บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 379 ดูบาสใต้ตึก
เขาเองก็รู้ว่าเมื่อวานฟางเจิ้งมาที่บ้านตน เพียงแต่ไม่อยากออกมาดูเท่านั้น
ตอนนี้จู่ๆ เห็นสุนัขตัวใหญ่สีขาวนั่นอยู่หน้าประตูจึงตกใจจริงๆ ทว่าพอเห็นเป็นตัวนี้ก็ลอบถอนหายใจโล่งอก เพราะสุนัขตัวนี้ดูไม่มีพิษมีภัย แถมยังส่ายหางให้เขาอีกด้วย ไม่ได้มีท่าทีจะทำร้ายเขาเลย…
“หมา…พี่หมา ฉันแค่อยากลงไปใต้ตึก” หลู่เจิ้งไม่รู้ควรจะพูดอะไรกับสุนัขตัวนี้ แต่ก็ยังเอ่ยไปประโยคหนึ่ง ถือว่าเสริมความกล้าให้ตัวเอง
ผลคือสุนัขตัวนี้เหมือนฟังเข้าใจ มันยืนขึ้นและหลีกทางให้
หลู่เจิ้งโล่งอก ค่อยๆ เข็นรถเข็นผ่านข้างกายสุนัขตัวใหญ่สีขาว ทว่าเขาต้องชะงักอีกครั้ง บ้านพวกเขาอยู่ชั้นสอง ไม่สูงก็จริง แต่ถ้าจะลงไปต้องลงบันได! ระหว่างบันไดมีหน้าต่างเช่นกัน แต่ทิศไม่ได้หันไปทางสนามบาส ถ้าเขาอยากดูบาสก็ต้องลงตึกไป
หลังจากมั่นใจว่าสุนัขตัวใหญ่สีขาวไม่ทำร้ายตนแล้ว หลู่เจิ้งมองบันไดสูงชันด้วยความลังเลเล็กน้อย สูงเกินไป ชันเกินไป เขาไม่มีขา มีเพียงรถเข็น รถเข็นก็มีแค่ล้อรถ ขืนไม่ระวังจะกลิ้งตกลงไปได้…คิดถึงตรงนี้ หลู่เจิ้งเกิดความกลัวนิดๆ แล้ว
ตอนนี้เอง มีเสียงโห่ร้องดังมาจากข้างนอก เหมือนจะลงสนามกันแล้ว!
หัวใจของหลู่เจิ้งเร่าร้อนขึ้นตาม เขาอยากจะไปดูแข่งบาส! ไม่อยากนั่งอยู่ในห้องตลอด! เขาอยากไป!
ความคิดนี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ภายในใจ ทว่าหลู่เจิ้งมองบันไดสูงชันและเกิดความลังเลอีกครั้ง
บันไดชันเกินไป เราไม่มีขา ลงไปไม่ได้!
ไม่ใช่ เรามีขา แค่ขยับไม่ได้ก็เท่านั้น! แต่ว่า…เราลงไปได้! เรายังมีสองมือที่ใช้ได้!
ถ้าเกิดจับไว้ไม่อยู่จะทำอย่างไร? ถ้าเกิดล้อลื่นจะทำอย่างไร? เราคุมรถเข็นไหวเหรอ? นี่คือการลงบันไดครั้งแรกเชียวนะ!
ไม่ เราจะต้องทำได้!
สองความคิดปะทะกันอย่างบ้าคลั่งในหัวหลู่เจิ้ง ดวงตาหลู่เจิ้งแดงขึ้นเรื่อยๆ ได้ยินเสียงโห่ร้องจากข้างนอกและเสียงตะโกนลั่นแล้วก็ยิ่งร้อนใจจนทนไม่ไหวยิ่งกว่าเดิม
สุดท้ายเขาใช้มือข้างหนึ่งประคองราวจับบันไดไว้ มืออีกข้างควบคุมรถเข็น ค่อยๆ ลงไปข้างล่าง ผลคือเพิ่งมาถึงตรงขอบกลับควบคุมแรงได้ไม่ดี รถเข็นจึงจะพุ่งลงไป! หลู่เจิ้งคิดในใจ ‘จบเห่แล้ว!’
