บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 381 คนกับหมาป่ารวมเป็นหนึ่ง
หลู่เจิ้งเม้มปาก ออกแรงกัดริมฝีปากพลางพยักหน้าแรงๆ “ได้!”
“เฮ้ย ความเร็วกับแรงพวกนายน่าตกใจชะมัด! แต่ว่าครั้งหน้าฉันจะขวางนายให้ได้” เด็กหนุ่มหน้าสิววิ่งเข้ามา พูดราวกับประกาศศึก
หลู่เจิ้งยิ้มเขินอาย มองหมาป่าเดียวดายแวบหนึ่ง หมาป่าเดียวดายเชิดหน้าขึ้นด้วยความทะนงตน เหมือนกำลังดูถูกอีกฝ่าย หลู่เจิ้งจึงเชิดหน้าขึ้นตาม พูดด้วยความมุ่งมั่นในการแข่งขันเต็มสิบ “มาเถอะ ฉันจะรอนาย!”
เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น หมาป่าเดียวดายดันหลู่เจิ้งพุ่งไปทางซ้ายขวา แม้หลู่เจิ้งจะวิ่งไม่เร็ว แต่หมาป่าเดียวดายวิ่งเร็วมาก อีกทั้งแววตายังเจ้าเล่ห์ ทุกครั้งจะพุ่งไปถึงตำแหน่งก่อนเวลา ส่วนหลู่เจิ้งในตอนนั้นก็เล่นบาสมาหลายปี ใช้ขาไม่ได้ แต่ใช้มือได้ ประกอบกับหมาป่าเดียวดายวิ่งมาเข้าตำแหน่ง ระหว่างทางตัดบอลได้รวดเร็วมาก ทำให้พวกหวังคุนโมโหจนด่าทอเสียงดังบ่อยๆ
บนสนามบาสก็เป็นแบบนี้ เด็กพวกนี้ที่มีกลิ่นอายวัยรุ่นเปี่ยมล้น อยู่ในช่วงเลือดร้อน ย่อมเลี่ยงคำหยาบไม่ได้ ถ้านายไม่พอใจก็ด่ากลับแค่นั้น! แต่จะไม่ฝากความคิดถึงไปถึงบุพการี นี่คือเส้นตาย…
หวังคุนเห็นถูกแย่งบอลไปอีก แล้วเลยด่าเสียงดัง “ห่า หลู่เจิ้ง นายจะเกินไปแล้ว! ถ้ากล้าตัดบอลอีก ฉันจะต่อยแกให้ตาย จะปิดทางจนแกเล่นไม่ได้เลย!”
หลู่เจิ้งเล่นบาสได้อย่างราบรื่น แถมอารมณ์ส่วนตัวยังฮึกเหิมขึ้นมา เหมือนหาความรู้สึกในตอนนั้นพบ จึงหัวเราะเสียงดังบอกว่า “เจ้าโง่ เก่งจริงก็ลองดู!”
“ใช่! เก่งจริงก็ลองดู! แม่ง เล่นบาสนายวิ่งเร็ว แต่เรื่องต่อยตีฉันจะต่อยแกสักสองที!” เฉินเหว่ยหมุนแขนพลางมาอยู่ข้างหลังหลู่เจิ้ง ยิ้มเอ่ยด้วยความอวดดี
หวังคุนมองค้อน ยกนิ้วกลางให้พร้อมตะโกนเสียงดัง “เข้ามา!”
เปิดบอลต่อ!
ไกลออกไป ซูอวิ๋นกับหลู่ฮุยร้องไห้กอดกันเป็นก้อนแล้ว
ซูอวิ๋นร้องตลอดเวลาว่า “หลู่ฮุย คุณดูเร็ว เสี่ยวเจิ้งลงตึกมาแล้ว!”
“หลู่ฮุย คุณดูเร็ว เสี่ยวเจิ้งลงสนามแล้ว เขาไม่ปฏิเสธด้วย! เขาจับลูกบาสแล้ว!”
“หลู่ฮุย คุณว่าเสี่ยวเจิ้งจะเป็นอันตรายไหม? จะถูกชนล้มรึเปล่า? จะ…”
“หลู่ฮุย คุณดูเร็ว เสี่ยวเจิ้งข้ามคนไปแล้ว!”
