเล็กวางไว้บนพื้น หมาป่าเดียวดายรีบวิ่งเข้ามาดื่มทันที ใช้ลิ้นเลียน้ำเสียงดัง ส่งเสียงไม่เบาเลย
ซูอวิ๋นกำลังยุ่งกับการทำอาหาร จึงตรงไปห้องครัว ตอนนี้ในห้องรับแขกเหลือฟางเจิ้งผู้มีใบหน้าสุภาพกับหลู่ฮุยที่สีหน้าเย็นชา คิ้วขมวดแน่น บรรยากาศพลันชวนอึดอัดนิดๆ
นั่งไปได้ครู่หนึ่ง ในที่สุดหลู่ฮุยก็เอ่ยขึ้น “เณร เมื่อกี้ท่านดูบาสใต้ตึกใช่รึเปล่า เมื่อวานท่านก็อยู่ด้วยนี่?”
ฟางเจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย “อาตมาอยู่จริงๆ”
“ท่านมีเวลาไม่กินเจ แต่ไปดูแข่งบาส?” หลู่ฮุยยิ้มเยาะ ในมุมมองเขา มีโอกาสสูงที่เณรตรงหน้าจะเป็นหลวงจีนปลอม ต่อให้เป็นหลวงจีนจริงก็ไม่ใช่หลวงจีนที่ดี ไม่อย่างนั้นจะมีเวลามาดูแข่งบาสหรือ?
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย “อาตมาลงเขามาครั้งนี้เพื่อดูโลก ดูวิถีชีวิตคนที่หลากหลาย สนามบาสก็เป็นหนึ่งในชีวิตคน ถ้าสนใจก็ย่อมดูอยู่แล้ว อีกอย่างสิ่งที่สวยงามจริงๆ มักจะไม่ได้อยู่ที่สนามบาส”
“อ้อ? ถ้าอย่างนั้นผมก็อยากรู้แล้ว สิ่งสวยงามไม่ได้อยู่บนสนามบาส แล้วมันอยู่ที่ไหน?” หลู่ฮุยเห็นคำพูดฟางเจิ้งน่าสนใจ จึงถามด้วยความแปลกใจ
ฟางเจิ้งพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งว่า “ย่อมเป็นนอกสนามบาส ในใจของคน”
หลู่ฮุยตะลึงงัน พูดอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “ท่านจะบอกว่าผมไม่ควรไล่พวกเขาเหรอ ท่านจะรู้อะไร!”
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “ประสกเป็นอย่างไร เกี่ยวอะไรกับอาตมา?”
หลู่ฮุยงุนงง “ท่านหมายความว่าไง?”
ฟางเจิ้งยิ้มแต่ไม่ตอบ หลู่ฮุยมองฟางเจิ้งด้วยความฉงน เขาไม่เข้าใจว่าเณรนี่จะขายยาอะไรในน้ำเต้ากันแน่
ตอนนี้เอง ซูอวิ๋นยกกับข้าวออกมา เป็นผักสด ไม่มีเนื้อ ดูแล้วฐานะของพวกเขาคงไม่ค่อยดีนัก ซูอวิ๋นกล่าวว่า “ไม่มีกับข้าวอะไรนะคะ หลวงพี่อย่าถือโทษเลย”
ฟางเจิ้งรีบยืนขึ้นประนมสองมือ “อมิตาพุทธ สีกาให้ข้าวอาตมาคำหนึ่ง นั่นคือบุญกุศลยิ่งใหญ่แล้ว อาตมาจะไปถือโทษได้ยังไง”
ซูอวิ๋นถึงค่อยไปห้องครัวอย่างสุขใจ และเตรียมอย่างอื่นต่อ
ฟางเจิ้งนั่งลง หลู่ฮุยกล่าวว่า “ต้นปีนี้เห็นนักบวชมาบิณฑบาตไม่น้อย แต่มีหลายรูปถูกตำรวจจับไปแล้ว ผมได้ยินมาว่าพุทธศาสนาแบ่งเป็นมหายานกับหินยาน พุทธมหายานกลับใจคน หินยานกลับใจตัวเอง พุทธมหายานไม่บิณฑบาต หินยานบิณฑบาต มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ เณร ท่านเป็นพุทธหินยานเหรอ?”