ทว่ารถเข็นพลันค้างอยู่กับที่ ราวกับมีบางสิ่งดึงเขาเอาไว้
หลู่เจิ้งหันกลับไปมอง เห็นสุนัขใหญ่สีขาวที่นอนขี้เกียจตัวนั้นไม่รู้ว่าลุกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร ใช้ปากงับข้างหลังรถเข็นไว้ ถึงขวางไม่ให้เขาตกลงไปได้
“ขอบคุณนะ” หลู่เจิ้งลืมไปแล้วว่าพูดขอบคุณครั้งก่อนคือตอนไหน แต่ว่าครั้งนี้กลับหลุดปาก ความรู้สึกที่รอดตายจากอันตรายมาได้ทำให้เขาร้องว่าโชคดีอยู่ในใจ
หมาป่าเดียวดายส่งสายตาให้กำลังใจเขา หลู่เจิ้งถึงกับพูดด้วยความตกใจ “นายกำลังให้กำลังใจฉันเหรอ”
หมาป่าเดียวดายพยักหน้าเล็กน้อย
“ขอบใจ ฉันจะทำให้ได้!” หลู่เจิ้งพยักหน้าพูด ถ้าตรงหน้าเป็นคน เขาคงน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะเขาเดินไม่ได้ คงจะท้อใจและคิดว่าตัวเองไร้ค่า แค่ลงตึกก็ต้องให้คนอื่นช่วย แต่ตรงหน้าคือสุนัข คือสัตว์ที่ช่วยด้วยเจตนาดี เขากลับรับไว้ด้วยความยินดี ความรู้สึกนี้แปลกมาก อย่างน้อยเขาก็คิดว่าสัตว์บริสุทธิ์ ถ้าช่วยเขาคือช่วยเขาจริงๆ และสัตว์ช่วยเหลือคนก็เห็นได้ยาก ประสบการณ์แบบนี้ทำให้เขารู้สึกสบายใจมาก
ครั้งนี้หลู่เจิ้งปรับท่าทางอีกครั้ง จับราวจับไว้อย่างมั่นคง พอแน่ใจว่ามั่นคงแล้วจึงเอ่ยกับหมาป่าเดียวดาย “ฉันได้แล้ว”
หมาป่าเดียวดายค่อยๆ ปล่อยปากออก สรุปคือหลู่เจิ้งอยู่บนบันไดอย่างมั่นคง
หลู่เจิ้งเริ่มคลายมือออกช้าๆ รถเข็นลงไปข้างล่างทีละนิด เมื่อเคลื่อนไปได้นิดหน่อยจะหันกลับไปมองหมาป่าเดียวดาย หมาป่าเดียวดายตามเขามาทีละก้าวราวกับเทพพิทักษ์ของเขา มีมันอยู่ หลู่เจิ้งเลยวางใจได้อย่างเต็มที่ สุดท้ายเขาก็ลงบันไดขั้นนี้ได้สำเร็จ
หลู่เจิ้งทำมือเหมือนได้ชัยชนะให้หมาป่าเดียวดาย หมาป่าเดียวดายเองก็ส่งสายตาให้ไปต่อเช่นกัน
หลู่เจิ้งสูดลมหายใจเข้าลึก หันกลับมองยังบันไดขั้นต่อไป เอ่ยด้วยความแน่วแน่ว่า “ฉันไหว!”
พูดจบ หลู่เจิ้งก็ลงบันไดต่อ ขยับลงไปทีละน้อยๆ ตอนเริ่มยังหันไปมองหมาป่าเดียวดาย ทว่าเมื่อถึงช่วงท้าย เพราะจริงจังมากเกินไปหรือไม่ก็เชื่อมั่นเกินไป เขาจึงไม่หันกลับไปมองอีก แต่ค่อยๆ ลงไป หลู่เจิ้งพบสิ่งที่น่าตกใจระคนดีใจคือ ตัวเขาเข็นรถเข็นลงบันไดคนเดียวได้สำเร็จ! เขาตื่นเต้นกับความรู้สึกภาคภูมิใจนั้นอย่างยิ่ง พอหันตัวกลับไปมองหมาป่าเดียวดายก็พบสิ่งที่น่างุนงง หมาป่าเดียวดายยืนอยู่ตรงกลางบันได ไม่ได้ตามลงมาด้วย
“นะ…นายไม่ได้ตามฉันเหรอ?” หลู่เจิ้งงุนงง
“อมิตาพุทธ ประสก ประสกทำด้วยตัวเองได้ ทำไมต้องให้คนอื่นช่วยล่ะ” ขณะนี้เองมีเสียงสวดนามพุทธองค์ดังขึ้น หลวงจีนจีวรขาวเดินมาจากตรงมุมเลี้ยวบันได หลวงจีนรูปนี้ขาวสะอาดทั้งตัว ใบหน้าไม่ถือว่าหล่อเหลาเป็นพิเศษ แต่กลับให้ความรู้สึกเที่ยงธรรมเป็นมงคล ชวนให้คนใจสงบ
“ท่าน…” หลู่เจิ้งพลันพบว่าใต้ตึกมีคนอยู่ ในใจจึงเกิดความตึงเครียดในฉับพลัน การพูดติดขัดนิดๆ
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย “อาตมาฟางเจิ้ง เจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนี นั่นคือจิ้งฝ่าผู้ปกปักของอาตมา ประสก ลงตึกมันยากสำหรับประสกหรือ?”