“เฮ้ย หลู่ฮุย เสี่ยวเจิ้งทำฟาวล์”
“เฮ้ย หลู่ฮุย คุณดูเร็ว เสี่ยวเจิ้งหัวเราะแล้ว! หัวเราะแล้วดูดีจริงๆ! ลูกชายฉันหล่อจริงๆ ฮ่าๆ…”
“หลู่ฮุย ลูกด่าคนแล้ว ฮ่าๆ…เขาด่าคนแล้ว! ฮ่าๆ…”
“หลู่ฮุย ลูกบุกแล้ว บุกแล้ว สู้ๆ!”
………..
หลู่ฮุยฟังซูอวิ๋นพูดอย่างตื่นเต้น พลางมองหยดน้ำตาที่ไหลไม่หยุดบนเสี้ยวหน้ายิ้มแก้มปริ หยดลงบนพื้นดังแปะๆ หลู่ฮุยก็ร้องไห้เช่นกัน นานเท่าไรแล้ว? หนึ่งวัน? สองวัน? หนึ่งเดือน? สองเดือน? เขาลืมไปแล้ว ตั้งแต่ที่หลู่เจิ้งถูกรถชน ครอบครัวนี้เหมือนเข้าสู่ช่วงผ่านวันเหมือนผ่านปี ผ่านวินาทีเหมือนผ่านวัน อยู่ในเงามืดไร้แสงตะวัน ทุกวันช่างยาวนาน นานจนอยากจะตะโกนด้วยความโกรธ บางสิ่งที่กดทับอยู่ในใจหนักขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะระเบิดทรวงอกแตกกระจาย
ซูอวิ๋นไม่เคยยิ้ม เขาก็ไม่เคยยิ้ม กลางดึกซูอวิ๋นจะซ่อนตัวในห้องน้ำ ถือผลวินิจฉัยแอบร้องไห้ เขาเองก็ปาดน้ำตาตรงจุดที่ไม่มีใคร นั่งสูบบุหรี่และดื่มสุราอย่างหนักในห้องรับแขก…
ช่วงเวลานั้นเหมือนกับนรกบนดิน!
มีช่วงหนึ่งที่หลู่ฮุยมองไม่เห็นความหวัง จนกระทั่งวันนี้ได้เห็นบุตรชายอยู่บนสนามบาส เห็นร่างเขาวิ่งไปมา เห็นใบหน้ารอยยิ้มเจิดจรัสนั้นอีกครั้ง หลู่ฮุยร้องไห้โฮ กอดบ่าซูอวิ๋นพลางพึมพำ “ร้องไห้ทำไม นี่เป็นเรื่องดี…เรื่องดี…”
นอกสนามบาส ฟางเจิ้งยิ้มอบอุ่นพลางมองทุกอย่างตรงหน้า จีวรสีขาวสะบัดผ่านกลางสายลมอ่อนๆ มีเอกลักษณ์สะอาดบริสุทธิ์เพิ่มมาหลายส่วน
เด็กสาวหลายคนเห็นภาพนี้ต่างเกิดความลุ่มหลง…
เดิมทีฟางเจิ้งหน้าตาไม่แย่อยู่แล้ว ตอนนี้ตระหนักเต๋าทุกคืนวัน ช่วยคนอื่น ในตัวมีบุญกุศล ความดีที่ช่วยคนกลับใจและกลิ่นอายสมาธิ ประกอบกับนิสัยเจิดจ้าในตัว เอกลักษณ์ที่แผ่ออกมาถูกจีวรขาวจันทร์ขับเน้นไปอีก จึงยิ่งต่างกับคนอื่น ทำให้เด็กสาวที่เห็นเด็กหนุ่มสดใสร่าเริงและผู้จัดการใหญ่ในวงการทีวีจนชินเกิดความรู้สึกไหลลื่นดั่งสายน้ำ สบายใจมาก
ฟางเจิ้งได้แต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นตรงนี้ ไม่อย่างนั้นเรื่องหลังจากนี้จะยุ่งยากเกินไป เขาไม่กล้าเข้าใกล้เด็กสาวพวกนี้มากไปนัก ได้สัมผัสกับเด็กสาวมาหลายครั้งจะมีประสบการณ์เกือบถูกกินตลอด ตอนนี้เขาเลยกลัวนิดๆ
ทว่ายิ่งฟางเจิ้งไม่มองไปทางนั้น ก็ยิ่งให้ความรู้สึกยึดมั่นในคุณธรรม ยิ่งดึงดูดสายตาของพวกเด็กสาว แววตานั้นร้อนแรง มองจนฟางเจิ้งหัวใจเต้นตุบๆ ขณะเดียวกันยังร้องในใจว่า “ระบบ เมื่อไรฉันจะได้สึก! ฉันหล่อขนาดนี้ สิ้นเปลืองเวลาวัยรุ่นชะมัดเลย”
