บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 383 ฟ้าถล่มก็ไม่หวั่น
“ถุย! แกน่ะเหรอคนดี? ฉันก็ไม่ต่างกันหรอก! ถึงยังไงฉันก็เท่ที่สุด!” เสียงเฉินเหว่ยดังขึ้น
“อย่าโวยวายน่า ฉันพูดจริงนะ ช่วยคนอื่นมันฟินจริง เอ่อ ฉันขอเสนอว่าจากนี้ทุกสัปดาห์พวกเราทำความดีบ้างเป็นไง? เห็นว่ามีอาสาสมัครเพื่อสังคมอะไรนั่นอยู่นี่ พวกเราไปทำกันไหม” หวังคุนชักชวน
“ฉันว่าโอเค!” เฉินเหว่ยพูด
จากนั้นเป็นเสียงเด็กสาว “ฉันเห็นด้วย!”
“ฉันก็เห็นด้วย!”
………..
ฟางเจิ้งฟังเสียงเด็กหนุ่มเด็กสาวเหล่านี้พลางประนมสองมือ สวดไปบทหนึ่ง “อมิตาพุทธ ประเสริฐๆ!”
แทบเป็นขณะเดียวกัน ฟางเจิ้งเปิดประตูไร้ลักษณ์กลับภูเขาเอกดรรชนี เขามาบ้านสกุลหวังเพียงเพื่ออยากดูว่าหวังคุนเติบโตแล้วหรือไม่ ตอนนี้ดูๆ แล้วเขาคงคิดมากไป เด็กหนุ่มเด็กสาวพวกนี้ดีกว่าที่เขาคิด ไม่ต้องเป็นห่วงเลย
ครั้นได้ยินเสียงสวดของฟางเจิ้ง พวกหวังคุนพลันเปิดประตูตามหา น่าเสียดาย เสียงสวดยังดังก้อง แต่คนไม่อยู่แล้ว
หลังส่งทุกคนกลับ หวังคุนกลับบ้านไปจัดการห้อง ตอนจัดห้องที่ฟางเจิ้งเคยอยู่นั้นก็พบสิ่งที่น่าตกใจ หัวเตียงมีจดหมายฉบับหนึ่ง พอเปิดอ่านก็เห็นด้านบนเขียนไว้ว่า ‘พบกันมีวาสนาต่อกัน วันพุธให้ประสกพาพวกเพื่อนๆ ไปดูบาสที่สนามกีฬากลาง ถ้าได้เล่นก็เล่น’
หวังคุนทำหน้าไม่เข้าใจ นี่หมายความว่าอย่างไร?
เมื่อถึงวันพุธ หวังคุนพาพวกเฉินเหว่ยไปที่สนามกีฬากลางประจำอำเภอ สนามกีฬานี้ดีที่สุดในอำเภอแล้ว และยังเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของบาสเกตบอลที่มีผู้รักบาสเกตบอลทั้งหมดมารวมตัวกัน ต่อมาเถ้าแก่รับเหมาไว้เป็นของส่วนตัว จะเล่นบาสต้องจ่ายเงิน ในสถานการณ์ปกติ พวกนักเรียนอย่างหวังคุนจะมาเล่นบาสที่นี่น้อยมาก
ครั้งนี้หวังคุนเป็นเจ้ามือเลี้ยง พวกเฉินเหว่ยย่อมมาเล่นบาสกันอย่างมีความสุข
ตอนเริ่มพวกเขาแค่ดู แต่ก็ไม่พบอะไร เพียงแค่รู้สึกว่าคนที่มาเล่นในวันนี้บางตา คนมาดูบาสมีมากกว่าเดิมเล็กน้อย
พอถึงตาพวกเขา กลุ่มคนเดินเข้าไป ทุกคนตื่นเต้นมากเพราะที่นี่เป็นสนาม หวังคุนกับเฉินเหว่ยก็เช่นกัน ส่วนหลู่เจิ้งขายังไม่หายดีอย่างสมบูรณ์ต้องตรวจที่โรงพยาบาล จึงไม่ได้มาในวันนี้
พวกหวังคุนกับเฉินเหว่ยลงสนามบาสมาก็เล่นกันอย่างสบายใจ การชู้ตสามแต้มและแสลมดังก์ต่างๆ ของหวังคุนถึงใจยิ่งกว่าเดิม!