หลู่เจิ้งมองหลวงจีนผู้มีรอยยิ้มอบอุ่นราวแสงตะวัน เวลาเดียวกันก็พบเรื่องน่าตกใจ เขาเหมือนจะไม่ต่อต้านหลวงจีนรูปนี้ เพราะในแววตาอีกฝ่ายไม่มีการดูถูก เห็นใจ หรือสงสารที่เขาหวาดกลัว แต่เป็นความรู้สึกที่ปฏิบัติต่อคนทั่วไปมากกว่า เขาชอบความรู้สึกนี้ เขาไม่ชอบที่คนอื่นมองเขาตนด้วยสายตาแปลกๆ ไม่ว่าจะเจตนาร้ายหรือเห็นใจก็ตาม!
หลู่เจิ้งมองฟางเจิ้งพลางว่า “ตอนเริ่มก็ยากนิดๆ พอชินแล้วไม่ยากครับ”
ฟางเจิ้งยิ้ม เรียกหมาป่าเดียวดายมา “ไปกันเถอะ ไปดูแข่งบาสกัน”
หมาป่าเดียวดายวิ่งลงมา มองหลู่เจิ้งทีหนึ่ง สะบัดหัวราวกับกำลังพูดว่า ‘ไปด้วยกันสิ!’
หลู่เจิ้งลังเลเล็กน้อย เอ่ยว่า “ผม…ผมดูอยู่ตรงนี้ก็ได้”
ฟางเจิ้งพูดยิ้มๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ดูเถอะ ถ้าเป็นไปได้ ไปเล่นบาสด้วยกันก็ไม่เลว”
หลู่เจิ้งยิ้มขมขื่น “ผมเป็นแบบนี้จะเล่นบาสได้เหรอครับ” พูดจบก็มองสองขาตัวเองด้วยแววตามัวหมอง
ฟางเจิ้งกล่าวว่า “ก่อนลงตึก ประสกมั่นใจว่าตนจะลงบันไดได้ไหม เข็นรถเข็นลงบันไดไม่ใช่เรื่องที่จะเห็นกันได้ง่ายๆ นะ”
หลู่เจิ้งเงียบไป
ฟางเจิ้งพูดต่อ “เพราะความรัก เพราะความชอบ ความรักกับความชอบทำให้ประสกไม่กลัว ทำให้กล้าหาญและเข้มแข็ง! ถ้าอย่างนั้นเดินออกไปดูเพื่อความรักในใจสักหน่อยเป็นยังไง?”
ฟางเจิ้งพูดจบก็หมุนตัวเดินไปด้านนอก แสงตะวันสาดลงมาบนตัวเขา ฟางเจิ้งไม่ได้หันไปมอง เพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “มีขาก็ไม่แน่ว่าจะเล่นบาสได้ ไม่มีขาก็ไม่แน่ว่าจะเล่นบาสไม่ได้ มิหนำซ้ำ ประสกยังมีขา!”
ว่าจบฟางเจิ้งก็เดินไป หมาป่าเดียวดายหันกลับมามองหลู่เจิ้ง เอียงหัวสื่อว่าให้ตามมันไป
หลู่เจิ้งมองหมาป่าเดียวดายแล้วมองแผ่นหลังฟางเจิ้ง พูดงึมงำว่า “ใช่ คนมากมายมีขา แต่พวกเขาเล่นบาสไม่ได้เหมือนกัน ไม่มีขาก็ไม่แน่ว่าจะเล่นบาสไม่ได้! อีกอย่างเรายังมีขา! อีกอย่างเราแค่ไปดูเอง…”
คิดถึงตรงนี้ หลู่เจิ้งผลักรถเข็นออกไป เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสอากาศสดชื่นข้างนอก แสงตะวันแสบตา เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย หรี่ตาลง ความรู้สึกนี้คุ้นเคยแต่ก็แปลกไปเช่นกัน ตอนนั้นทุกอย่างนี้ธรรมดามากสำหรับเขา แต่ตอนนี้กลายเป็นล้ำค่าอย่างยิ่ง