“วันนี้แหละ” ระบบตอบ
“จริงเหรอ? ทำยังไงถึงได้สึก นายรีบบอกมาเร็ว” ฟางเจิ้งพูด
“เอาหัวโหม่งให้ตายก็จะได้สึกแล้ว ให้ฉันช่วยไหม?” ระบบตอบแบบเอ้อระเหย
“ระบบ ไม่ช้าก็เร็วฉันจะต่อยนายให้ตาย…” ฟางเจิ้งว่ากลับ
บนสนามบาส ตอนเริ่มหลู่เจิ้งร่วมมือกับหมาป่าเดียวดายได้ไม่ดีนัก จะทำบอลหลุดบ่อยครั้ง กระทั่งทำให้การป้องกันเกิดช่องโหว่หลายครั้ง ถูกพวกหวังคุนแซงไปหลายแต้ม ทว่าพวกเฉินเหว่ยไม่โกรธ แต่กลับให้กำลังใจหลู่เจิ้งอีกที…
ในที่สุด หลังผ่านไปยี่สิบนาที หลู่เจิ้งกับหมาป่าเดียวดายเริ่มมีสัญญาณลับเล็กน้อย เริ่มโต้กลับแล้ว ถึงขั้นชู้ตลงไปหนึ่งลูกภายใต้การจงใจอ่อนข้อให้ของพวกหวังคุน
หลู่เจิ้งตื่นเต้นจนเหมือนกับเด็กน้อย ยิ้มร่าเรงมาก! แน่นอนว่าได้เสียงเชียร์ของพวกเด็กสาวกลับมา จึงรู้สึกดียิ่งกว่าเดิม
การแข่งบาสมักมีวันสิ้นสุด ตอนที่ใกล้จะจบลงนั้น พวกหลู่เจิ้งทำแต้มตามมาตีเสมอได้แล้ว เมื่อใกล้จะจบลงเหลือห้าวินาทีสุดท้าย เฉินเหว่ยครองลูกบาส หมาป่าเดียวดายดันหลู่เจิ้งพุ่งไปยังสนามครึ่งหลังของพวกหวังคุน!
เฉินเหว่ยตะโกนเสียงดัง “หลู่เจิ้งรับบอล ขยี้พวกมันเลย!”
เฉินเหว่ยส่งลูกบาสไปทางหลู่เจิ้ง!
ทว่าปัญหามาแล้ว โยนสูงไป! เฉินเหว่ยชินกับการจ่ายบอลให้คนสูงปกติเพื่อกันไม่ให้ศัตรูตัดบอล ปกติจึงโยนสูงหน่อย ขอเพียงกระโดดก็จะรับได้ แต่ว่า…หลู่เจิ้งนั่งอยู่ จะรับอย่างไร?
หมาป่าเดียวดายกระโดดได้ แต่ไม่มีมือ!
เฉินเหว่ยแสยะปาก ด่าทอตัวเองในใจ ‘เวร เรามันโง่ชะมัด!’
หวังคุนยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มเอ่ยว่า “เฉินเหว่ย นายมันโง่ จะแบ่งแต้มให้เหรอ? ฮ่าๆ…”
“จบเห่แล้ว จบแล้ว!” มีคนร้องขึ้นตาม ไม่มีใครคิดว่าบอลลูกนี้จะเกิดปาฏิหาริย์อะไรได้
คนจำนวนมากหันมามอง กอดอกคอยดู
ทุกคนผ่อนคลายลงแล้ว แต่มีคนยังไม่เป็นแบบนั้น นั่นคือหลู่เจิ้งกับฟางเจิ้ง!
ฟางเจิ้งมองหลู่เจิ้งตลอด บอลลูกนี้ส่งมากะทันหันเกินไป ทว่าฟางเจิ้งยังเฝ้ารอนิดๆ ว่าจะเกิดปาฏิหาริย์! หลู่ฮุยเคยบอกว่าขาหลู่เจิ้งไม่ได้พิการจริงๆ เขาเพียงแค่ต้องใช้เวลาค่อยๆ พักฟื้น ขอแค่พยายามฝึกฝนควบคู่ไปก็ยังมีความหวังจะฟื้นกลับมา แน่นอน หลู่ฮุยกับหลู่เจิ้งมองว่าคำพูดเหล่านี้เป็นข้ออ้างปลอบใจของหมอ อย่างน้อยหลู่ฮุยก็ไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด
แต่ฟางเจิ้งเชื่อ! ดังนั้นเขาจึงเฝ้ารอให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น!