ฉายาราชาใต้แป้นของเฉินเหว่ยก็ไม่ได้โม้มา เขาเล่นจนหลายคนร้องโอดโอยหาแม่
เดิมทีคิดว่าเป็นเพียงการแข่งบาสครั้งหนึ่ง แต่ตอนที่พวกเขาเล่นเสร็จกลับมีคนคนหนึ่งมาหาพวกเขา
“อะไรนะครับ? จะให้พวกเราร่วมคัดตัวทีมเยาวชนระดับมณฑล?” เฉินเหว่ยกับหวังคุนตะลึงค้าง ก่อนจะดีใจยกใหญ่!
“ใช่ นี่หัวหน้าโค้ชทีมระดับมณฑลของเรา” ชายหนุ่มแนะนำผู้สูงอายุคนหนึ่งให้
ผู้สูงอายุจับแว่นตา พูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเธอสองคนมีพรสวรรค์มาก ฉันถูกใจพวกเธอ แต่ว่าก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอนนะ ว่ายังไง ไปไหม?”
“ไปครับ!” หวังคุนกับเฉินเหว่ยตอบกลับพร้อมกัน
เพียงแต่หวังคุนตกตะลึงในใจ เขามาที่นี่เพราะฟางเจิ้งชี้แนะให้ ทว่าโอกาสนี้…หรือว่าฟางเจิ้งทำนายชะตาได้? ภายในใจเกิดคำถามนับไม่ถ้วน แต่หวังคุนกดมันไว้ในใจ ไม่ได้พูดกับใคร ก่อนจะดีใจ ดีใจอย่างยิ่ง
ไม่นานข่าวก็แพร่กระจายไปถึงโรงเรียน ตอนที่หวังคุนเดินออกมาจากห้องพักครูประจำชั้น ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม! ในที่สุด ในที่สุดเขาก็เห็นรอยยิ้มของครูประจำชั้น ในที่สุดก็ไม่เห็นเขาชี้ไปนอกประตูแล้วพูดว่า ‘ออกไป! เรียกผู้ปกครองเธอมา!’
เฉินเหว่ยเดินออกมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นเช่นกัน หัวเราะเบาๆ บอกว่า “ในที่สุดเราสองคนก็ไม่ต้องใช้ขยะแทนชื่ออีก พรุ่งนี้ยังได้ยืนพูดบนเวทีอีก จิ๊ๆ พวกเราเป็นนักเรียนชั้นเยี่ยมแล้ว แม่งโคตรตื่นเต้นเลย!”
“ใช่ ชีวิตคนเหมือนความฝัน พลิกไปมาเร็วเกินไป ฉันตั้งตัวไม่ทันนิดๆ แล้ว” หวังคุนพูด
“นายมีมารยาทแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร? ไป วันนี้ฉันเลี้ยงเอง ร้องคาราโอเกะกัน!”
“ไม่ล่ะ นายไปเถอะ เย็นวันนี้ฉันอยากอยู่เงียบๆ”
“เชี่ย นายมีแฟนแล้วเรอะ? เออ จิ้งๆ (เงียบๆ) คือใคร”
“ไปไกลๆ เลย!”
………..
ทางด้านหลู่เจิ้งก็มีข่าวดีเช่นกัน หลู่เจิ้งที่เดิมทีมีโอกาสฟื้นกลับมาไม่ถือว่ามากหายดีอย่างรวดเร็ว หมอยังร้องว่าปาฏิหาริย์! หลู่ฮุย หวังคุน และพวกเฉินเหว่ยเดิน วิ่งและเล่นบาสเป็นเพื่อนหลู่เจิ้งทุกวัน แรงในการเคลื่อนไหวก็มากขึ้นเรื่อยๆ ตาม จนในที่สุดหลู่เจิ้งก็หายเป็นปกติในอีกครึ่งปีให้หลัง
หวังคุนกับเฉินเหว่ยเข้าร่วมทีมมณฑลได้อย่างราบรื่นเช่นกัน สู้เพื่อความฝันพวกเขาต่อไป หลู่เจิ้งไม่ได้เดินบนเส้นทางความฝันบาสเกตบอลของเขาต่อ แต่ก็ไม่เคยละทิ้งบาสเกตบอล ทุกครั้งที่หวังคุนกับเฉินเหว่ยกลับมาจะเล่นบาสกับเขา มิตรภาพระหว่างกันรุดหน้าเร็วมาก น่าเสียดายที่พวกเขาไม่เคยเจอฟางเจิ้งกับสุนัขตัวใหญ่สีขาวอีกเลย
หลายปีต่อมา ตอนที่พวกเขาพบฟางเจิ้งอีกครั้ง ถึงพบว่าที่พวกเขาความอยากโอ้อวดความสำเร็จต่อหน้าฟางเจิ้ง อยากเทียบกับรัศมีในตัวฟางเจิ้งแล้ว มันน่าหัวร่อนัก…พริบตาเดียวก็กลับไปเหมือนตอนนั้นอีกครั้ง มีแต่เชื่อฟังคำ…
นี่คือเรื่องราวในภายหลัง
ตอนนี้ ฟางเจิ้งกลับภูเขาเอกดรรชนีแล้ว มองประตูภูเขาที่ห่างกันมานาน ฟางเจิ้งกับหมาป่าเดียวดายน้ำตานองหน้า นึกขึ้นได้ว่าพวกเขาสองคนแทบจะหิวตายข้างนอก สิ่งแรกที่ทำคือพุ่งเข้าไป ตะโกนเสียงดังว่า “จิ้งซิน ทำกับข้าว!”
แต่ได้ยินเสียงวุ่นวายข้างหลังลานวัด ตามด้วยเสียงปิดประตูดังปัง
ฟางเจิ้งเข้าไปหลังลานวัด ก็เห็นเด็กแดงยืนหน้าแดงๆ อยู่ตรงประตูห้องครัว ยิ้มเอ่ยว่า “อาจารย์ ศิษย์พี่ กลับมาแล้วรึ”
“อาจารย์ ฉันจะฟ้อง!” ฟางเจิ้งยังไม่ทันเอ่ย กระรอกก็พูดขึ้น
เด็กแดงได้ยินเข้าพลันคว้ากระรอกไว้ในอ้อมกอดแน่น พึมพำอะไรบางอย่าง กระรอกเลยลังเลแล้ว…
ฟางเจิ้งมองเด็กแดงด้วยความสงสัย ถามกระรอกว่า “จิ้งควน เกิดอะไรขึ้น?”
“อ่า…เอ่อ…คือว่า…อืม…” กระรอกไม่เก่งการโกหกที่สุด พูดอึกอักอยู่นานก็ยังไม่บอกอะไร
ฟางเจิ้งยิ้มหยีตามองเด็กแดง “นายจะบอกเองหรือให้อาจารย์สวดมนต์ช่วยให้คิดออก?”
เด็กแดงกลอกตาไปมา “ไม่มีอะไร ก็แค่กินข้าวผลึกเยอะไปหน่อยเท่านั้น…”
ขณะนี้เอง เจ้าลิงอุ้มหน่อไม้สองหน่อเข้ามาจากประตูหลัง พูดเรียบๆ ว่า “อาจารย์ ศิษย์น้องโกหก เมื่อวานเขานอนในกุฏิท่านแหละ”
เด็กแดงได้ยินดังนั้นก็พูดไม่ออก น้ำตาไหลเป็นพันสาย ปิดปากกระรอกได้ แต่อุดปากลิงไม่ได้ พ่ายแพ้แล้ว!
ทว่าสิ่งที่เด็กแดงตกใจคือฟางเจิ้งไม่โกรธ แต่ตบๆ เด็กแดง “อย่างนี้เอง นอนในกุฏิก็ไม่ถือว่าผิดอะไร”
“จริงรึ?” เด็กแดงตกใจระคนดีใจอย่างน่าประหลาด แถมยังส่งสายตาลำพองใจให้ลิง เหมือนกำลังพูดว่า ‘เรื่องเล็กแค่นี้ยังฟ้อง ข้าไม่เป็นไร บลาๆๆ…’
ลิงทำหน้าว่าไม่คิดอย่างนั้น ในบรรดาศิษย์ทั้งหมด มันชอบเลียนแบบฟางเจิ้งที่สุด โดยเฉพาะชอบเลียนแบบท่าทีตอนฟางเจิ้งเสแสร้ง ฟ้าถล่มไม่หวั่น สงบนิ่ง สงบนิ่ง สงบนิ่ง!