คำถามรัวมาเป็นชุด เห็นได้ชัดว่าหลู่ฮุยเข้าใจพุทธศาสนาอยู่บ้าง อีกทั้งยังดาหน้าเข้าปะทะ เผยประกายคมกริบออกมา ชี้ตรงไปที่ฟางเจิ้ง ในประเทศจีน พุทธมหายานต่างหากที่เป็นสายหลัก ถ้าถูกมองว่าเป็นพุทธหินยานจะรู้สึกว่าโดนเหยียดหยาม อย่างน้อยชาวบ้านตาสีตาสาก็คิดแบบนี้ แน่นอนว่าในสายตานักบวช…
ฟางเจิ้งตอบว่า “ประสก พุทธแบ่งเป็นมหายานและหินยาน แต่พุทธมหายานและหินยานไม่มีการแบ่งชนชั้นสูงต่ำกัน ไม่ว่าจะเป็นพาคนกลับใจหรือพาตนกลับใจล้วนทำให้โลกนี้มีคนดีเพิ่มมาหนึ่งคน แล้วทำไมต้องมีดีเลว? ส่วนตัวอาตมา อาตมานับถือพุทธ ไม่แบ่งมหายานหรือหินยาน ขอเพียงถูกต้อง อาตมาก็เชื่อ
เรื่องบิณฑบาต บิณฑบาตก็มีกฎของการบิณฑบาตคือพ้นกลางวันไม่บิณฑบาต ไม่บิณฑบาตเงิน ไม่บิณฑบาตเกินเจ็ดบ้าน ประมาณนี้เอง ถ้าบิณฑบาตมาไม่ได้ ให้นั่งขัดสมาธิท้องว่าง นึกถึงร่องรอยของบรรพบุรุษ ลดความอยากของร่างกายตัวเอง”
“นับถือพุทธ? ถ้าอย่างนั้นท่านนับถือพุทธสายอะไร?” หลู่ฮุยอยากทดสอบฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งชี้ไปที่ใจตัวเองพลางว่า “พุทธในใจ พุทธในตัวเอง พุทธในฟ้าดิน”
“นี่มันพุทธอะไร?” หลู่ฮุยมึนงง
ฟางเจิ้งกล่าวอีก “พบสัจธรรมพบพุทธะ ปุถุชนล้วนสำเร็จอรหันต์ได้ แล้วไฉนจะไม่นับถือตัวเอง นับถือจิตใจ นับถือความดีงามในใจของสรรพสิ่งในฟ้าดิน? อาตมาแค่ทำสิ่งที่เห็นว่าสมควรเพื่อไม่ให้เสียใจภายหลัง มีบุญกุศลในฟ้าและดิน ดั่งคำที่ว่าในใจมีพุทธะ จะสำเร็จอรหันต์ได้อย่างไร?”
หลู่ฮุยใบ้กิน มองฟางเจิ้งราวกับมองตัวประหลาด เขาเคยพบหลวงจีนมาบ้าง นักบวชพวกนั้นล้วนแขวนคำว่าพุทธไว้บบนริมฝีปาก อ้าปากหุบปากมีแต่พระโพธิสัตว์เป็นอย่างไร…เขาเพิ่งเคยเจอคนที่เหมือนฟางเจิ้งเป็นครั้งแรก! นี่คือตัวประหลาดในหมู่พุทธสาวกชัดๆ!
หลู่ฮุยแปลกใจกับฟางเจิ้งกว่าเดิม นั่งตัวตรง คิ้วคลายออกไม่น้อย “ถ้าคำพูดท่านหลุดออกไป มีโอกาสสูงที่จะถูกชาวพุทธทุบตีตาย”
ฟางเจิ้งส่ายหน้าเบาๆ พร้อมบอก “ไม่หรอก พุทธเปรียบได้กับมหาสมุทรที่รับน้ำได้เป็นร้อยเป็นพันสาย ขอเพียงถูกต้อง เป็นความดี ล้วนรับได้ทั้งนั้น พุทธไม่ได้เป็นตัวแทนคำพูดของครอบครัวหนึ่ง แต่เป็นความคิดของร้อยครอบครัว ในใจทุกคนมีพระพุทธของตน เพียงแต่บางคนเชื่อในพระพุทธของคนอื่นเท่านั้นเอง”
“จะไม่ถูกบีบบังคับจริงเหรอ?” หลู่ฮุยถามอย่างจริงจัง
เดิมทีฟางเจิ้งอยากพยักหน้า แต่พอนึกถึงหลวงตาหนึ่งนิ้วเขากลับลังเล เมื่อครู่ที่ฟางเจิ้งพูดล้วนเป็นคำพูดของหลวงตาหนึ่งนิ้ว ตอนแรกหลวงจีนหงเหยียนเคยบอกว่าหลวงตาหนึ่งนิ้วเป็นอีกจำพวกหนึ่ง ดังนั้นเลยเดินทางไกลมาภูเขาเอกดรรชนี…วัดเดิมไม่ยอมรับเขา
คิดถึงตรงนี้ ฟางเจิ้งถอนหายใจบอก “ไม่ใช่ทุกคนที่ฝึกถึงขั้นนี้ได้ ความคิดต่างกัน จึงยากจะเลี่ยงจุดที่ไม่ชอบใจ เลี่ยงไปก็พอแล้ว”
หลู่ฮุยได้ยินเข้าก็ยิ้ม เขาเริ่มเชื่อว่าฟางเจิ้งคือหลวงจีนจริงๆ แล้ว เพราะเขาพบว่าเวลาหลวงจีนตรงหน้าพูด ดวงตาจะใสกระจ่างยิ่ง ไม่มีสิ่งเจือปนใดเลย คำที่พูดก็ออกมาจากใจจริง เขาเพิ่งเคยเจอคนที่บริสุทธิ์แบบนี้เป็นครั้งแรก
ตอนนี้เอง ซูอวิ๋นยกกับข้าวมาอีกจาน พูดยิ้มๆ ว่า “คุยอะไรกันอยู่ คุยกันสนุกเชียว?”
หลู่ฮุยยิ้มนิดๆ อย่างที่พบเห็นได้ยาก “คุยกับหลวงพี่เรื่องพุทธศาสนานิดหน่อย”
ซูอวิ๋นมองหลู่ฮุยด้วยความตกใจ เธอไม่ได้เห็นหลู่ฮุยยิ้มมานานมากแล้ว ก่อนจะมองๆ ฟางเจิ้งอีกครั้ง ถูกชะตาฟางเจิ้งยิ่งกว่าเดิม! ซูอวิ๋นพูดว่า “ที่บ้านยังมีกับข้าวอีกหน่อย ฉันจะไปเอามา สองคนคุยกันต่อเถอะ”
พูดจบ ซูอวิ๋นก็เดินไป
หลู่ฮุยมองฟางเจิ้งพร้อมพูดขึ้น “หลวงพี่ ตามที่ผมรู้มา พุทธสมาคมห้ามนักบวชบิณฑบาตทุกทางไม่ใช่เหรอ เรื่องนี้ท่านมองยังไง?”
ฟางเจิ้งยิ้ม “เป็นเรื่องดี”
“เอ่อ…ถ้าเป็นเรื่องนี้ แล้วทำไมท่านถึงมาบิณฑบาต?” หลู่ฮุยมองฟางเจิ้งด้วยความไม่เข้าใจ
ฟางเจิ้งมองหลู่ฮุยพลางหัวเราะเบาๆ “ประสก รู้ถึงความต่างระหว่างบิณฑบาตกับขอทานไหม?”
หลู่ฮุยขมวดคิ้ว “มันก็…ใกล้เคียงกัน”
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “ในสมัยราชวงศ์หมิง จักรพรรดิจูหยวนจางแบ่งปุถุชนออกเป็นสามขั้นเก้าระดับ ในนั้นขอทานคือระดับสิบ และเป็นระดับสุดท้าย ในสามลัทธิเก้าอาชีพ ขอทานก็อยู่รั้งท้ายเช่นกัน จากตรงนี้จะเห็นว่าคนจีนดูถูกการขอทาน เพราะว่าการขอทานเท่ากับได้มาโดยไม่ต้องทำงาน คนจึงดูถูก ดังนั้นแล้วหลังจากพุทธศาสนาเข้ามาในจีน แม้ชาวจีนจะยอมรับพุทธศาสนา แต่ก็ไม่ยอมรับการบิณฑบาตเหมือนขอทาน เพราะพวกเขาคิดว่าบิณฑบาตคือขอทาน
แต่ว่าการบิณฑบาตกับการขอทานนั้นต่างกัน เป้าหมายของการบิณฑบาตไม่ได้กำหนดว่าจะต้องบิณฑบาตเป็นของอะไร เป็นแค่ข้ออ้างให้นักบวชออกจากวัด หลอมรวมเข้าสู่ทางโลก สัมผัสวิถีชีวิตคนหลากหลายเท่านั้น หากไม่เห็นวิถีชีวิตคนที่หลากหลาย จะฝึกโพธิจิต[1]ได้อย่างไร? จะสำเร็จอรหันต์ได้อย่างไร?
นักบวชใช้การขออาหารผูกมนุษยสัมพันธ์ในวงกว้าง ดังนั้นถึงเรียกว่าบิณฑบาต กรรมมีผลสนอง บิณฑบาตเปล่าๆ ได้ที่ไหน”
………………………………..…..………
[1] โพธิจิต หมายถึงจิตที่มุ่งต่อการตรัสรู้เพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลก